บทที่ 5 อ๋องเซ่อเจิ้งผู้มีอำนาจเหนือราชสำนัก
อสูรกายขนาดยักษ์ที่โผล่ออกมาจากใต้พื้นดิน ทำให้บรรดาผู้ที่ก้าวออกมายืนข้างหน้าวิ่งกลับเข้าไปแบบในซอกหลืบอีกครั้ง
พวกเขาอยู่ในสภาพหวาดผวา เพราะไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะมีอสูรกายขั้น 5 ออกมามากมายขนาดนี้ แถมยังมุ่งหน้าเข้าไปโจมตีท่านหวงอีกต่างหาก
เห็นชัดๆ ว่าพวกมันกำลังช่วยสองพี่น้องเย่จายซิงอยู่ หรือว่า……สองคนพี่น้องนี้มีคนใดคนหนึ่งเป็นอสูรกายอาจารย์อัญเชิญ
แต่อสูรกายทิพย์ขั้น 6 จะต้องใช้อาจารย์อัจฉริยะอัญเชิญเป็นผู้เรียกมา แม้แต่คุณหนูใหญ่เย่ยังไม่สามารถเรียกมาได้ เพราะว่ากันว่าการจะเป็นอาจารย์อัญเชิญ ระดับ 6 ได้นั้น จะต้องสามารถเรียกอสูรกายระดับเดียวกันออกมาได้
แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่เย่จะเป็นอาจารย์อัญเชิญระดับ 3 เท่านั้น แต่ก็มีความสามารถเช่นกัน
ดังนั้นทุกคนในที่นั้นต่างไม่มีใครปักใจเชื่อว่าเย่จายซิงและน้องจะเป็นคนที่เรียกอสูรออกมาได้ เพราะความเป็นไปได้ต่ำมาก บางทีอาจจะเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น
หรือว่าจะมีใครบางคนคอยช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลังจริงๆ?
เมื่อท่านหวงถูกล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้เช่นนี้ก็รับมือไม่ทัน ผมของเขาถูกเปลวไฟที่อสูรตนหนึ่งพ่นออกมาจนไหม้ไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอาฆาต สีหน้าของเขาโกรธจนดูไม่ได้ เขาเหวี่ยงฝ่ามือออกไป ทำให้อสูรสองตนที่อยู่ใกล้ที่สุดร่างสลายเป็นเถ้าธุลีเหลือเพียงเลือดที่สาดกระเซ็นออกมา
เหล่าอสูรกายเมื่อเผชิญหน้ากับท่านหวงจากแดนมหาจักรพรรดิทิพย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับเอาไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุง แต่ก็ยังกล้าบุกโจมตีอย่างไม่กลัวตาย
เย่จายซิงกัดฟันเอาไว้แน่น นางจดจำใบหน้าของท่านหวงคนนี้เอาไว้ในใจ จากนั้นเมื่อสบโอกาสจึงพาเย่ยู่หยางหนีไป นางไม่มีทางปล่อยให้อสูรกายที่มาช่วยนางต้องตายเปล่า
ขอแค่มีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวังเสมอ!
“คิดหนีรึ หวังไปเถอะ!”
ท่านหวงยิ้มออกมาอย่างมืดหม่น เขายกคันธนูในมือขึ้นแล้วเล็งไปที่เย่จายซิงสองพี่น้อง
ในตอนนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่เย่จายซิงสัมผัสได้ถึงความเป็นตาย นางขนลุกทั้งตัว และรีบผลักเย่ยู่หยางออกไปอย่างเร็วที่สุด
นางหันตัวไปจ้องท่านหวง เขายืนนิ่งอย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าเย่จายซิงอาจจะต้องตาย แต่นางก็จะต้องตายอย่างมีเกียรติ
“ท่านพี่! ข้าจะไปเป็นเพื่อนท่าน พี่ห้ามทิ้งข้าไป!”
