ปฐมบท 2 ปรารถนาบุพเพนาง
การต่อสู้ของชายหญิงเกิดขึ้นเนิ่นนาน
เสียงสั่นครืนก้องหล้า คล้ายแผ่นดินสะเทือนกึกก้อง ดังลั่นสะท้านผืนป่าสะท้อนหุบเขาอยู่เช่นนั้น
จังหวะพุ่งตัวเข้าปะทะและกรีดกระบี่ใส่กันในระยะประชิด ใบหน้าของพวกเขาแทบแนบสนิท ยังดีที่มีอาวุธคมกริบกางกั้น มิเช่นนั้นคงคล้ายกับทำสิ่งอื่นมากกว่าฆ่าฟัน
ขณะดวงตาคมสบประสานดวงตางามภายใต้หน้ากากเงินคู่นั้น หยางเจี้ยนสัมผัสได้ว่าพลังทำลายล้างของสตรีตรงหน้าสูงกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มาก
ทว่าเสียงสตรีกลับดังลอดไรฟันอย่างเรียบง่ายแต่หนักแน่นยิ่ง
“ข้ามีหน้าที่ของข้า ท่านมีหน้าที่ของท่าน แม้เราสองไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ข้าจะติดตามท่านกลับเมืองหลวง ขอแค่วาจาสัตย์ เพียงท่านรับปากข้า”
บุรุษแค่นเสียงรับ “ได้! ว่ามา”
สตรีผละออกสะบัดดาบ ก่อนพุ่งเข้ามา กระบี่บุรุษกรีดอากาศทะยานรับรุก เกิดการปะทะราวอสนีบาตฟาด กำเนิดประกายแสงแปลบปลาบไม่จบสิ้น
“ดี! ศึกนี้หนักหนา ข้ายอมตายภายใต้เงื้อมมือท่าน แลกกับผลงานใหญ่หลวงของท่าน แต่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติ ค่ายโจรแห่งนี้จะสิ้นสลายไปพร้อมกับชีวิตของข้า คนที่ตายล้วนตายไปถือว่าชดใช้กรรม แต่คนที่หายสาบสูญนั้น ขอแค่ท่านไม่ตามหาหรือหมายหัวพวกเขาอีก ข้าจะลดดาบในมือยอมให้ท่านบั่นคอเดี๋ยวนี้”
บุรุษเบิกตากว้าง ยังไม่ทันเอ่ยปาก นางตรงหน้ากลับลดดาบลง คมกระบี่ของเขาก็ตรงเข้าหาลำคอขาวผ่องทันที
แน่นอนว่าด้วยความเร็วปานฟ้าผ่าและความแรงของกำลังภายในอันแกร่งกล้า กระบี่พระราชทานจึงเฉือนลำคอระหงนั้นจนเลือดสาดทันใด
และภาพสุดท้ายที่หยางเจี้ยนได้เห็นจากสตรีผู้สวมหน้ากากเงินปิดบังใบหน้าก็คือดวงตาคล้ายระบายยิ้มยินดี นางยินดีปกป้องผู้คนด้วยชีวิตอันมีค่ามหาศาลของตน
ฉายาของนางคือเงาดาบจันทราฆ่าคนไม่กะพริบตา
นางมีพลังและความเร็วปานฟ้าผ่ากอปรกับฝีมือยุทธ์อันร้ายกาจยากต้านทาน
การฆ่านางย่อมมิใช่เรื่องง่าย
มีความจริงอยู่สิ่งหนึ่งว่าการเอาชนะนางนั้นแม้มิใช่ว่าไม่มีทาง เพราะอย่างไรวันนี้ค่ายโจรเถื่อนย่อมมีจุดจบ มิอาจยืนหยัดได้นานนัก
หากแต่หย่างเจี้ยนผู้ก้าวแกร่งที่สุดแห่งเมืองหลวงพลันรู้ดีแก่ใจว่ามันมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
หากมิใช่เพราะมีคนบนเกาะทรยศ ร่วมมือชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ สมคบคิดกับพวกขุนนางราชสำนัก มีหรือเขาจะสามารถนำทัพทางเรือมารุมล้อม มีหรือจะพาเหล่าทหารบุกทะลวงขึ้นมาถึงสถานที่ลี้ลับแห่งนี้ของนางได้
ทว่านางกลับเลือกพลีชีพเช่นนี้
เพื่อลดความสูญเสียชีวิตทั้งหลายทั้งจากคนของเขาและของนาง...
หยางเจี้ยนให้รู้สึกทึ่งนัก
ร่างระหงทิ้งตัวลงกระแทกพสุธาท่ามกลางม่านโลหิตสีชาดที่ซ่านเซ็นจากลำคอ
บุรุษหนุ่มยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกแสนเสียดาย
สตรีกล้าหาญอย่างนาง เป็นแม่ทัพหญิงก็ยังได้ เหตุใดต้องเลือกหนทางอันเป็นปรปักษ์กับความถูกต้อง
เพราะอันใดถึงเลือกเป็นโจรถ่อยให้ผู้คนคอยสาปแช่งดูหมิ่นกัน?
