ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
สิรินทร์กวาดมองไปทั่วบ้านหลังใหญ่ บ้านของภากรณ์มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น หากจะมองอีกมุมวังเวงอยู่ไม่น้อย ทันทีที่รถจอด เด็กในบ้านก็กรูกันเข้ามาต้อนรับ สิรินทร์ยืนมองด้วยความสงสัยทำไมบ้านพ่อหมอไสยเวทถึงมีผู้ชายฉกรรจ์เยอะขนาดนี้
“คุณท่านมาแล้ว ตอนเย็นจะให้จัดโต๊ะอาหารรอเลยไหมคะ”
ป้าแก่ๆ คนหนึ่งถามเขาขณะที่ภากรณ์เดินเข้ามาในบ้าน หากจะเทียบอายุแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับป้าระเมียด หญิงสูงวัยถามจบก็เบี่ยงสายตามาที่สิรินทร์ ทำให้ภากรณ์ต้องแนะนำ
“เด็กคนนี้จะมาอยู่ที่นี่ เธอชื่อสิรินทร์ป้าช่วยดูแลเธอด้วย”
สิรินทร์ยกมือไหว้ ส่วนป้าคนนั้นก็ยกมือรับ แล้วเธอก็เดินหายไปในครัว แต่หลังจากนี้ สิ่งที่เธอต้องขนลุก คือภากรณ์พูดกับสิ่งลี้ลับที่เธอมองไม่เห็น
รัก :พ่อจ๋าพ่อพาใครมาจ้ะ
“เธอชื่อสิรินทร์ ช่วยดูแลเธอด้วย”
ยม :พ่อจ๋า เธอเป็นเมียพ่อเหรอจ้ะ
“อยากให้เป็นไหม”
รักยม :อยากจ่ะ
แน่นอนว่าเธอไม่รู้ว่าประโยคสนทนาที่ว่างเปล่านั้นมันพูดว่าอย่างไรบ้างเธอได้แต่มองตามเสียงของชายหนุ่มเท่านั้น สิรินทร์รู้สึกว่าอยู่ที่นี่นาน ชีวิตเธออาจไม่ปลอดภัยเธอเลยเอ่ยถามเจ้าของบ้าน
“คุณภากรณ์ เมื่อไหร่หนูจะได้ทำพิธีที่บอกคะ”
“เธอรีบเหรอ บ้านฉันออกจะใหญ่โต หรือมันทำให้เธออึดอัด”
สิ่งที่ทำให้สิรินทร์อึดอัดคงไม่ใช่บ้าน แต่น่าจะเป็นเจ้าของบ้านมากกว่า แต่อย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ตอบออกไป เมื่อเห็นว่าสิรินทร์ยืนนิ่งภากรณ์ก็รีบพูดขึ้นอีก แต่ไม่ได้พูดกับเธอ
“ไปตามป้าแว่นมา บอกว่าพ่อให้เธอขึ้นไปอยู่ห้องทางปีกซ้าย”
จ้ะพ่อ
รักยมทั้งสองรับคำสั่งแล้วหายไป ส่วนคนที่ยืนขนลุกอยู่คงเป็นสิรินทร์ หากถามว่าเคยเห็นผีไหมเธอก็ยังไม่เคยเห็นแบบเป็นๆสักครั้งมีแค่ในความฝันของเธอเท่านั้น
“เธอยืนรอตรงนี้ เดี๋ยวจะมีป้าแม่บ้านพาเธอขึ้นไปที่ห้องพัก”
เมื่อพูดจบภากรณ์ก็กระชับเท้าขึ้นไปที่ห้องพักตัวเอง ส่วนสิรินทร์เธอก็ยืนอยู่กับที่ จนเวลาผ่านไปสักพัก ป้าแม่บ้านคนเดิมก็มาพาเธอขึ้นไปที่ห้อง แต่ป้าคนนั้นไม่ได้พูดหรือชวนเธอคุยสักนิด มันยิ่งทำให้เธออึดอัดเข้าไปใหญ่ ครั้นจะไม่ถามสิ่งที่อยากรู้ก็มีอยู่บ้าง จนทำให้เธอต้องเผยวาจาขึ้น
“ป้าคะ ที่บ้านนี้อยู่กันกี่คนคะ”
“จะให้รวมหมดทุกอย่างเลยไหมละ”
“ทุกอย่างเหรอ”
เธอย้ำเพราะความสงสัย
“ใช่ หากจะนับสิ่งมีชีวิตก็ราวๆสิบคน แต่หากนับสิ่งไม่มีชีวิตก็สิบกว่า”
นั้นยิ่งทำให้เธอต้องขนลุกเข้าไปใหญ่ ไอ้สิ่งที่มีชีวิตสิบคนก็น่ากลัวแล้ว ไหนจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอีก เธอนิ่งไปสักพัก แล้วป้าคนนั้นก็ถามเธอกลับมา
“หนูมาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไร?”
