1 มีลูกจ้างไว้ทำไม
สนามบินสุวรรณภูมิ 06.20 น.
ร่างระหงของหญิงสาวผมทองคนหนึ่งกำลังเข็นรถที่มีกระเป๋าเดินทางวางอยู่ทั้งหมดสี่ใบด้วยความกระฉับกระเฉง พอเห็นว่าบิดามารดามายืนรอรับก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดด้วยความคิดถึง โดยทิ้งรถเข็นไว้ทางด้านหลังเพราะรู้ว่ายังไงลูกน้องของบิดาก็จะต้องมาช่วยเข็นอย่างแน่นอน
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ คุณแม่แอลคิดถึงพ่อกับแม่จังเลยค่ะ”
เอลินอร์ เอกประดิษฐ์มณีหรือแอลเป็นหญิงสาววัย 24 ปี เธอไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุ 15 พอจบเกรด 12 ก็เรียนต่อปริญญาตรีบริหารธุรกิจ จากนั้นก็เรียนต่อการออกแบบอัญมณีอีกสองปีเพื่อจะกลับมาช่วยงานของบิดา แต่หลังจากเรียนจบก็เที่ยวกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน จนคุณเอกภพผู้เป็นบิดาต้องโทรศัพท์ตามให้กลับบ้านเพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเขาก็รู้ว่าลูกสาวจะเที่ยวอีกนานแค่ไหน
“เดินทางเหนื่อยไหมลูก” เสียงมารดาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เลยค่ะแม่ บินตรงแบบนี้แอลหลับยาวเลยค่ะ”
“จะเหนื่อยก็แปลกแล้วล่ะคุณ นั่งเฟิร์สคลาสแบบนั้นแถมบังบินตรงไม่ต้องแวะที่ไหน”
“ก็แอลคิดถึงคุณพ่อกับคุณแม่นี่คะ ก็เลยเลือกบินตรงจะได้ไม่ต้องแวะที่ไหนให้เสียเวลา” เอลินอร์รีบบอกอีกเหตุผลหนึ่งที่เลือกบินตรงก็เพราะเป็นคนไม่ชอบการรอ ถ้าจะให้เธอลงจากเครื่องแล้วนั่งรออีกเป็นชั่วโมงคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อแย่
“คิดถึงแล้วทำไมไม่รีบกลับมาล่ะ นี่ถ้าพ่อไม่โทรไปตามก็คงยังไม่ยอมกลับใช่ไหม” เอกภพเชื่ออย่างที่พูดเพราะเขารู้จักนิสัยของเธอดีกว่าใคร
“โธ่ พ่อคะก็แอลเพิ่งเรียนจบก็อยากจะเที่ยวก่อน ถ้ากลับมาเมืองไทยแล้วแอลก็คงไม่ได้กลับไปอีก” เอลินอร์มักจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองแบบนี้ได้ตลอด
“แต่พ่อว่าเที่ยวนานเกินไปแล้วนะ” เอกภพไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินแต่เขาอยากให้ลูกสาวรีบกลับมาเรียนรู้งานในบริษัทเพราะตอนนี้เขามีปัญหาเรื่องสุขภาพที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา แต่ก็ไม่ได้บอกเหตุผลนี้ออกไป
“แม่ขาดูพ่อสิคะ ว่าแอลอีกแล้ว” พอบิดาต่อว่านิดหน่อยหญิงสาวก็หันกลับมาอ้อนมารดา
