บทที่ 1
บรรยากาศภายในห้องประชุมของบริษัท ซี คลาร์ก จำกัด เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เพราะเป็นการประชุมประจำปี เพื่อรายงานผลประกอบการให้ผู้ถือหุ้นทั้งรายเล็กรายใหญ่ได้รับทราบ ซึ่งแน่นอนว่าในปีนี้ บริษัทซี คลาร์ก ได้สร้างผลกำไรทะลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งไว้
มาร์คัส คลาร์ก ซึ่งเป็นผู้บริหารหนุ่มมือฉมัง ติดอันดับนักธุรกิจชื่อดังอันดับต้นๆ ของเอเชีย เป็นผู้กุมบังเหียนบริษัทแห่งนี้อยู่ ทว่า มาร์คัสเพิ่งเข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทแห่งนี้ และเปลี่ยนชื่อให้เข้ากับกิจการทั้งหมดของเขาในเครือ ซี คลาร์ก กรุ๊ป เมื่อครึ่งปีให้หลังนี้เอง
การบริหารงานแค่เพียงครึ่งปี มาร์คัส ก็สามารถฉุดให้ธุรกิจที่กำลังจะล้ม ได้ลุกขึ้นมาผงาดในวงการธุรกิจอีกครั้ง ซึ่งการเทคโอเวอร์ และทำให้บริษัทแห่งนี้มีผลกำไรทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ขาดทุนย่อยยับ ส่งให้นักธุรกิจหนุ่มอย่างมาร์คัสกลายเป็นที่กล่าวขานของคนในวงการธุรกิจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ผลประกอบการของบริษัทแห่งนี้จะได้กำไรทะลุเป้า แต่ก็ไม่ได้สร้างความพึงพอใจให้กับมาร์คัสเท่าที่ควร เพราะหากจัดอันดับธุรกิจที่อยู่ในเครือ ซี คลาร์ก กรุ๊ปแล้ว บริษัท ซี คลาร์ก จำกัด ทำกำไรได้ในอันดับรั้งท้าย!
“ผมอยากให้ทุกคนกลับไปทำรายงาน ผลการทำงานให้ผมใหม่อีกครั้ง”
มาร์คัสบอกกับผู้บริหารทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม บริษัทแห่งนี้มีรอยรั่วจากเจ้าของเดิมอยู่หลายจุด และเขาจะอุดรอยรั่วนั้น เพื่อสร้างผลกำไรให้ได้มากกว่านี้
“คุณมาร์คัสต้องการรายงานวันไหนครับ” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นหน่วยกล้าตาย เอ่ยถามผู้เป็นเจ้านาย แทนเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
“วันจันทร์! รายงานที่ผมต้องการต้องวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผมในเช้าวันจันทร์”
และคำตอบที่ได้รับจากมาร์คัส ทำเอาลูกน้องทุกคนต้องมองหน้ากัน พลางถอนหายใจไปตามๆ กัน พวกเขามีเวลาในการทำรายงานแค่เพียงสามวันเท่านั้น ซึ่งเป็นงานที่หนักเอาการ สำหรับการทำรายงานผลการทำงานทั้งปีให้เสร็จสิ้นภายในสามวัน
แต่! ถึงแม้การทำงานกับมาร์คัสจะค่อนข้างหนัก และต้องทำให้ได้ตามที่ถูกเจ้านายสั่ง ทว่าผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่ายิ่งนัก
เพราะนอกจากมาร์คัสจะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทุกคนมากกว่าบริษัทอื่นๆ แล้ว เจ้านายผู้นี้ยังมีสวัสดิการให้กับคนในครอบครัวของพนักงานด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้พนักงานทุกคนยอมทำงานแบบถวายชีวิต ไม่เคยมีใครคิดจะลาออกจากบริษัทซี คลาร์ก แม้แต่คนเดียว
“นอกจากรายงานที่ผมสั่งพวกคุณไปแล้ว ผมอยากให้ทุกคน...”
มาร์คัสชะงักคำพูดอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อจู่ๆ ประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกกว้างโดยแขกไม่ได้รับเชิญ ดวงตาคมกริบจ้องมองเขม็งไปที่ประตูในทันที
และสิ่งที่สะกดให้ทุกคนในห้องต้องตกตะลึกไปตามๆ กัน ก็คือร่างเล็กของเด็กน้อยผมยาวสีทอง ซึ่งอุ้มตุ๊กตาหมีอยู่ในมือ เดินเป็นวิ่งตรงเข้ามาเพื่อจะสวมกอดเจ้านายของพวกเขา
“สวัสดีค่ะ”
น้ำเสียงใสเล็กกล่าวทักทาย พร้อมกับย่อตัวไหว้แบบไทยๆ อย่างสวยงาม เท่านั้นยังไม่พอ ยังฉีกยิ้มกว้างให้ ก่อนจะโผเข้าไปสวกอดมาร์คัสไว้แน่น พร้อมกับพูดเสียงสดใสว่า
“แด๊ดดี้ เอมมี่คิดถึงแด๊ดดี้ที่สุดเลยค่ะ”
“เฮ้ย!”
มาร์คัสร้องเสียงหลง เบิกตากว้างกับคำทักทายของเด็กน้อยคนนี้ ซึ่งหากให้คาดเดาน่าจะอายุราวๆ 7-8 ปีเห็นจะได้ แต่ที่เขามั่นใจคือเด็กน้อยซึ่งเรียกตัวเองว่าเอมมี่ เป็นลูกครึ่งเหมือนเขาอย่างแน่นอน
“แม่หนูน้อย เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ใครเป็นแด๊ดดี้ของหนูครับ”
แม้ออกจะงุนงงอยู่มากๆ ที่เด็กน้อยคนนี้มาอุปโลกน์ให้เป็นบิดาของเธอ กระนั้นน้ำเสียงที่มาร์คัสเอ่ยถามออกมาก็เต็มไปด้วยความเอ็นดูที่มีต่อเด็กคนนี้
ปาลิดา หรือที่ผู้เป็นแม่เรียกว่า เอมมี่ ได้เงยหน้าทอดดวงตากลมโตจ้องมองมาร์คัส พร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง แล้วเอ่ยตอบเสียงสดใสเหมือนเดิมว่า
“ก็แด๊ดดี้ยังไงล่ะคะ”
เอมมี่จิ้มนิ้วเล็กไปบนหน้าอกภายใต้เสื้อสูทราคาแพงของมาร์คัส แล้วเอ่ยต่อว่า
“แด๊ดดี้เป็นแด๊ดดี้ของเอมมี่...เอมมี่จะย้ายมาอยู่กับแด๊ดดี้ในประเทศไทยค่ะ”
“เฮ้ย! ไปกันใหญ่แล้ว”
มาร์คัสผลักร่างเล็กของหนูน้อยเอมมี่ให้ถอยออกห่าง เมื่อมีโอกาสมองสบตากับดวงตา และเห็นใบหน้าของเด็กคนนี้ ชายหนุ่มก็เกิดอาการแปลกใจ เพราะเขารู้สึกราวกับตนเองเคยเห็นใบหน้าและดวงตาคู่นี้มาก่อน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
การประชุมที่เคร่งเครียดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย มาร์คัสจ้องมองหนูน้อยตรงหน้าเขม็ง พร้อมกับเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ
“หนูชื่อเอมมี่ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ แด๊ดดี้ เอมมี่ชื่อเล่น เอมมี่ ชื่อจริงปาลิดา คลาร์กค่ะ”
‘เราไปทำผู้หญิงท้องตั้งแต่เมื่อไรหว่า เด็กคนนี้ถึงเรียกเราว่าแด๊ดดี้ แถมยังใช้นามสกุลของเราอีก’
มาร์คัสขบคิดอยู่ในใจ พยายามนึกถึงอดีตที่ผ่านๆ มาว่าตนเองเผลอลืมป้องกันตัวกับบรรดาคู่ควงมากหน้าหลายตา จนก่อให้เกิดเด็กน้อยคนนี้หรือเปล่า แต่เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตนเองไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว เขาป้องกันตัวเองได้ดีเสมอมา