บทที่ 02 ห้าวตี-น
"ทำอะไรกัน!" ฉันรีบวิ่งไปขวางหน้าฝูงวัยรุ่นชุดนักเรียนที่ยืนกันหลายคน หนึ่งในนั้นคือไอต้นกล้าน้องชายของฉันผู้ที่มีบาดแผลรอยช้ำอยู่มุมปากและตามใบหน้า กำลังโดนอีกคนกระชากเสื้อแน่นจนฉันต้องรีบวิ่งไปผลักมันให้กระเด็นออกจากตัวน้องชาย
"เชี้ยใครว่ะ!?" คนที่กระดอนด้วยแรงผลักของฉันสบถขึ้นเสียงดัง ขณะที่ฉันดันให้น้องชายไปยืนข้างหลังแล้วเป็นคนยืนต่อหน้าเผชิญกับพวกมันด้วยตัวเอง
"กูเองจะทำไม?" ฉันเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างเอาเรื่อง จนมันเงยหน้ามาดูพอเห็นเป็นฉันก็พากันกลั้วเสียงขำในลำคอราวกับดูถูก
"หึ ไอกล้ามึงจนตรอกจนต้องให้ผู้หญิงช่วยเลยเหรอวะ?" เรียวปากหนายกขึ้นแล้วหันไปหัวเราะกับพรรคพวกของมันรวม ๆ กันไม่ต่ำกว่าเจ็ดคน ขณะที่ฉันก็เลือกที่จะเลิกสนใจแล้วหันกลับมาถามน้องชายเสียงเบา
"พวกของแกล่ะ"
"พวกอะไร มีอยู่คนเดียว" คำตอบของน้องชายทำเอาฉันถึงกับพูดไม่ออก ไหนไอปั๊กบอกว่ายกพวกตีกัน แต่แม่งทำไมฝั่งฉันกลับหว้าเหว่เหลือเกิน ยืนเหงา ๆ กันอยู่สองคนไม่รวมไอปั๊กที่ยืนหลบหลังกำแพง กับพวกมันเจ็ดคนที่กำลังมองเราสองพี่น้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"ไอสัส…" ฉันพึมพำคนเดียวแล้วเบนสายตาไปมองคนที่คาบข่าว ขณะที่ไอปั๊กมันก็มองมาที่ฉันแล้วยกมือไหว้ราวกับกำลังสำนึกผิด ถ้าฉันรู้มาก่อนว่ามีกันอยู่สองคนฉันจะไม่อวดดีขนาดนี้เลย ดันผลักมันจนกระเด็นจนเกือบหงายท้องขนาดนั้นลำพังพวกฉันสองคนคงสู้มันไม่ไหว แต่กับมันค่อยคิดบัญชีทีหลัง ตอนนี้ฉันต้องหาทางเอาตัวรอดจากพวกตรงหน้าให้ได้ก่อน ซึ่งมันก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้น…
"ไอกล้าเตรียมตัว ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม" ฉันกระซิบกระซาบกับน้องชายเสียงเบา สายตายังมองที่พวกมันพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ ที่ยกขึ้น
จนกระทั่ง…
"สาม วิ่งโว้ย!" เหตุการณ์เริ่มชุลมุนขึ้นเมื่อฉันจับมือน้องชายวิ่งหนีคู่อริของมันสุดชีวิต เรียวขาบางก้าวยาว ๆ วิ่งหนีเอาตัวรอดจากสิบสี่ตีนที่กำลังวิ่งไล่ตาม
เราวิ่งกันจนไม่สนใจหนทาง สับเท้าด้วยความเร็วแสงวิ่งนำพวกมันออกมา สกิลการวิ่งของฉันไม่แพ้ผู้ชายเลยสักนิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงตาย
เราสองพี่น้องวิ่งนำขณะที่พวกมันก็ตามหลังไม่เลิก จนมาถึงทางแยกที่ต้องเลือกไปสักทางฉันจึงค่อย ๆ ลดความเร็วแล้วหันไปบอกไอต้นกล้า
"แกไปทางนู้น ฉันจะล่อมันไปทางนี้เอง" ฉันเอ่ยกับต้นกล้าด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย จนมันพยักหน้าเข้าใจแล้วออกตัววิ่งนำไป เช่นเดียวกับฉันที่หันไปเห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นที่วิ่งตามมาเร็วขึ้นจึงรีบวิ่งไปทางซ้ายแล้ววิ่งต่ออีกครั้ง
ยิ่งวิ่งเข้าไปลึกทางท้ายตลาดก็ยิ่งเปลี่ยวไร้ผู้คน เลือกเส้นทางการวิ่งได้ดีเหลือเกิน ถ้าโดนจับได้แล้วถูกฆ่าตายตรงนี้ ฉันบอกได้เลยว่าคงอีกหลายวันที่จะมีคนหาศพฉันเจอ
"จะตามกันไปถึงไหนวะ!" ฉันที่หันหลังไปมองพวกมันก็ยังวิ่งตามเหมือนเดิม แรงเท่าควายของฉันก็เริ่มที่จะหมดเต็มที ยิ่งนอนน้อยความแข็งแรงและประสิทธิภาพก็ยิ่งลดลง ฉันเริ่มหายใจติดขัดแต่ก็ยังสับเท้าพยายามวิ่งอย่างไม่ย่อท้อ จนผ่านไปอีกห้าร้อยเมตรร่างกายก็เริ่มไม่ไหวที่จะวิ่งต่อสายตาจึงเริ่มมองหาที่ซ่อนตัวแทน