“คุณเอกคะ ฉันว่าลูกเพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ กลับบ้านกันก่อนดีกว่าค่ะ วันนี้คุณมีประชุมแต่เช้าด้วยนะคะ” เพราะเป็นคนกลางระหว่างสามีและลูกสาวเธอจึงต้องรีบเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้การเจอหน้ากันครั้งแรกในรอบครึ่งปีต้องเสียบรรยากาศ
“นั้นสิ ไหนๆ ก็กลับมาแล้วเช้านี้เข้าประชุมกับพ่อเลยไหม พ่อจะได้แนะนำลูกสาวคนเก่งให้ที่บริษัทได้รู้จัก” เอกภพถามลูกสาวออกไปแบบทั้งที่ตัวเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
“พ่อขาแอลเพิ่งมาถึงนะคะ ขอพักก่อนได้ไหม ถ้าพร้อมเมื่อไหร่แอลจะไปทำงานกับพ่อนะคะ” หญิงสาวคล้องแขนบิดาและมารดาคนละข้างอย่างประจบ
“ได้สิลูกพักให้เต็มที่ก่อนก็ได้ ส่วนงานที่บริษัทก็ให้พ่อกับลูกน้องช่วยกันทำไปก่อน” คุณแอนเดรียหญิงวัย 52 ปีชาวอังกฤษให้ท้ายลูกสาวคนเล็กที่เธอรักยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
“แม่แอนเป็นแม่ที่น่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ” พูดจบเธอก็หอมไปที่แก้มทั้งสองข้างของมารดาอย่างประจบ
คุณเอกภพมองลูกสาวช่างอ้อนแล้วก็ส่ายหัวเพราะผู้เป็นภรรยารักและตามใจเธอจนเคยหัว ไม่ว่าเอลินอร์อยากจะได้อะไรหรืออยากจะทำอะไรแอนเดรียก็ตามใจจนเคยตัว ยิ่งลูกสาวจากไปเรียนไกลตัวแต่วัยรุ่นเธอก็ยิ่งตามใจมากขึ้นเพราะกลัวว่าความห่างเหินจะให้ลูกสาวไม่รักตนเอง
“ถ้าจะรีบกลับก็ไปเข็นกระเป๋าได้แล้ว ทิ้งไว้อย่างนั้นเดี๋ยวใครเขาก็นึกว่าเจ้าของไม่เอาขึ้นมามันจะยุ่ง” เอกภพมองไปยังรถเข็นด้านหลังที่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่บนนั้นถึงสี่ใบ
“อ้าว ทำไม่แอลต้องเข็นเองล่ะคะ ลูกน้องพ่อไปไหนทำไมไม่มาช่วยแอลเข็น” หญิงสาวพูดพลางมองหาคนที่จะมาช่วยเข็นแต่บริเวณนี้มีแค่บิดากับมารดาของเธอเพียงเท่านั้น
“ลูกน้องพพ่อจ้างมาทำงาน ไม่ได้จ้างมาเข็นกระเป๋า”
“มันก็เหมือนนั่นแหละค่ะพ่อ เราจ้างแล้วก็ควรใช้งานให้คุ้มสิคะ” เอลินนอร์พูดอย่างเอาแต่ใจ เพราะเธอรักความสะดวกสบายและไม่ค่อยทำอะไรเอง
แม้จะไปเรียนต่างประเทศแต่เธอก็ยังต้องจ้างแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดห้องและซักรีดเสื้อผ้าให้ ในขณะที่นักเรียนไทยคนอื่นๆ ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
“ถ้าแอลไม่เข็นจะทิ้งไว้ตรงนั้นก็ได้นะ พ่อไม่ว่าหรอก ไปกันเถอะแอนเดรียเดี๋ยวดินจะรอนาน”
“คุณก็ น่าจะให้ใครสักคนมาช่วยนะคะ ดูสิกระเป๋าเยอะขนาดนั้นลูกจะเข็นไหวได้ยังไง”