เย่ยู่หยางพยายามยืนขึ้นมา แล้วเดินกะเผลกเข้าไปหานาง
เย่จายซิงซึ้งใจ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงพลังของความรักและห่วงใย
“ความรักสองพี่น้องผูกพัน เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมกันเลย”
ท่านหวงหัวเราะเยาะ พลางง้างคันธนู ลูกธนูติดไฟลุกโชนค่อยๆ ผนึกรวมค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เย่เจียหยูขยำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น สองพี่น้องที่น่ารังเกียจคู่นี้ใกล้จะลงนรกเต็มทีแล้ว! อีกไม่นานจวนแม่ทัพจะตกเป็นของบ้านรองของพวกนาง
รอยยิ้มอันเย็นชาของเจ้าพระยาเซี่ยออกมาอย่างได้ใจ เขาเป็นถึงเจ้าพระยาของแคว้นหงส์แดงอันยิ่งใหญ่ จะให้แต่งงานกับผู้หญิงซื่อบื้ออัปลักษณ์ได้อย่างไร เย่จายซิงอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่ควรได้ ดังนั้นนางสมควรตาย วันหน้าเขาจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าที่ชวนคลื่นไส้แบบนี้ ตอนนี้เจ้าพระยาเซี่ยก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน
โฮ่ว!!
ในขณะที่ท่านหวงกำลังง้างธนูเต็มที่นั้นเอง ทันใดนั้นเองแผ่นดินก็สะท้านสะเทือน เสียงเสือคำรามลั่น หัวใจของท่านหวงกระตุกวูบ พลังทิพย์ที่อยู่บนคันธนูหยุดชะงัก ลูกธนูเปลี่ยนเป็นลูกธนูธรรมดาและหล่นลงบนพื้นทันที
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันเอามือปิดหูเอาไว้ ส่งผลให้อวัยวะภายในของคนที่มีระดับการฝึกตนไม่สูงช้ำเลือด
เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของเย่จายซิงอย่างต่อเนื่อง นางกำลังตื่นตระหนก นี่คืออสูรกายอะไร ลำพังแค่เสียงคำรามก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับสูงของแดนมหาจักรพรรดิทิพย์สั่นคลอนได้
“อสูรเทพกิเลน!!”
มีเสียงคนกล่าวอย่างตื่นตกใจพลางเอามือชี้ขึ้นฟ้า
เย่จายซิงแหงนหน้าขึ้นจึงเห็นกิเลนสีแดงเพลิงตัวหนึ่งบินโฉบมา พร้อมพลังแห่งเทพอันเข้มข้นและแข็งแกร่งเป็นที่หนึ่ง ทำให้คนส่วนใหญ่พากันนั่งคุกเข่าลง ส่วนอสูรกายขั้นห้าขั้นหกที่มาเพราะนางต่างก็หมอบอยู่บนพื้น
เมื่อกิเลนบินต่ำลงมาแล้วหยุดลงตรงกลางถนน ก็เป็นตำแหน่งที่ขวางตรงหน้าเย่จายซิงเอาไว้พอดี
ตอนนั้นเองนางถึงสังเกตเห็นว่า บนหลังกิเลนมีบุรุษร่างสูงใหญ่ท่วงท่าสง่างามนั่งอยู่บนนั้น เขาใส่หน้ากากครึ่งใบหน้าสีทองเอาไว้ด้วย เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากน่ามองของเขา
ริมฝีปากบางของเขาเม้มแน่น ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกถึงความเคร่งขรึมดุดันของเขา
เขายังมีดวงตาคู่งามที่ล้ำลึกอยากจะหยั่งถึง ดูเย็นชาและเยือกเย็น ลึกล้ำจนยากจะหาก้นบึ้งเจอ รัศมีอย่างราชาที่ข่มขวัญใต้หล้าได้ปรากฏออกมาจากร่างของเขาอย่างเข้มข้น
ชี่!