การกำราบโจรร้ายใช้เวลาจวบจนมืดค่ำ
กลางทะเลรอบหุบเขายามนี้มืดมิดเป็นสีดำสนิทแล้ว บนท้องฟ้าปรากฏจันทร์เสี้ยวทอแสงสาดส่องริบหรี่กระทบเป็นเงางดงามบนผิวน้ำ
คบเพลิงรอบด้านถูกจุดขึ้นจนสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ
มือของหยางเจี้ยนกำแน่นเข้าด้วยกัน ดวงตาคู่คมไหววูบยากระงับ เขาก้มศีรษะ ทำให้นายทหารที่ยืนรายรอบไม่เข้าใจอารมณ์ในสายตาของเขา
ภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาเงียบขรึมท่าทีสุขุมเยือกเย็น หยางเจี้ยนให้รู้สึกลำบากใจอย่างที่สุด
‘ข้ายอมตายภายใต้เงื้อมมือท่าน ค่ายโจรแห่งนี้จะสิ้นสลายไปพร้อมกับชีวิตข้า ขอแค่ท่านไม่ตามหาหมายหัวคนของข้า...’
หนึ่งศีรษะแลกร้อยชีวิตมิต้องพลีชีพ
กลีบปากบางเม้มสนิท กรามแกร่งบดแน่นเนิ่นนาน เรือนร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งตรึงสายตามองภาพค่ายโจรจันทราแดงมอดไหม้จนกลายเป็นจุล
หัวใจของเขาเองก็คล้ายถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านพร้อมสตรีนางหนึ่งผู้ซึ่งกลายเป็นเพียงตำนาน
ไม่ง่ายเลยกับการได้เจอสตรีแสนพิเศษเช่นนาง
หยางเจี้ยนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขารู้สึกพึงใจสตรีผู้นี้แม้ยังไม่เคยเห็นหน้า นางคงไม่รู้ตัวว่าดวงตาที่โผล่พ้นหน้ากากเงินคู่นั้นตรึงใจเขาเพียงใด
การประมือกับนางเพียงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้ว...
ดาบดวงเดือนซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของจอมยุทธ์หญิงเงาดาบจันทราปรากฏร่องรอยของหยาดโลหิตสีแดงฉานจากจอมกระบี่สุริยันฝากฝังเอาไว้เป็นการแลกเปลี่ยน
หยางเจี้ยนใช้ดาบนางกรีดนิ้วตนอย่างสงบเยือกเย็น ‘จิตวิญญาณเจ้าผสานหยดเลือดข้า ขอชาติหน้าได้ผูกวาสนา มิต้องเข่นฆ่าเฉกเช่นชาตินี้’
ก่อนเหวี่ยงเข้ากองเพลิงให้ไฟร้อนเผาไหม้พร้อมศพไร้หัวผู้เป็นเจ้าของ ส่วนศีรษะนางถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเพื่อถวายแด่จักรพรรดิเยี่ยน หยางเจี้ยนเลือกที่จะโบกมือสั่งการถอนทัพกลับเมืองหลวงทันที
‘คนที่ตายล้วนตายไปถือว่าชดใช้กรรม แต่คนที่หายสาบสูญนั้น ข้ารับปากว่าจะไม่ตามหาหรือหมายหัวอีก...’