คำถามที่ชวนงงอยู่บ้าง เพราะที่เธอมาอยู่แค่ให้พ่อครูภากรณ์ทำพิธีปัดเป่าความชั่วร้ายให้เท่านั้น เมื่อเขาทำเสร็จเธอก็พร้อมออกไปอยู่แล้ว
“หนูมาให้พ่อครูช่วย หากเสร็จพิธีหนูก็คงไปจากที่นี่ค่ะ แต่ไม่รู้ว่าพ่อครูจะทำพิธีวันไหนต้องเตรียมอะไรบ้าง”
“แน่ใจใช่ไหมจ้ะ”
ประโยคของป้าทำเอาเธอต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง ทำไมคนบ้านนี้ชอบพูดจาแปลกๆ อีกทั้งป้าพูดจบก็ยิ้มให้เธอแล้วเดินออกจากห้องไป
สิรินทร์เดินมานั่งที่เตียงนอนแล้วก็มองผ่านหน้าต่างห้องออกไปอีกครั้ง เมื่อนึกถึงว่าเบื้องหน้าเธอต้องใช้วิตอยู่เพียงคนเดียวแล้วตอนนี้ และสิ่งที่เธอไม่รู้อีกอย่างคือเจ้าเด็กกุมารทองทั้งสองก็มานั่งมองเธออยู่ในห้อง
รัก :แกว่าแม่ใหม่คนนี้ของเราสวยไหม
ยม :สวยกว่าคนก่อน
รัก :แล้วนิสัยจะเหมือนคนก่อนไหม
ยม :ไม่เหมือนหรอกดูจากหน้าแล้วซื่อๆ
ค่ำของวันนั้น
สิรินทร์เธอเห็นว่าตอนนี้มันก็มืดค่ำพอที่ท้องน้อยๆของเธอจะร้องเพราะความหิว แต่มันน่าแปลกตรงที่ไม่มีใครอยู่ด้านล่างสักคน เธออยากจะถามใครสักคนแต่ก็ไม่มีใครอยู่ เธอเดินไปที่ครัวเพื่อจะหาป้าแม่บ้านแต่ก็ไร้เงา
“บ้านนี้เขาไปไหนกันหมด”
เธอพูดขึ้นกับตัวเองในขณะที่มือเล็กยังกุมไปที่ท้องน้อยๆอยู่ เมื่อความหิวมันเรียกร้องมากขึ้น เธอจึงจำเป็นต้อง ถือวิสาสะรื้อในครัว แล้วเจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สิรินทร์ไม่ได้รอช้าจัดการต้มน้ำพอไฟเดือดแล้วลวกเส้น แต่ระหว่างนั้น
“เธอทำอะไร”
เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้เธอต้องสะดุ้งเพราะความตกใจแล้วหันไปมองตามเสียง
“คะ คือหนูหิว”
เธอพูดตะกุกตะกักเหมือนกลัวเจ้าของบ้านตำหนิ อาการของเธอดูลนลานจนหน้าขำ
“ไม่ต้องกลัวฉันก็แค่ถาม ไม่ได้ดุ อีกอย่างบ้านนี้ตั้งโต๊ะตอนทุ่มครึ่งนี่พึ่งจะหกโมงเองเธอหิวแล้วเหรอ”
“คือหนูไม่ได้ทานมื้อเที่ยงเลยรู้สึกหิว”
ใบหน้าที่ชวนมองของสิรินทร์มันยิ่งทำให้ภากรณ์ ต้องมองอย่างไม่ละ เด็กสาวที่พึ่งจะแรกแย้มมันชวนให้หอมหวนไม่น้อย
สิรินทร์จัดการล้างอุปกรณ์ที่เธอทำให้สะอาด แต่เหมือนภากรณ์จะคอยเฝ้าเธอไม่ห่าง ไม่เพียงแค่เฝ้าเท่านั้น ชายหนุ่มยังกระชับเท้าเข้ามาบังเบียดชิดใกล้ มันยิ่งทำให้สิรินทร์รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“เธอคิดจะอยู่ที่กรุงเทพนานไหม”
เสียงที่ถามดังอยู่ข้างหูของสิรินทร์ เธอรู้สึกเริ่มไม่ไว้ใจพ่อครูภากรณ์สักนิด อีกทั้งรู้สึกรำคาญอย่างบอกไม่ถูก ทำไมคนที่ผู้คนนับถือ ถึงมีนิสัยร้ายลึกขนาดนี้กัน เธอวางอุปกรณ์ต่างๆเก็บให้เข้าที่หมายจะหันมาพูดอย่างไม่เกรงใจ เมื่อจะอ้าปากเท่านั้น
“ที่จริง..อื้อ”
เสียงที่จะพูดหายลงไปที่ลำคอ พร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่าภากรณ์จะใช้ริมฝีปากร้อนประกบจูบมาที่ปากเธอแถมเขายังดูดดุ้นมัน จนเธอรู้สึกขนลุก
“อื้อ ปล่อย”
สิรินทร์พยายามร้องท้วง แต่มันก็ไม่เต็มเสียงเท่าไหร่นัก เมื่อมือหนาประคองใบหน้าเรียวไว้ไม่ให้มันดิ้นหนี แถมเธอเองก็แทบจะขาดอากาศหายใจให้ได้แล้ว สิรินทร์พยายามใช้มือส่วนที่ว่างผลักไปที่อกของเขา ให้ตายเถอะร่างกำยำนั้นเหมือนจะไม่สะท้านเลยสักนิด จนกระทั่ง
“ฉันกำลังจะช่วยเธอ ทำไมเธอคิดรำคาญฉันละ”
เมื่อถอนบทจูบที่ดูดดื่มออกแล้ว คำพูดที่เขาพูดนั้นมันทำให้เธอต้องชะงักให้ตายเถอะเขาล่วงรู้ทุกอย่างที่เธอคิดจริงๆใช่ไหม
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะ”
ด้วยความโมโหมันทำให้เธอต้องโพล่งเสียงใส่เขา พร้อมสายตาที่ดุดันไม่น้อย หากจะบอกว่าเธอไร้ญาติขาดมิตรมันก็ใช่ แต่ที่เธอเข้ามาเพราะอยากพึ่งใบบุญหวังว่าสิ่งที่ตามเธออยู่นั้นมันจะหายไป แต่ทำไมสิ่งที่เจอเหมือนจะเลวร้ายหนักกว่าเดิม
“เธอกำลังโกรธฉันนะ สิรินทร์!!”