เย่จายซิงรีบกุมนิ้วก้อยของตนเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแหวนเก็บของเล็กๆ ไม่โดดเด่นของนางถึงได้ร้อนจี๋ลวกมือเช่นนี้
แปลกนัก แหวนเพชรวงนี้นางใส่ติดตัวมาตั้งแต่เล็กยันโตโดยไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้ขึ้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ชายที่ขี่หลังกิเลนมองมาที่นาง แววตาล้ำลึกของเขาปรากฏอารมณ์บางอย่างที่ยากจะหยั่งถึงขึ้น
“คารวะอ๋องเซ่อเจิ้ง!”
ทุกคนพากันคุกเข่าลงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“อ๋องเซ่อเจิ้ง! ท่านกลับมาแล้วหรือ”
เจ้าพระยาเซี่ยเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง แม้ว่าเขาพยายามยิ้มอย่างสดใสแต่ใจจริงของเขาไม่ได้แจ่มใสไปด้วย เบื้องลึกในใจของเขามีแต่ความหวาดกลัว
เย่เจียหยูหลบอยู่ด้านหลังเจ้าพระยาเซี่ย นางไม่กล้ามองอ๋องเซ่อเจิ้งเพราะเขาน่ากลัวเกินไป สตรีนางใดก็ตามที่เข้าใกล้เขาล้วนมีจุดจบไม่สวยทั้งสิ้น
อ๋องเซ่อเจิ้ง?
ในช่วงเวลาพริบตาเดียว ความทรงจำของเย่จายซิงที่เกี่ยวกับอ๋องเซ่อเจิ้งแห่งแคว้นหงส์แดงก็ปะทุออกมา
อ๋องเซ่อเจิ้งหรือจวินหยวน เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือราชสำนัก และมีจิตใจโหดเหี้ยม ว่ากันว่าอดีตฮ่องเต้ของแคว้นหงส์แดงถูกเขาปลงพระชนม์ด้วยตนเอง เพียงเพราะว่าเขามีความประพฤติโหดร้ายทารุณ
ราษฎรในแคว้นหงส์แดงต่างซาบซึ้งในบุญคุณของเขา แต่ราชสำนักและตระกูลชั้นสูงไม่มีใครไม่กลัวเขา เขามีทรัพย์สมบัติมากมาย มีองครักษ์ลับที่เก่งกาจ การฝึกตนของเขาแข็งแกร่งมาก ในตอนนั้นอดีตฮ่องเต้อยากจะกำจัดเขา แต่สุดท้ายในเมืองหลวงก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดโดยไม่สามารถทำร้ายเขาได้แม้แต่ปลายเล็บด้วยซ้ำ
ตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าจวินหยวนวางแผนเพื่อต้องการครองบัลลังก์ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะไม่สนใจในบัลลังก์โดยปล่อยให้องค์รัชทายาทสืบทอดราชสมบัติต่อไป ส่วนเขาก็อยู่ในตำแหน่งอ๋องเซ่อเจิ้ง
ทุกคนในราชสำนักหวาดกลัวเขาเพราะเขามักจะลงมืออย่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยม หากเขาต้องการจะสังหารตระกูลไหน เพียงเขากล่าวประโยคเดียว วันรุ่งขึ้นตระกูลนั้นจะไม่มีใครเหลือรอดเลยแม้แต่คนเดียว
ไม่มีใครรู้ว่าจวินหยวนโผล่มาจากไหน เขามักจะเหาะเหินเดินอากาศเช่นนี้ จนกลายเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นหงส์แดง แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังต้องระวังการจู่โจมของเขา เพราะกลัวว่าจะต้องเดินทางสายเดียวกับอดีตฮ่องเต้คนก่อน
เขามีพาหนะของตนเอง นั่นคือกิเลนที่ติดอันดับหนึ่งในสิบอสูรเทพใหญ่ มันดุร้ายไร้ใดเปรียบ ทั่วทั้งแผ่นดินเทียนเหย้าแห่งนี้ นอกจากเขาแล้วมีเพียงฮ่องเต้องค์น้อยแห่งเฉินตู อย่างโม่เสิ่นยวนเท่านั้นที่มีอสูรเทพมังกรเขียว
ทว่าเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ จู่ๆ จวินหยวนก็หายตัวไปจากแคว้นหงส์แดงอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ใด เขาหายไปอย่างกะทันหันเช่นเดียวกับตอนที่เขาปรากฏตัว
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงอย่างยิ่งนั่นคือวันนี้ จวินหยวนปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
เขาขี่อสูรเทพกิเลนกลับมาอย่างองอาจ!
