บทย่อ
แนะนำตัวละคร 'ราเมศน์' หรือ 'นายหัวราม' แห่ง 'เกาะมืด' เกาะที่ไม่เคยมีใครได้ไปถึง เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าข้างกายของตนมี 'เจ้าสาว' ของคนอื่นนอนเปลือยกายอยู่เคียงข้าง ในขณะที่ร่างกายของเขาเองก็ไร้เสื้อผ้าเช่นเดียวกัน ราเมศน์ไม่ได้โง่ เขารู้ทันทีว่าทั้งหมดนี้มันคือการจัดฉาก แต่ดวงตากลมโตของเจ้าสาวที่คอยวนเวียนอยู่ในหัว บวกกับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนแก้มนวลทั้งสองข้าง ทำให้ราเมศยินดีกระโจนลงไปในฉากที่ถูกจัดขึ้นทันทีอย่างไม่ลังเลใจ เพราะถูกตาต้องใจเธอแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า และอะไรก็ตามที่ตกมาอยู่ในมือของเขา ไม่ว่าจะเป็น 'คน' หรือ 'สิ่งของ' ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธ์แตะต้อง! 'หทัยชนก' 'เจ้าสาว' จำยอม เธอถูกลุงแท้ๆบังคับให้แต่งงานกับผู้มีอิธิพลในเมืองเพื่อธุรกิจและผลประโยชน์ของครอบครัว ภายนอกหทัยชนกคล้ายคนหัวอ่อน แต่ภายในเธอเข้มแข็งและคิดหาทางเอาตัวรอดจากงานวิวาห์สุดขมขื่นนี้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเธอได้พบเขา 'ชายหนุ่ม' แปลกหน้า แค่ได้สบตากันครั้งแรกแม้จะแค่เพียงผิวเผิน แต่เธอก็ไม่สามารถลืมแววตาคู่นั้นได้ และอีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงเวลาส่งตัวเข้าหอ หทัยชนกจึงเลือกกระทำเรื่องสุดแสนน่าอายเพียงเพราะอยากจะหนีไปให้พ้นจากสถานการ์อึดอัดนี้ด้วยการจัดฉาก เธอไม่มีโอกาสรู้เลยว่าอนาคตของเธอต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และเธอก็ไม่รู้ตัวเลยว่าการจัดฉากของตัวเองครั้งนี้เหมือนการวางหัวใจไว้ในกำมือของ 'คนเถื่อน' 'กระต่าย'
บทนำ
นายหัวเถื่อน
บทนำ
เสียงเพลงรักดังขับขานไปทั่วบ้านสวนริมน้ำที่ถูกเนรมิตเปลี่ยนให้เป็นงานแต่งงานสุดเริศหรูอลังกาลด้วยน้ำเงินของเจ้าบ่าว ชายสูงวัยร่างท้วมในชุดเจ้าบ่าวสีครีมเหลือบทองยืนส่งยิ้มให้กับแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีอย่างอารมณ์ดี
ข้างๆกันนั้นเจ้าสาวแสนสวยอยู่ในชุดไทยจักรีสีม่วงสวยงามจับตา หากแต่ใบหน้างามของเจ้าสาวกลับไม่มีรอยยิ้ม ทั้งที่วันนี้เป็นวันที่ผู้หญิงทุกคนต่างเฝ้ารอคอย
บ่อยครั้งที่นาย 'ประวิทย์' เจ้าบ่าวของงานในวันนี้พยายามชวนเจ้าสาวของตนเองพูดคุย แต่สุดท้ายก็ได้ความเงียบตอบกลับมาทุกครั้ง
"ยิ้มหน่อยหนูหทัย เห็นแก่หน้าตาของฉันบ้าง"
นายประวิทย์กัดฟันพูดที่ข้างหูของเจ้าสาว และอดไม่ได้ที่จะหาเศษหาเลยกับแก้มสาวนวลเนียนตรงหน้า นิดหน่อยๆคงไม่เป็นไร เพราะถึงยังไงในคืนนี้ เมื่อถึงเวลาส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ ผู้หญิงคนนี้ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่ดี
หทัยชนกเบี่ยงหน้าหนีอย่างรังเกียจ เธอหันไปมองหน้าเจ้าบ่าวด้วยแววตาเฉยเมย ทำให้นายประวิทย์ถึงกับหน้าตึง อารมณ์กรุ่นโกรธเริ่มประทุขึ้นภายในอกหากแต่ชายสูงวัยจำต้องกักเก็บและข่มมันเอาไว้
"อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลย ยังไงวันนี้หนูก็ต้องเป็นของฉันอยู่วันยังค่ำ"
นายประวิทย์พูดเสียงกร้าวพอให้ได้ยินกันแค่สองคน มือใหญ่อวบอูมกำต้นแขนของหญิงสาวไว้แน่นจนเธอรู้สึกเจ็บหากไม่มีแม้เสียงอุทรหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง
แขนเรียวบางกระชากออกจากการเกาะกุมเต็มแรงโดยไม่คิดจะรักษาหน้าตาของเจ้าบ่าว ใบหน้างามเงยขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างเกลียดชัง ก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งแล้วหันหลังเดินหนี
แต่นายประวิทย์ไม่ยอมให้หทัยชนกได้เดินหนีไปได้อย่างที่ต้องการ
"นั่นหนูจะไปไหน?"
