ตอนที่ 5
ไม่ใช่เหงื่อที่เหม็นหืนหรืออับชื้นสำหรับผู้เป็นลูกสาวเลยสักนิด หากมันเป็นเหงื่อที่เจือไว้ด้วยกลิ่นหอมแห่งชีวิต เม็ดเหงื่อใสๆ… วิบวับราวหยาดหยดอัญมณีแห่งความเหนื่อยยาก สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องสาดมาจากรูรั่วของหลังคาสังกะสีเก่าผุ มันคือหยาดเหงื่อซึ่งมักจะหลั่งไหลออกมาย้ำเตือนทุกครั้ง… ให้เธอตระหนักในความยากจนข้นแค้น
“รัตติกร” แม่เรียกลูกสาว
มือยังไม่ละจากใบตองที่กำลังเช็ดอยู่ ได้ยินเสียงดังแกรกกรากอันเกิดจากใบพัดหมดสภาพของพัดลมตัวเก่า ที่เป่าแรงลมออกมาอย่างเหนื่อยล้า… เอื่อยอ่อน ไม่อาจไล่ไอร้อนระอุจากหลังคาสังกะสีต่ำเตี้ยเกือบติดศีรษะ ทำให้ภายในบ้านเล็กๆ หลังนั้นค่อนข้างร้อนและอุ่นอวลไปด้วยกลิ่นไอของใบตองอบ
“ดีใจอะไรกันยกใหญ่จ๊ะลูก”
ใบหน้าชดช้อยของแม่ ช้อนชำเลืองขึ้นมองหน้าลูกสาวด้วยความสงสัย
หญิงสาวยังไม่ตอบคำถามในทันที หากจ้องมองภาพของแม่ที่กำลังทำงาน ใบตองเขียวๆ ที่วางกองอยู่ตรงหน้า ไม่ช้าไม่นาน… มันจะกลายเป็นห่อหมก
‘ห่อหมก’ ที่แม่พร่ำบอกกับเธอและน้องชายอยู่เสมอๆ ว่ามันคืออาชีพ เพื่อการ ‘ยังชีพ’ ของสามชีวิต คือตัวของแม่ เธอ และน้องชาย
อ้อ!... เกือบลืมไป เธอยังมีพ่ออีกคนสินะ พ่อที่ชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ วันๆ ก็เอาแต่เมาหัวราน้ำ หรือไม่ก็เที่ยวออกไปหมกตัวอยู่ในบ่อนไก่ บ่อนไพ่ ไฮโล ที่ไหนสักแห่ง
หลายวันมาแล้วที่เธอไม่ได้เจอหน้าบิดาที่ไม่น่านับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัวเลยแม้แต่น้อย… หากก็ทำไม่ได้ เพราะสายเลือดที่โยงใยกันอยู่
แม้ว่าเขามักจะนำความเดือดร้อนมาให้ครอบครัวไม่หยุดหย่อน
แต่ ‘พ่อ’ ก็คือ ‘พ่อ’ คือคนที่ให้กำเนิดเธอมา เป็นคนที่ลูกควรต้องเคารพรัก หากเธอก็ ‘รัก’ ด้วยหน้าที่ของลูก… หาใช่ความผูกพันไม่
“หนูได้งานทำแล้วค่ะแม่”
น้ำเสียงใสๆ ของหญิงสาว กระซิบข้างหูของผู้เป็นมารดาที่เอี้ยวตัวมาฟังด้วยแววตาปลาบปลื้ม
คำพูดที่ได้ยิน ทำให้มารดาลืมทุกข์ลงชั่วขณะ
หล่อนละมือจากใบตองที่กำลังเช็ดอยู่ในมือ หันมาโอบกอดลูกสาวแรงๆ
‘มีงานทำ’ แน่ละ… ดวงแขรู้ว่ามันเป็นเรื่องดีของทั้งครอบครัว ‘เรื่องดี’ ที่นานๆ จะผ่านเข้ามาในชีวิตสักที และบางทีมันอาจจะเป็นเรื่องดีเรื่องเดียว… และเรื่องสุดท้ายของปีนี้ที่เธอจะได้ยินก็เป็นได้
“หนูมีงานทำแล้ว… คราวนี้แม่กับน้องจะได้ไม่ต้องลำบากกันอีกต่อไป” น้ำเสียงจริงจัง ราวกับเป็นการให้คำมั่นสัญญา
