ตอนที่ 9
“จริงหรือลูก...ว่าแต่งานอะไรของเอ็ง แล้วไปได้งานตอนไหน” ยุพาขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าลูกสาวก็เพิ่งเรียนจบหมาดๆ ยังไม่ได้รับปริญญาด้วยซ้ำ แถมเพิ่งกลับจากเที่ยวทะเล สัปดาห์ที่ผ่านมาก็เห็นว่ามินตรายังไม่ได้ไปสัมภาษณ์งานที่ไหน
“ตอนไปเที่ยวทะเล บังเอิญหนูไปเจอผู้ชายคนนึง เขาเป็นเจ้าของรีสอร์ตอยู่ที่จังหวัดตรัง เขาสนใจภาพที่หนูวาด”
“แล้วยังไง”
“เค้าเลยว่าจ้างให้หนูวาดภาพเพื่อใช้ตกแต่งรีสอร์ทของเขา เขามีรีสอร์ตตั้งหลายที่แน่ะแม่"
“งั้นก็ดีนะสิ” รำเพยเบิกตาด้วยความดีใจแทนลูกสาว
“เสร็จงานนี้ หนูคงได้เงินสักก้อน พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
“ไม่ต้องเอามาให้แม่หรอก เก็บเอาไว้ใช้ตอนเข้าไปหางานในกรุงเทพฯเถอะ” ด้วยไม่รู้ในรายละเอียด ยุพาจึงคิดเพียงว่าเงินจากการวาดภาพขาย จะได้สักเท่าไหร่กัน
“ไม่น้อยนะแม่ โดยทั่วไปก็ภาพละไม่ต่ำกว่าสามพัน” มินตราบอกไปตามราคาเท่าที่พอจะรู้มา สองสามพันก็ถือว่ามากแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ใช่จิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
“แล้วมันกี่ภาพกันล่ะ” ยุพาเริ่มอยากรู้
“เท่าที่รู้มาคร่าวๆก็ร้อยกว่าภาพ”
“โห…เป็นแสนเชียวนะลูก” ด้วยความที่เป็นแม่ค้าขายขนม คุ้นชินกับการคิดเลขได้ไว ทำให้ยุพาตาวาวเหมือนไม่เชื่อ เธอจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่มือของเธอได้สัมผัสเงินแสนนั้น ผ่านมานานแค่ไหน
“ใช่ค่ะแม่…แต่หนูต้องคุยรายละเอียดก่อน”
ยุพานึกย้อนไปในอดีต ความสามารถทางศิลปะของมินตราที่เริ่มฉายแววเรื่อยมาตั้งแต่เด็กๆ จะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์เพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะที่ผ่านๆมา มินตราก็ตั้งใจ ฝึกฝนการวาดภาพสีน้ำจนชำนิชำนาญ น่าจะเรียกว่าเป็นความสำเร็จอันเกิดจากประสบการณ์ที่เพาะบ่มจนกลายเป็นดอกผลจะดีกว่า
บ่ายแก่ๆของวันเดียวกันนั้น พระอาทิตย์คล้อยดวงลงไปมาก ยุพาวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมกระจาดและตะกร้าสำหรับเอาไว้ใส่ขนมตาลและขนมใส่ไส้ที่กำลังจะนำไปขาย เพื่อให้ทันสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ตลาดนัดหน้าปากซอยจะเริ่มขายของ
ไม่นานจากนั้น มินตราก็ขับรถมอเตอร์ไซด์เก่าๆออกจากบ้านซึ่งอยู่ท้ายซอย โดยมีร่างของยุพาผู้เป็นแม่นั่งซ้อนท้าย ในมือหิ้วตะกร้าขนมใส่ไส้ ส่วนขนมตาลอยู่ในตะกร้าอีกใบที่ใส่เอาไว้ในตะแกรงหน้ารถ
หลายปีที่ยุพายึดตลาดนัดเป็นสถานที่ทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว ภาพมินตราขับรถมอเตอร์ไซด์มาส่งและทุกครั้งก็อยู่ช่วยแม่ขายของจนมืดค่ำ กระทั่งเก็บร้าน จึงเป็นภาพที่คุ้นตาของผู้คนในถิ่นแถบนี้เป็นอย่างดี
เมื่อมาถึงตลาด ไอแดดที่แผดแรงมาตลอดบ่ายเริ่มคลายความร้อน เปลวแดดที่เต้นระริกเริ่มทุเลาลงไปบ้าง สวนทางกับจังหวะชีพจรของพ่อค้าแม่ค้าที่ยังคงเต้นแรง เลือดของนักสู้ฉีดซ่านอยู่ในทุกหลอดลำ ในยามที่ต้องออกแรงแบกหาม แลเห็นความเหน็ดเหนื่อยสะท้อนอยู่ในสายเหงื่อเรี่ยไหลออกมาเป็นสาย สังเกตได้จากอาการที่หญิงสาวยกหลังมือขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่หน้าผากหลายครั้ง
“ดูท่าทางฝนจะตกนะแม่” มินตรากล่าวพลางชำเลืองไปทางหมู่เมฆทะมึนหม่นที่รวมตัวกันจนแลดูหนักอึ้งอยู่ทางเบื้องทิศตะวันตก พร้อมจะกลั่นเป็นเม็ดฝนลงมาได้ทุกขณะ
“ต้องรีบขายให้หมดก่อนฝนลง แม่ไม่อยากให้ขนมเหลือค้างคืน” ยุพากล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวลกับฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจเอาเสียเลย
ตลาดแห่งนี้เป็นของเถ้าแก่ฮง เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดปทุมธานี เป็นตลาดที่เปิดค้าขายทุกวัน ทว่าในวันเสาร์และอาทิตย์ผู้คนจะมากเป็นพิเศษ ลูกค้าจะเยอะกว่าวันธรรมดาหลายเท่า เช่นวันนี้ซึ่งเป็นวันเสาร์ ยุพาจึงทำขนมตาลเพิ่มมาอีกอย่าง จากที่วันธรรมดาเธอจะขายแต่ขนมใส่ไส้เพียงอย่างเดียว
เมื่อบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเริ่มทยอยกันตั้งร้านซึ่งประกอบขึ้นอย่างง่ายๆด้วยการวางแคร่ไม้ไผ่ลงบนโครงเหล็กสี่ขา ใช้เชือกผูกยึดแต่ละมุมเพื่อไม่ให้เคลื่อนไปมา เช่นเดียวกับมินตราที่กำลังตั้งแคร่ด้วยความชำนิชำนาญ เมื่อตั้งเสร็จก็เอาผ้ายางสีฟ้าคลุมทับลงบนแคร่ไม้อีกที ปกปิดคราบฝุ่นที่ไม่น่ามอง ทำให้แคร่เก่าๆเมื่อครู่ ดูดีขึ้นมาถนัดตา
ชั่วอึดใจ ร่มคันใหญ่หลากสีสันจากหลายๆร้าน ก็กลางพรึ่บขึ้นเป็นแถวไปจนสุดแนวถนน รวดเร็วราวกับรู้ว่าเวลามีค่า ในขณะที่ต้องขายของแข่งกับเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้าทะมึน เมื่อกระแสลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกที ผืนผ้าใบบางส่วนที่ผูกกั้นเอาไว้กัน