นายประวิทย์ถามพร้อมกับตามมาจับแขนของเธอเอาไว้
"จะไปห้องน้ำค่ะ คุณจะตามฉันไปด้วยไหมล่ะคะ"
หทัยชนกบอกโดยไม่หันไปมองหน้า และดึงแขนของตนออกอีกครั้งด้วยความรังเกียจและขยะแขยงเต็มทน
"รีบไปรีบมานะหนูหทัย อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลากล่าวขอบคุณกับแขกแล้ว"
....................
เมื่อแยกจากเจ้าบ่าว ร่างบางของเจ้าสาวก็เดินเร็วๆไปยังเรือนคนใช้ที่อยู่หลังบ้าน ระหว่างทางสายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เธออย่างชื่นชมปนอิจฉาเจ้าบ่าวคราวพ่อ หากแต่มีสายตาสองคู่ที่มองมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป
คู่หนึ่งมองด้วยความรู้สึกสงสารและเห็นใจ ส่วนอีกคู่หนึ่งมองด้วยความรู้สึกเสียดาย
ชั่วขณะที่เผลอสบสายตา ใบหน้าสวยหวาน จมูกโด่งรั้น นัยตากลมโต ยังติดตรึงอยู่ในหัวใจของราเมศน์ไม่รู้ลืม แต่ถึงแม้ว่าเขาจะถูกใจซักแค่ไหน ก็คงได้แค่มองเท่านั้น เพราะอีกไม่นานผู้หญิงคนนี้ก็จะตกเป็นของคนอื่นอย่างสมบูรณ์
"มองขนาดนั้นแค่เสียดายหรือถูกใจ"
'ศิลา' เอ่ยปากถามเพื่อนร่วมโต๊ะที่มีศักดิ์เป็นทั้งเพื่อนและเจ้านายในคราเดียวกันเหมือนจะหยั่งเชิง ก่อนจะหันมองตามร่างของเจ้าสาวที่เดินลับหายไปในความมืดอีกครั้ง
"ต่อให้ถูกใจจริงๆ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเธอเป็นเจ้าสาวของคนอื่น"
ราเมศน์พูดเหมือนไม่สนใจ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงมองแก้วเหล้าในมือเพื่อซ่อนประกายบางอย่างในแววตาไว้
"ตอนนี้เธอเป็นเจ้าสาวของคนอื่น แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เธออาจจะเปลี่ยนมาเป็นเจ้าสาวของ 'นายหัวราม' ก็ได้...ใครจะรู้"
ศิลาพูดอย่างมีเลศนัย คนฟังเหลือบสายตาขึ้นมองแค่เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะหันกลับมาสนใจแก้วเหล้าตรงหน้าและยกมันขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว
ทั้งสองคนนั่งดื่มต่อไปเงียบๆอีกพักใหญ่ จนกระทั่งความผิดปรกติบางอย่างเกิดขึ้นกับราเมศน์ ชายหนุ่มสะบัดศรีษะแรงๆเพื่อขับไล่อาการที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แต่ยิ่งฝืนก็เหมือนอาการจะยิ่งแย่ลง จนในที่สุดเมื่อทนฝืนไม่ไหว ราเมศน์ก็ฟุบหลับไปบนโต๊ะนั่นเอง
"ขอโทษทีเถอะที่แบบนี้ แต่สักวันนายอาจจะขอบใจฉัน"
ศิลาพูดเสียงเรียบไม่บอกความรู้สึกใด ก่อนที่ร่างสูงจะขยับเข้ามาประคองร่างไร้สติของราเมศน์ให้ลุกขึ้นแล้วพากันเดินหายไปในความมืด
...................