“แล้วเขาเอาขึ้นเครื่องมาได้ยังไงล่ะคุณ” เอกภพพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินนำออกมา เขาอยากจะดัดนิสัยลูกสาวบ้าง เพราะที่ผ่านมานั้นทั้งตนเองและภรรยาตามใจมากจนเอลินอร์แทบจะทำอะไรด้วยตัวเองเป็น จะมีเรื่องเดียวที่ลูกสาวของเขาทำได้ดีก็คือเรื่องเรียนเท่านั้น
“ไม่เป็นไรค่ะมาเดี๋ยวแอลเข็นไปเองก็ได้”
“ให้แม่ช่วยนะ” แอนเดียทำท่าจะเข้ามาช่วยลูกสาว เพราะดูแล้วกระเป๋าคงจะหนักอยู่ไม่น้อย
“อย่าเลยค่ะ อันที่จริงมันก็ไม่หนักอะไรหรอกค่ะ แต่ที่กระเป๋ามันมีหลายใบเพราะของบางอย่างแอลต้องแพ็กมาอย่างดีมันก็เลยใช้พื้นที่เยอะไปนิดค่ะ” หญิงสาวรีบบอก
“งั้นหนูเข็นตามมาช้าๆ นะไม่ต้องรีบ”
“แม่คะ คนที่มารับเราคือนายดินเหรอคะ แอลนึกว่าจะเป็นลุงสมานเสียอีก” ลุงสมานที่เธอพูดถึงก็คือคนขับรถที่ทำงานรับใช้ที่บ้านเธอมานาน
“จ้ะ ลุงสมานต้องรับรถให้พ่อตอนกลางวัน ถ้าให้ตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกมารับลูก แม่ก็กลัวจะง่วง ดินเขาเลยอาสามารับ”
อันที่จริงในตอนแรกเธอกับสามีก็จะมารับลูกสาวกันแค่สองคนแต่พอปฐพีหรือดินรู้เขา เขาก็เป็นคนอาสาขับรถมาให้เพราะไม่อยากให้คุณเอกภพที่เขารักเหมือนบิดาต้องขับรถเอง
“อ้อ ดีเหมือนกันนะคะนายดินคนนี้เลี้ยงไว้ไม่เสียข้าวสุกจริง”
หญิงสาวนึกถึงเด็กชายตัวผอมสูงที่เอาแต่เดินตามติดพี่ชายของเธอไปทุกที่เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นเธอก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลยถึงแม้ว่าเขาจะไปเรียนที่เมืองเดียวกับเธอและเธอก็มาพาพี่ชายที่หอพักบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยได้เจอกัน
“แอล อย่าพูดแบบนี้ให้พ่อหรือคนอื่นได้ยินนะ” คุณแอนเดรียรีบปราบลูกสาว
“ทำไมล่ะคะแม่”
“มันฟังดูไม่ดี คนอื่นเขาจะหาว่าเราไปดูถูกเขา”
“แอลก็พูดเรื่องจริงพ่อรับเขามาอยู่ที่บ้าน เลี้ยงเขาเหมือนกับเป็นลูกคนหนึ่งเขาก็ควรจะตอบแทนเราบ้าง”
เอลินอร์ไม่เข้าใจว่าทำไมครอบครัวของเธอถึงได้ปฏิบัติกับเขาเหมือนกับเขาเป็นคนสำคัญทั้งๆ ที่เขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอเลยสักนิด
ขณะที่เดินและเข็นรถตามบิดามารดามายังด้านหน้าอาคารรถตู้สีดำคันหรูก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้าพอดี
“แม่คะ แอลคงไม่ต้องยกกระเป๋าขึ้นรถเองใช่ไหมคะ” เอลินอร์หันมาถามมารดา เพราะเห็นว่าบิดาตนเองยังเปิดประตูขึ้นไปนั่งเองโดยที่คนขับรถไม่มาเปิดให้อย่างที่ควรจะเป็น
“ไม่ขนาดนั้นหรอกลูกเดี๋ยวดินเขาก็ลงมาช่วยเอง หนูขึ้นนั่งรอในรถได้เลย”
หญิงสาวขึ้นไปนั่งในแถวหลังในขณะปฐพีลงมายกกระเป๋าทั้งหมดไปไว้หลังรถ