ปราบพยศเชลยยักษ์ ๕
⚜️ปราบพยศเชลยยักษ์ ๕
ขบวนคชสาร(ช้าง)แห่งนครกัณฑ์กาศเคลื่อนออกจากประตูเมืองทางด้านทิศอาคเนย์ (ทิศตะวันออกเฉียงใต้) ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง
ออกเดินทางจนมาถึงช่วงสายของวัน ขบวนคชสารก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่อยู่ท่ามกลางความเขียวขจีของผืนป่าอันร่มรื่นที่มีต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านปกคลุมมากมาย
วิถีชีวิตชาวบ้านที่นี่ เรียบง่ายเช่นสามัญชนที่สืบทอดมาจากบรรพกาล
“ พระธิดากรรณา! ดีใจเหลือเกินเพคะ ”
อสุรีตนหนึ่งเอ่ยเรียกกรรณาด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาแล้วหมอบกราบลงตรงเบื้องหน้าพระธิดาตัวน้อย ที่ยืนอยู่เคียงข้างกษัตริย์พนาสูรย์
ทุกสายตามองมาทางกษัตริย์อสุราและพระราชธิดากรรณานิ่ง และคงคิดไม่ต่างกัน.. ทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก ราวกับเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางก่อน
“ (。◕‿◕。) ” กรรณาส่งรอยยิ้มให้ชาวบ้านอย่างอ่อนโยน
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างดีใจกันยกใหญ่ที่ได้พบกับพระราชธิดากรรณาอีกครั้ง เพราะพวกเขารู้มาว่า กรรณาถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวงหลังจากที่สงครามจบลง
แต่เมื่อมาเห็นราชธิดากรรณาเช่นนี้ พวกชาวบ้านก็เริ่มเชื่อสนิทใจแล้วกับเรื่องที่โจษจัน ว่ากษัตริย์พนาสูรย์ ทรงมีพระเมตตา ..คงเป็นจริงอย่างเช่นข่าวลือ
เหล่าบรรดายักษ์จากหมู่บ้านอื่นที่รู้ข่าวการมาเยือนของกษัตริย์องค์ใหม่ ต่างพากันออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“ ฮือ!! ฮึก! โฮ”” ฮึก! ”
แต่ทันใดนั้นเอง! จู่ๆ ก็มีเสียงร้องไห้โฮของเด็กน้อยดังขึ้น ทำให้กษัตริย์พนาสูรย์และกรรณาต้องหันไปตามเสียงร้องโหยหวนนั่นทันที
กรรณาเบิกตาทันใด เมื่อเห็นอสุรีตนหนึ่งกำลังอุ้มลูกน้อยเดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะนั่งลงกับพื้นตรงเบื้องหน้ากษัตริย์อสุราและราชธิดากรรณา
“ ช่วยลูกของหม่อมฉันด้วยเพคะ ” ดวงตาที่คลอหน่วยไปด้วยน้ำตา เงยหน้าขึ้นสบตาอย่างวิงวอน
“ แค่กแค่ก!! ฮึก! ฮือ..” เด็กน้อยส่งเสียงร้องอย่างทรมาน
ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย เพราะเห็นบาดแผลได้ชัดเจน แย่ไปกว่านั้น! คือแผลบวมและเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ ที่สำคัญเหมือนแผลเริ่มจะเน่า
กรรณาจำเด็กน้อยในหมู่บ้านนี้ได้แทบจะทุกตน แม้จะจำชื่อไม่ได้ก็ตาม แต่นางจำหน้าพวกเขาได้ และไม่รอช้า! กรรณาก้าวเข้าไปหาสองแม่ลูกด้วยความห่วง
หมับ!! ไม่ทันที่กรรณาจะได้ก้าวเท้าฝ่ามือแกร่งของกษัตริย์อสุราก็คว้าแขนของนางเอาไว้เสียก่อน
“ รอเดี๋ยว! ” พนาสูรย์เอ่ยน้ำเสียงเข้ม
“ เจ้าคะ? ” กรรณาชะงัก ก่อนจะหันไปสบตากับพนาสูรย์ ด้วยแววตาที่มีคำถาม นางก็แค่อยากจะช่วย เหตุใดถึงต้องห้ามนางด้วย
“ เจ้าอาจถูกพิษไปด้วย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหมอหลวงเถิดหนากรรณา ” กษัตริย์พนาสูรย์ตอบ ถึงจะเห็นไกล ๆ แต่ก็พอมองออก ว่าแผลนั่นเป็นแผลมีพิษ ไม่น่าใช่บาดแผลธรรมดาทั่วไปแน่
“ O_O! พิษ! หรือเจ้าคะ? ”
กรรณาเบิกตาโตก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตกใจ กษัตริย์พนาสูรย์โน้มพระเศียรลงเล็กน้อยก่อนจะตอบok’
“ ใช่.. ดูจากบาดแผลน่าจักมีพิษร้ายแรง ”
“ โธ่.. คงจักทรมานมากเลยสินะ ” กรรณาหันกลับไปมองเด็กน้อยที่นอนบนตักของผู้เป็นมารดาด้วยความรู้สึกสงสาร
