บทที่ 7 ต้องเลี้ยงดูพวกเจ้าสองท่านแม่ลูก
“ท่านลองเสนอราคามาก่อน”
โจวกุ้ยหลานพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม แล้วก็โยนคำถามให้กับผู้จัดการหลิวอย่างหน้าตาเฉย
สายตาผู้จัดการหลิวคนนั้นเป็นประกาย ยกมือขึ้นมาลูบหนวดเคราของตนเอง พร้อมพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “พวกนี้ ข้าให้พวกเจ้าสองตำลึง ดีไหม?”
สองตำลึงถือเป็นจำนวนรายได้ทั้งปีของครอบครัวชาวสวน สำหรับพวกเขา น่าจะไม่น้อยแล้ว
สองตำลึง?
นี่เห็นว่านางเป็นคนโง่หรือ?
โจวกุ้ยหลานยิ้มหัวเราะให้กับเขา นิ้วชี้ไปที่เขากวางอ่อนที่มีราคาที่สุด พร้อมยิ้มพูดขึ้นว่า “ผู้จัดการหลิว เขากวางอ่อนนี้เป็นสิ่งที่ประมูลราคาไม่ได้ แค่ขายเพียงอย่างเดียว ราคาก็ไม่ต่ำกว่าสองตำลึงมั้ง?”
สวีฉางหลินหรี่ตาลง หันไปมองดูผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง
นางรู้จักสิ่งของพวกนี้ ไม่ใช่ผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งจะสามารถรู้เรื่องพวกนี้
ในใจผู้จัดการหลิวก็แอบตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกได้แล้วว่าสองคนนี้แตกต่างจากคนอื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนมีอำนาจตัดสินใจ ที่สำคัญที่สุดก็คือ ผู้หญิงคนนี้กลับรู้จักเขากวางอ่อนเป็นอย่างดี.....
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะรู้เยอะขนาดนี้ งั้นข้าก็ให้จากใจจริง หกตำลึง ข้าเอาทั้งหมดนี้ เป็นอย่างไร?”
ผู้จัดการหลิวลูบหนวดเคราของตนเอง เนื้อบนใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดใจ
โจวกุ้ยหลานยิ้มหัวเราะ ในขณะที่ผู้จัดการหลิวคิดว่านางจะพยักหัวตอบตกลง กลับขยับไปกระซิบข้างหูสวีฉางหลิน พร้อมถามขึ้นว่า “สิบตำลึง เจ้ายอมขายไหม?”
ยังไงก็เป็นกวางที่เขาล่ามา ยังไงก็ต้องปรึกษาเขา
ลมหายใจร้อนผ่าวเป่าอยู่ข้างหูของสวีฉางหลิน ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างจักจี้
“แล้วแต่เจ้า”
มีคำพูดเขา โจวกุ้ยหลานจึงพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “สิบตำลึง หากยังอยากได้เนื้อกวางกับหนังกวางด้วย งั้นก็เพิ่มอีกสามตำลึง ผู้ชายของข้าเป็นนายพรานที่มีชื่อเสียงในเขตพื้นที่โดยรอบนี้ และก็มีเพียงเขาที่สามารถล่าได้กวางซิก้า”
พูดอีกอย่างก็คือ หากราคาเหมาะสม ต่อไปก็ยังสามารถทำความร่วมมือซื้อขายกันได้
คนงานที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองของบนชั้นวาง หนึ่งเดือนเขาได้ค่าแรงแค่สองเหรียญเอง หนึ่งปีก็ได้แค่สองตำลึงกว่า ในหมู่บ้านถือว่าดีที่สุดแล้ว นี่กลับเทียบนายพรานคนหนึ่งก็ไม่ได้?