จวินหยวนมองนาง เย่จายซิงจึงเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขา ในดวงตาของเขาปรากฏแสงสลัวๆ ที่นางไม่เข้าใจ
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเกิดความสงสัยขึ้นมา เพราะในความทรงจำ อ๋องเซ่อเจิ้งกับร่างเดิมไม่มีความเกี่ยวพันอะไรต่อกัน แต่สายตาของเขาคล้ายกำลังมองคนรู้จัก
จวินหยวนดึงสายตากลับไปอย่างเงียบเชียบ แล้วมองไปทางเจ้าพระยา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
น้ำเสียงของเขาไพเราะน่าฟัง เสียงที่เปล่งออกมาจากในลำคอทุ้มลึกมีเสน่ห์และสุขุม
เจ้าพระยาเซี่ยรีบอธิบาย “อ๋องเซ่อเจิ้ง เรื่องมันเป็นอย่างนี้พะย่ะค่ะ เย่จายซิงขโมยยาขั้นสี่ของหอยาเสวียนไปสองเม็ด แถมยังขโมยยาขั้นสี่ที่มีมูลค่าสูงที่พ่อของน้องหยูนำมาจากเฉินตูด้วย พฤติกรรมของนางต่ำช้า ทำผิดกฎบ้านเมือง ซึ่งตามหลัก……”
“ท่านเจ้าพระยาเซี่ย ต่อให้ข้าขโมยยา จะต้องลงโทษกันถึงตายเชียวรึ”
น้ำเสียงของเย่จายซิงกระจ่างใส นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรงราวกับต้นสนที่พร้อมรับลมอยู่ริมผา
“ข้ากำลังพูดอยู่กับอ๋องเซ่อเจิ้ง ใช่เวลาที่เจ้าจะสอดปากเข้ามาหรือไม่ รนหาที่ตายแท้ๆ”
เจ้าพระยาเซี่ยหรี่ตาลง
ทุกคนต่างรู้ดีว่าเวลาที่จวินหยวนกำลังพูด เขาไม่ชอบให้ใครพูดแทรกขึ้นมา คนที่ไร้มารยาทเช่นนี้มักจะถูกลากออกไปทำโทษอย่างน่าสมเพชทุกครั้ง
แต่ใครจะคาดคิดว่าจวินหยวนกลับมองไปที่เจ้าพระยาเซี่ยอย่างเย็นชา “เซี่ยซือห้าว นางกำลังถามเจ้าอยู่ว่าโทษนี้ถึงตายเชียวหรือ”
เจ้าพระยาเซี่ยชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจวินหยวนจะเข้าข้างผู้หญิงซื่อบื้ออย่างเย่จายซิง จึงกล่าวอย่างร้อนรนว่า “นาง นางทำผิดกฎหมายแถมยังไม่ยอมรับ ทั้งยังคิดหนี จึงเป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ ตามหลักแล้ว……”
ตามหลักแล้วต้องจับตัวมาสอบสวนก่อนไม่ใช่สังหารนางทันที แต่เจ้าพระยาเซี่ยกลับพูดไม่ออก เพราะหากพูดออกไปก็จะเท่ากับเขายอมรับว่าเขาทำผิด
“ว่ามา”
น้ำเสียงของจวินหยวนแข็งกระด้างและมีอำนาจ ทำให้เจ้าพระยาเซี่ยหนาวสันหลังขึ้นมาจนกระอักเลือด ก่อนจะทิ้งตัวคุกเข่าลง