กรรณายอมถอยออกมา เมื่อเห็นกษัตริย์พนาสูรย์ส่งสัญญาณบอกหมอหลวงที่ติดตามขบวนมาด้วย ให้เข้าไปตรวจอาการของเด็กน้อย
หมอหลวงรีบเข้าไปพร้อมกับลูกศิษย์เพื่อตรวจบาดแผลของเด็กน้อยอย่างละเอียดพลางถอนลมหายใจออกมา
ไม่มีเวลาที่จะมาไถ่ถาม ว่าเด็กน้อยนั้นได้แผลมาจากไหน เพราะไม่ใช่จากสัตว์มีพิษ แต่มองตาเปล่าก็พอจะรู้ว่าเป็นพิษชนิดไหน สิ่งสำคัญที่ต้องทำในตอนนี้คือ ‘รักษาก่อน ค่อยไถ่ถามทีหลัง’
“ พิษซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว! หากใช้ยาถอนพิษก็อาจจักไม่ได้ผล คงต้องเจาะแผลเพื่อเปิดทางเอาเลือดพิษออกจากตัว ให้ได้มากที่สุดก่อน เราถึงจักใช้ยาถอนพิษได้ ”
หมอหลวงพูดกับลูกศิษย์ตัวเอง ก่อนจะหันมาเอ่ยกับมารดาของเด็กน้อย
“ ลูกของเจ้าอาจจักต้องเจ็บมากกว่าเดิมหนา ”
“ เจ้าค่ะท่านหมอ ”
ผู้เป็นแม่เด็กน้อยพยักหน้าตอบหมอหลวง พลางก้มบอกกับลูกน้อยที่อยู่บนตัก “ ลูกแม่เข้มแข็ง ฮึก! ทนเจ็บหน่อยหนาลูก ฮึก! ” บอกพร้อมกับเสียงสะอื้น เพราะมันคงไม่หน่อยอย่างที่พูดกับลูก
นางยอมเห็นลูกน้อยเจ็บตอนนี้เพื่อเขาจะได้มีชีวิตรอด ดีกว่าให้เขาทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะตายจากไป
“ ขอรับท่านแม่ ” เด็กน้อยตอบมารดา น้ำตายังไหลรินอาบสองแก้ม คงไม่มีอะไรจะทรมานไปกว่านี้แล้ว
เมื่อพูดคุยกันเข้าใจแล้ว หมอหลวงและลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วยก็เริ่มลงมือ กษัตริย์อสุราและกรรณาจ้องนิ่งไม่ละสายตาไปจากหมอหลวงและบรรดาลูกศิษย์เลย
กริชปลายแหลมถูกเลือกมาหนึ่งด้ามและเผาส่วนปลายให้เกิดความร้อน
“ ให้เขากัดผ้านี่ไว้ ”
“ เจ้าค่ะ ”
มารดาของเด็กน้อยรับผ้าสะอาดที่หมอหลวงยื่นให้ก่อนจะให้ลูกน้อยกัดมันไว้ทันที
เพียงแค่อึดใจเดียว! ปลายกริชก็ทิ่มเข้าเนื้ออ่อนด้วยความเร็วและชักกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน
“ เฮือก! ฮือ!! ” เด็กน้อยส่งเสียงร้องโหยหวนดังออกมาราวจะขาดใจ ..เขาทรมาน เลือดพิษโพยพุ่งออกมาเป็นทาง
“ ☉_☉! ”
ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อย กรรณาทนฟังต่อไปไม่ไหว! ร่างเล็กพุ่งพรวดเข้าไปหาเด็กน้อยด้วยความเป็นห่วง
หมับ! พรึบ! ไม่ทันจะได้ก้าวเท้า มือใหญ่ของกษัตริย์พนาสูรย์คว้าเรียวแขนของกรรณาเอาไว้ ก่อนจะรั้งเอวคอดกิ่วเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง
“ อย่าดื้อสิ! กรรณา! ”
พนาสูรย์ว่าน้ำเสียงเข้มพลางจ้องหน้าอสุรีตัวน้อยนิ่ง ให้พูดก็คงพูดได้คำเดียว ..ดื้อ
“ ข้า.. แค่อยากช่วย ” กรรณาก้มหน้าเอ่ยเบาๆ เมื่อครู่นางแค่ตกใจ
“ ข้ารู้.. ว่าเจ้าอยากจักช่วย แต่เรามีหมอหลวงคอยทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว การช่วยที่ดีที่สุด ก็คือการอยู่ห่างๆ ท่านหมอจักได้รักษาได้สะดวก เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ”
พนาสูรย์รีบเอ่ยอธิบาย เพราะไม่อยากให้อสุรีน้อยเข้าไปใกล้กลัวว่าน้องจะโดนพิษไปด้วย ก่อนที่เขาจำใจคลายอ้อมกอดออกอย่างช้าๆ อย่างน่าเสียดาย
จะทำเนียนกว่านี้คงไม่ได้ เพราะอยู่ในสายตาราษฎร และพนาสูรย์ก็สังเกตเห็นสายตาของพวกเขาที่กำลังจับจ้องมา ..เขารู้ดีว่าการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียเกียรติของกรรณาได้
พนาสูรย์จำต้องปล่อยนางออกจากอ้อมแขนแกร่งของตัวเองเพื่อรักษาเกียรติของอสุรีน้อย ...กรรณาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย และเฝ้ามองดูเด็กน้อยอยู่ห่าง ๆ
⚜️⚜️⚜️
อั้ย!! อิพี่จะมาตีเนียนกอดยัยน้องแบบนี้ไม่ได้! อย่ามาแต๊ะอั๋งลูกสาวฉันนะ!
1 คอมเม้นท์ + เพิ่มเข้าชั้น + ถูกใจ = กำลังใจนะคะ
**********