การกำราบและปราบปรามสำนักยุทธ์ฝ่ายอธรรมอันดับต้นแห่งยุทธภพอย่างค่ายโจรจันทราแดงสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วเหนือคาดหมาย
การได้หัวของสุดยอดฝีมือสมญานามเงาดาบจันทรามาวางบนแท่นประหารย่อมหมายถึงการกำจัดค่ายโจรจันทราแดง หนึ่งในฝ่ายอธรรมที่สมควรล้มล้างอย่างที่สุดแห่งยุทธภพได้สำเร็จ
ยามนี้ค่ายโจรเถื่อนที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดต่อการค้าทางเรือได้สิ้นสลายไปแล้ว ความรุ่งเรืองเหนือใครคงไม่ไกล
ความดีความชอบครั้งนี้จักรพรรดิเยี่ยนทรงพิจารณาปูนบำเหน็จให้ทุกคนที่ให้ความร่วมมืออย่างถ้วนทั่ว
งานเลี้ยงสังสรรค์เพื่อมอบรางวัลถูกจัดขึ้นภายในส่วนหน้าของพระราชวังอย่างอลังการยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้นคึกคัก สุรารสเลิศอาหารรสล้ำนางรำและนักดนตรีร่วมขับกล่อมผู้คนตั้งแต่ช่วงบ่ายจวบจนมืดค่ำ
ฮ่องเต้เยี่ยนหลงเซียนทรงตรัสชื่นชมผู้สร้างความดีความชอบอยู่หลายประโยคตามด้วยพระราชทานรางวัลอย่างสมน้ำสมเนื้อแก่ข้าราชบริพาร
ขุนนางและตัวแทนจากสำนักต่างๆ ของยุทธภพที่เข้ามาสวามิภักดิ์และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปราบกลุ่มโจรร้ายอันดับหนึ่งครานี้
และที่ลืมมิได้เลยก็คือแม่ทัพหยางเจี้ยน จอมทัพผู้นำกองกำลังทหารไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เสี่ยงอันตรายทางเรือ ฝ่าคลื่นโต้ลมอย่างยากลำบากด้วยตนเองจนถึงหุบเขามรณะ บนเกาะลึกลับกลางทะเลแห่งนั้น
หยางเจี้ยนเป็นนักรบผู้เคร่งขรึม กร้าวแกร่งเกริกไกร คล้ายว่าเขายิ้มไม่เป็นมาแต่กำเนิด ทั้งใบหน้าแข็งตึงประหนึ่งแผ่นเหล็กบึงศิลา แววตาลึกล้ำโครงหน้าชัดเจนมองอย่างไรก็มิรู้ได้ว่าเขาคิดอันใดอยู่
ท่าทางของเขาดุดันไม่เพียงดูแข็งกร้าวแต่หนักแน่น ดุจดังยอดเขาสูงชันตั้งตระหง่าน ทั้งดูเย่อหยิ่งเย็นชามาก ท่วงท่ากิริยาหรือยังน่ากลัวเป็นพิเศษ แววตาที่มองคนประหนึ่งสามารถมองทะลุถึงใจคนได้
อารมณ์บนใบหน้าของเขาเคร่งขรึมน่ายำเกรงเกินไป แววตาที่จ้องมองประดุจเป็นผู้พิพากษากำลังประเมินมองผู้ต้องหาอย่างไรอย่างนั้น บางครั้งฮ่องเต้เยี่ยนยังเผลอรู้สึกไม่มั่นคงขึ้นมา ยามสนทนาด้วยยังแอบหวั่นพระทัยบ่อยๆ
หยางเจี้ยนผู้นี้เปรียบเสมือนหัวใจของแคว้นเยี่ยน สร้างความดีความชอบมาช้านาน มีคุณนานัปการต่อแผ่นดินแห่งเยี่ยนมากมายก็จริง ทว่านั่นย่อมเป็นดาบสองคม
ทุกคืนวันหยางเจี้ยนเอาแต่กรำศึกออกรบขจัดภัย แม้ทำตัวอันตรายต่อหัวใจอิสตรีแต่กลับไม่มีนางในดวงใจ
อายุหรือก็ล่วงเข้ายี่สิบห้าเข้าไปแล้ว
บุรุษอื่นอายุเท่านี้ย่อมมีภรรยาและอนุเต็มเรือน
เขาหมกมุ่นเรื่องชาติบ้านเมืองและกลศึกทำสงครามจนหนักหนาสาหัสเกินไปหรือไม่?
ฮ่องเต้เยี่ยนจึงมอบทองคำพร้อมไข่มุกผ้าไหมสิบหีบ อัญมณีและเงินสิบหีบ เพื่อใช้เป็นเบี้ยหวัดรองรังจวนหยาง
จากนั้นก็มอบรางวัลนำทัพของหยางเจี้ยนเป็นรางวัลสูงสุดแห่งค่ำคืน สิ่งนั้นคือสมรสพระราชทานกับสตรีงดงามที่อายุพร้อมออกเรือนแล้วแต่ยังไม่ออกเรือนเสียที
เพราะเปี่ยมบารมี ฝีมือสูงส่ง เริ่มเรืองอำนาจมากเกินไป สมรสพระราชทานเพื่อลดทอนความล้ำเลิศจึงเกิดขึ้น แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่กับหญิงสาวธรรมดาไร้ยศศักดิ์ไร้อำนาจสนับสนุนจึงได้สมรสพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ
นางคือคุณหนูใหญ่แห่งจวนขุนนางขั้นเจ็ด ไร้มารดา บิดาไม่ใส่ใจ ไป๋หมิงเยว่ นางผู้นี้ไร้คู่หมั้นคู่หมายแม้อายุล่วงเข้าสิบแปดปีแล้ว และที่สำคัญ นางมิได้มีอำนาจมากจนเกินไปนัก นิสัยใจคอหรือก็อ่อนแอชวนปวดใจ
แม่ทัพหยางย่อมต้องดูแลอย่างลำบาก เขาจะมีงานหนักรอรับทุกคราที่กลับจวน เช่นนี้ย่อมปลอดภัยต่อบัลลังก์ในความรู้สึกขององค์จักรพรรดิผู้อ่อนไหว