"ตรงนี้แล้วกัน" ฉันกลับตัวเลี้ยวเข้าไปในซอยคับแคบ จนเห็นว่ามีซอกเล็กๆ ที่สามารถแอบได้ก็รีบวิ่งเข้าไปหลบในทันที
ตึกตึก
ตึกตึก
เสียงฝีเท้าหลายคนวิ่งเข้ามาใกล้จนเงียบลง บ่งบอกว่าพวกมันหยุดตรงที่ฉันกำลังแอบอยู่ไม่ไกลแล้วมีเสียงพูดคุยกันดังขึ้น
"มันต้องอยู่แถวนี้แหละ หาให้ทั่ว!" พวกแม่งก็เก่งกันเหลือเกิน อุตส่าห์เลี้ยววิ่งเข้ามาหลบก็ยังวนมาหากันเจออีก ฉันทำตัวให้ลีบที่สุดแล้วหลบอยู่หลังกำแพงที่เต็มไปด้วยสังกะสีด้วยความเงียบ มือบางชื่นไปด้วยเหงื่อทั้งตื่นเต้นและลุ้นว่าพวกมันจะจับฉันได้ กรอบหน้าก็ผุดไปด้วยเม็ดเหงื่อจากการวิ่งระยะไกลเกือบหลายโล
เป็นแม่ค้าขายผลไม้อยู่ดี ๆ ไม่ชอบดันมาห้าวรับตีนจากเด็กอายุน้อยกว่าจนได้ ไม่รู้ว่าไอต้นกล้าจะหนีไปได้ไหมแต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะวิ่งตามฉันกันมาหมด กลับกลายเป็นคนที่กำลังลุ้นจะโดนตีนเป็นฉันเสียอย่างนั้น
"ตัวก็เล็กแต่วิ่งเร็วชิบหาย…" เสียงพูดคุยกันเริ่มไกลจากตัวฉันบ่งบอกว่าพวกมันกำลังจะเดินออกไป ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สวรรค์ยังเข้าข้างไม่ให้ฉันถูกกระทืบตายอย่างอนาถตรงนี้
แกร่ก!
แต่เหมือนความโชคดีของฉันกำลังจะหมดไปในไม่ช้า ขณะที่กำลังจะโผล่หัวเพื่อดูลาดลาวพวกมัน ไอขายาวไม่รักดีก็ดันไปเหยียบสังกะสีจนเกิดเสียง นั้นจึงทำให้พวกมันหันขวับกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ฉันรีบก้มหลบท่องนะโมในใจหวังเป็นคาถาหายตัวเผื่อพวกมันจะมองไม่เห็น เพราะตอนนี้พวกมันกำลังเดินกลับมาทางฉันแล้ว
"กูว่ากูเจอแล้ว…" เสียงหนึ่งในนั้นดูอารมณ์ดีขึ้นเมื่อเริ่มรู้ว่าฉันกำลังแอบอยู่ตรงนี้ ฝีเท้าเจ็ดคู่กำลังเดินเข้ามาใกล้ในระหว่างที่ฉันก็พนมมือท่องคาถาอยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่ง…
"พวกมึงมาทำอะไร?" เสียงของใครอีกคนที่ทำให้เท้าเจ็ดคู่ชะงักเปลี่ยนทิศทาง จากที่เดินมาหาฉันเป็นหันกลับไปมองอีกทางแทน ฉันค่อย ๆ ชะโงกหัวขึ้นช้า ๆ เพื่อดูคนที่เข้ามาช่วยในจังหวะนรก จนได้เห็นว่าเป็นผู้ชายสวมเชิ้ตขาวทับด้วยสูทราคาแพงสีดำ มีชายชุดดำขนาบข้างซ้ายขวาท่าทางน่ากลัวเลิกคิ้วถามด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง
"มึงนั้นแหละมาทำอะไร อย่าเสือก!" คู่อริของไอต้นกล้าพูดสวนทันที ไอนี้มันดูโง่มากนะ ถ้าเป็นฉันที่ยืนตรงนั้นคงไม่กล้าพูดอะไร เพราะลำพังแค่บุคลิกภายนอกและลูกน้องชุดดำขนาบข้างดูก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา
"รีบออกไปจากที่นี่ในตอนที่กูยังให้โอกาส" น่าขนลุกชะมัดเลย เขาแค่เอ่ยไม่กี่ประโยคพวกมันก็นิ่งลง จนฉันต้องชะโงกหัวต่อถึงได้เห็นว่าลูกน้องชุดดำของเขากำลังเลิกเสื้อขึ้นเพื่อโชว์กระบอกปืนสีดำเมี่ยม
"คะ ครับ ๆ" วัยรุ่นคู่อริไอต้นกล้ารีบวิ่งไปอย่างไว ซึ่งจริงๆ ฉันต้องดีใจใช่ไหม…แต่เปล่าเลย ฉันกลับแอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ คนที่มาใหม่สามคนดูน่ากลัวกว่าเจ็ดคนเมื่อครู่เยอะเลย
"ออกมา…จะซ่อนอีกนานไหม?"