ดวงแขเงยหน้าขึ้นสบตาลูกสาว ระบายยิ้มละไมออกมาเต็มดวงหน้า ด้วยความภาคภูมิใจในตัวของรัตติกร
“แม่ดีใจจัง… วันนี้แม่หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเชียว”
หล่อนบอกถึงความปลาบปลื้ม ครั้นแล้วสองแม่ลูกก็โผเข้ากอดกันแนบแน่น ท่ามกลางกองใบตองสีเขียวและเสียงพัดลมเก่าที่ครางอยู่เบาๆ
“หนูช่วยแม่เตรียมใบตองนะคะ” ลูกสาวบอก
“ไม่ต้อง… ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเถอะ เนื้อตัวแม่เลอะเหงื่อออกอย่างนี้ มากอดมาหอมกันอยู่ได้ เหม็นจะตาย”
“แม่ของหนูสวยเสมอ… หอมเสมอ หนูหอมแม่มาตั้งแต่เด็กๆ แม่ของหนูไม่เคยเหม็นเลยสักครั้ง”
ลูกสาวทำเสียงออดอ้อนราวกับเด็กๆ และมันทำให้ดวงแขหวนระลึกถึงเด็กผู้หญิงแก้มป่อง ตากลม ช่างเจื้อยแจ้ว เมื่อครั้งที่รัตติกรยังเป็นเด็ก
เป็นธรรมดาของผู้หญิง… เมื่อถูกลูกสาวชมว่าสวย มันทำให้ดวงแขอดไม่ได้ที่จะแอบชำเลืองมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่ข้างกระจกของตู้เสื้อผ้า
แม้ตอนนั้น ดวงแขจะอยู่ในชุดแต่งกายที่เป็นเพียงเสื้อคอกระเช้าเก่าซีด ทว่าความงามที่มีมาตามธรรมชาติ ในความเรียบง่ายนั้น… ก็ยังฉายแววผุดผาดไม่สร่างซา
ดวงแขมีคติในการดูแลตัวเองว่า ‘กินให้น้อย ทำงานให้หนัก… การทำงานคือการออกกำลังกายที่ดี’ จึงไม่แปลกเลยที่ทรวดทรงองเอวของเธอยังน่ามองอยู่เสมอ
หลายครั้งที่รัตติกรมองดูแม่ของตัวเอง แล้วก็อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้ว่าผู้หญิงสวยๆ อย่างดวงแข… เหตุใดจึงมาเลือกเอาผู้ชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างพ่อของเธอมาเป็นสามี?
แต่รัตติกรก็ไม่เคยถามออกไปเลยสักครั้ง เพราะตระหนักดีถึงคำถามที่อาจจะเป็นการตอกย้ำ ทิ่มแทงใจในสิ่งผิดพลาดของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง บางทีแม่ของเธอคงอยากลืม… มากกว่าที่จะไปพูดถึงมัน
“พ่อไม่กลับบ้านมากี่วันแล้วคะแม่”
หญิงสาวถาม แม้การที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย จะทำให้บ้านเงียบสงบและอบอุ่นขึ้น… เมื่อนึกถึงวันที่พ่อกลับมาในสภาพเมามายสุรา เคยมีหลายครั้งหลายคราที่ขาดสติถึงขั้นตบตีให้มารดาของเธอต้องเจ็บตัวหลายครั้ง
“คงจะอยู่ในบ่อนตามเคย”
ดวงแขตอบคำถามของลูกสาว น้ำเสียงหน่ายเนือยอย่างเห็นได้ชัด ชินชาเสียแล้ว… ว่ามันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างซ้ำๆ ซากๆ
รัตติกรชำเลืองมองดวงหน้างดงามได้รูปของมารดา ซึ่งแม้จะทาด้วยแป้งฝุ่นเพียงบางๆ แม้ไม่มีสีสันของลิปสติกที่ริม