เขาเรียกเตือนสติเพราะสายตาของสิรินทร์ตอนนี้มันยิ่งกว่าโกรธ เธอไม่คิดอยากจะให้เขาช่วยแม้แต่น้อย สิรินทร์เด็กสาวผลักไปที่อกของภากรณ์ จนสุดแรงก่อนที่เธอจะกระชับฝีเท้าเดินขึ้นห้อง เชื่อเถอะว่าการขึ้นไปครั้งนี้ไม่ใช่แค่ขึ้นไปพักผ่อนแน่นอน
ภากรณ์มองตามร่างนั้นไป เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองกระทำผิดแต่อย่างใด แต่สิ่งที่คิดคือเด็กสาวคนนี้มีบ่วงกรรมร่วมชะตากับเขา แน่นอนละว่า สิ่งที่เขาคิดคือการได้ร่วมหอลงโรง ในเมื่อฟ้าลิขิตมาแบบนั้นมันจึงทำให้เธอกับเขาได้พบเจอกันวันนี้
ยม :พ่อจ้ะแม่เก็บของจะออกจากบ้านแล้ว
กุมารทองตัวจ้อยรีบมารายงานเมื่อคนที่อยู่ด้านบนนั้นเหมือนจะเก็บเสื้อผ้าตัวเองยัดใส่ในกระเป๋าตามเดิม
“ถ้าพ่อไม่เรียกแกไม่ต้องขึ้นไป อีกอย่างห้ามใครรบกวน!!”
เป็นคำสั่งที่เรียกว่าชนิดเด็ดขาดก็ว่าได้ เมื่อพูดจบภากรณ์ก็สาวเท้าไวขึ้นไปข้างบนห้องฝั่งที่สิรินทร์พักอยู่เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้า รีบเคาะไปที่ห้องอย่างแรง
ปัง ปัง
ส่วนคนที่อยู่ภายในห้องตอนนี้เนื้อตัวสั่นระริกเธอกลัวไปหมด กลัวว่าภากรณ์จะทำอะไรเธอทั้งกลัวว่าการหนีออกไปจะเจออะไรบ้าง เธอยืนนิ่งพร้อมหอบกระเป๋าผ้าใบเล็กอยู่แบบนั้น จนกระทั่งประตูที่เธอลงกลอนไว้ เปิดเองอัตโนมัติ
แอร็กก
สิรินทร์เธอตกใจยิ่งกว่าเดิมไม่คิดเลยว่าเขาจะสะเดาะกลอนได้ด้วยคาถาที่เขามี แต่ที่จริงแล้วเขาเพียงใช้รักยมเป็นคนเปิดเท่านั้น
“เธอจะไปไหน”
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาก็ถามด้วยเสียงแข็ง สิรินทร์เธอไม่กล้าจะตอบไม่กล้าแม้จะคิด แต่ก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเขาหันไปลงกลอนประตู
“หนูขอร้องละ หนูไม่ได้ทำอะไรผิด ปล่อยหนูไปเถอะ”
เธอยกมือขึ้นไหว้คนตรงหน้า ภากรณ์ที่มีอายุห่างจากเธอถึงยี่สิบปี เขากลับถอนหายใจแล้วพูดอย่างใจเย็น
“เธอรู้หรือเปล่าทำไมเธอถึงมายืนอยู่ตรงนี้”
สิรินทร์พยักหน้าเพราะสิ่งที่เธอรู้คือ เธอเข้ามาทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเท่านั้น
“แล้วเธอรู้หรือเปล่าว่าสวรรค์ลิขิตให้เธอมาพบฉันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”