ผู้จัดการหลิวขมวดคิ้วอย่างอดทนไม่ไหว ลังเลครุ่นคิดอย่างมาก
หากนำสิ่งของพวกนี้มาทำเป็นยาแล้วขาย งั้นก็จะไม่ได้ราคานี้ แต่ราคาต้นทุนก็สูงเกินไป หากเถ้าแก่น้อยกลับมาถาม....
“ฮูหยินท่านนี้ ราคานี้สูงเกินไป แปดตำลึงได้ไหม?”
ผู้จัดการหลิวลองถามขึ้นมา
โจวกุ้ยหลานพูดปฏิเสธทันทีว่า “ก็ราคาเดิม หากผู้จัดการหลิวไม่เอา เราก็จะไปร้านขายยาร้านอื่น”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ สวีฉางหลินก็เริ่มลงมือ เอาหางกวางกวางใส่เข้าไปในตะกร้าของตน
การกระทำอย่างคล่องแคล่วแบบนี้ ทำให้ผู้จัดการหลิวตกตะลึง พร้อมพูดขึ้นว่า “รอก่อน สิบตำลึง ข้าเอา”
ราคาต้นทุนนี้ถึงแม้จะแพง แต่สิ่งที่ได้มานั่นได้กำไลเยอะกว่าต้นทุน ยังเป็นการเพิ่มพูนชื่อเสียงให้กับร้านขายยาพวกเขาอีกด้วย ต่อให้ต้นทุนเยอะ ก็จะยอมให้พวกเขาไปขายให้ร้านอื่นไม่ได้
สวีฉางหลินหยุดการเคลื่อนไหวพร้อมกับคำพูดของเขา จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “เนื้อกวางกับหนังกวางเอาด้วยไหม?”
โจวกุ้ยหลานอึ้ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มแก้มปริ ในใจปลาบปลื้มแล้วก็ชื่นชมสวีฉางหลินอย่างมาก
คนคนนี้ แค่บอกแนวก็เก่งขึ้นมาทันที ฉลาดหลักแหลมจริงๆ
แต่ในสุดท้าย ผู้จัดการหลิวซื้อเนื้อกวางในราคาสองตำลึง แต่ไม่เอาหนัง
โจวกุ้ยหลานก็ไม่สนใจ ยังไงเนื้อกวางก็สามารถทำยาได้ แต่หนังกวางทำไม่ได้
ต่อมา นางก็ยังไม่ไป ใช้ให้คนงานช่วยนางจัดยาอีกเป็นกองโต โป๊ยกั๊ก อบเชย ยี่หร่า.....
ของพวกนี้ล้วนเอามาปรุงรสได้ดี เป็นสิ่งที่ต้องมีในการทำอาหารอร่อย
สุดท้ายเมื่อคิดเงิน ยาสมุนไพรใช้เงินไปหนึ่งร้อยเหวิน พวกเขารับเงินมาสิบเอ็ดตำลึงกับเก้าร้อยเหวินไป
เมื่อพวกเขาไปแล้ว คนงานคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว แล้วก็ถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ผู้จัดการหลิว สองคนนี้ซื้อยาสมุนไพรเยอะแยะมากมายไปทำไม? ทั้งที่ไม่สามารถรักษาอะไรได้”
ผู้จัดการหลิวส่ายหัวพร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจพวกนี้ รีบเอาของพวกนี้ไปไว้ในห้องเก็บของ รอเถ้าแก่น้อยกลับมาแล้วค่อยว่ากัน”
ขายของไปแล้วส่วนใหญ่ ตะกร้าที่สูงเกือบเท่าว่างเปล่า ส่วนเงินโจวกุ้ยหลานเก็บไว้กับตัว
นางอดไม่ได้ที่จะตบบ่าสวีฉางหลิน พร้อมยิ้มหวานพูดชมขึ้นว่า “เจ้ามีความสามารถมากจริงๆ แป๊บเดียวก็สามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ เก่งมากจริงๆ”
“อืม ต้องเลี้ยงพวกเจ้าสองท่านแม่ลูก”