บทที่ 13 การลอบสังหารมู่หรงจิ่น
หน้าประตูจวนมู่หรง
“สถานที่จัดเทศกาลโคมไฟอยู่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงอาคาร ที่นั่นแออัดอย่างมากจึงไม่เหมาะที่จะใช้รถม้า เช่นนั้นพวกเราเดินไปดีหรือไม่ ?”
มู่หรงเหยาชี้ไปยังสถานที่ที่มีแสงสีเจิดจ้าอยู่ข้างหน้า
“ดี ! ดี ! พวกเราไปกันเถิดขอรับ !”
มู่หรงหมินเดินออกไปก่อนผู้ใดทันที ไม่นานคนอื่น ๆ ก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จัดเทศกาลโคมไฟเช่นกัน
หากเดินไปยังหัวมุมที่อยู่ถัดไปสี่ช่วงถนน ก็จะพบกับเทศกาลโคมไฟอันตระการตา
มู่หรงจิ่นหยุดยืนอยู่ริมถนนและมองดูความเร่งรีบและวุ่นวายที่อยู่ห่างออกหนึ่งก้าว
ในตอนนี้ผู้คนทุกครอบครัวต่างเดินออกมาจากตรอกซอกซอยเพื่อมาร่วมงานเฉลิมฉลองในถนนข้างหน้านาง แม้ถนนเส้นนี้จะไม่ได้ตั้งอยู่ในกลางเมืองหลวง แต่ผู้คนมากมายต่างตบเท้ามาที่นี่อย่างคลาคล่ำ
“น้องจิ่นจะไม่เข้าไปข้างในงานสักหน่อยหรือ ?”
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วครู่มู่หรงชิงก็เดินมาหยุดอยู่ข้างมู่หรงจิ่นพร้อมมองไปยังถนนที่แสนแออัดข้างหน้าแล้วถามมู่หรงจิ่น
“ข้าไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกตั้งแต่ยังเด็ก ข้าจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อต้องพบเจอผู้คนมากมายเช่นนี้ !”
มู่หรงจิ่นหันมองมู่หรงชิงและมู่หรงซินขณะเลือกโคมไฟที่ร้านขายโคมไฟ ขณะเดียวกันนางก็ตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบอย่างระมัดระวัง เนื่องจากผู้คนมากมายเกินไป นางจึงไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดปองร้ายต่อตน
“พี่หญิงใหญ่ ! มาดูนี่สิ ที่นี่มีตุ๊กตาน้ำตาลขายด้วยล่ะ !”
มู่หรงหมินถือตุ๊กตาน้ำตาลรูปเสือไว้ในมือพร้อมโบกมือให้มู่หรงจิ่น
มู่หรงจิ่นไม่ต้องการพูดคุยกับมู่หรงชิง นางจึงเลือกที่จะเดินจากไป
“ตรงนั้นมีถังหูลู่ด้วยล่ะ !”
มู่หรงหมินยัดตุ๊กตาน้ำตาลรูปกระต่ายใส่มือมู่หรงจิ่น จากนั้นชี้ไปยังพ่อค้าขายตุ๊กตาน้ำตาลที่ตั้งร้านอยู่ไม่ไกลพร้อมกล่าว
มู่หรงเหยาและมู่หรงซินเดินมาสมทบเช่นกัน
เมื่อมู่หรงเหยาเห็นท่าทีของมู่หรงหมินใบหน้าของนางก็หงิกงอเล็กน้อย แม้มู่หรงหมินจะเป็นน้องชายแท้ ๆ ของนาง แต่มู่หรงหมินกลับไม่สนิทสนมกับนางเท่าที่ควร เพราะเขาถูกฮูหยินเฒ่าประคบประหงมตั้งแต่ยังเด็ก
หากพี่น้องจะเหินห่างกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อมู่หรงหมินอยู่กับมู่หรงจิ่น ผู้คนส่วนมากก็มักจะคิดว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากัน !
มู่หรงจิ่นใช้เล่ห์กลอะไรหลอกลวงน้องชายของนางกันแน่ ? นังคนชั้นต่ำ !
“พวกเราไปจุดโคมไฟกันเถอะ !”
มู่หรงเหยากล่าวแนะนำทุกคนด้วยรอยยิ้ม นางพร่ำบอกตนเองจากก้นบึ้งของหัวใจว่าอย่าทำทุกอย่างพัง ! มิฉะนั้นความพยายามก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า !
“แต่ข้าอยากกินถังหูลู่ !”
มู่หรงหมินกระตุกแขนเสื้อมู่หรงจิ่นพลางกะพริบตากลมโตเพื่อออดอ้อน
“น้องหมิน เจ้าไปกับพี่ชายสิ อย่างไรก็ตามการจุดโคมไฟเป็นหน้าที่ของสตรี ส่วนพวกเจ้าก็ไปซื้อถังหูลู่มากินกัน หลังจากนั้นพวกเราก็จะกลับมาพบกันที่จุดนัดหมายในอีกหนึ่งชั่วโมง”
ดวงตาของมู่หรงซินมองไปรอบ ๆ นางเป็นคนที่มีไหวพริบและชายฉลาดยิ่งนัก
“ข้าไปกับพี่ชายชิงก็ได้ !”
มู่หรงจิ่นมองไปยังมู่หรงเหยาและมู่หรงซินที่กำลังขุดหลุมพรางให้ตน นางต้องการรู้ว่าทั้งสองคนมีแผนการอย่างไร
มู่หรงหมินบุ้ยปาก ก่อนเดินจากไปพร้อมมู่หรงชิง
“พี่หญิงใหญ่ มาเลือกโคมไฟกัน !”
มู่หรงเหยายืนอยู่หน้าร้านขายโคมไฟขณะถือโคมดอกบัวไว้ในมือ
“คุณหนูใหญ่ต้องการโคมแบบไหนหรือเจ้าคะ ?”
เสี่ยวหลิงที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงจิ่นเอ่ยถามเบา ๆ
“โคมไฟดอกโบตั๋น !”
มู่หรงจิ่นจำกล่องไม้จันทน์สีแดงที่เสิ่นหว่านชิงทิ้งไว้ให้นางได้อย่างแม่นยำ ซึ่งบนกล่องแกะสลักเป็นรูปดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบาน
เสี่ยวหลิงก้าวไปข้างหน้าแล้วหยิบโคมไฟดอกโบตั๋นมาถือเอาไว้ จากนั้นถอยไปยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงจิ่น
มู่หรงซินหยิบโคมไฟลายกระต่ายแล้วส่งให้ หงเหมย สาวรับใช้ของนาง
“พวกเรารีบไปจุดโคมไฟและขอพรกันเถอะ !”
มู่หรงซินมองโคมไฟลายกระต่ายที่อยู่ในมือหงเหมยด้วยสายตามีความสุขอย่างมาก
สถานที่จุดโคมไฟขอพรคือแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานที่จัดงานเทศกาลเพียงหนึ่งช่วงถนน
เมื่อมาถึงริมแม่น้ำ เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่ต่างจุดโคมไฟสว่างไสว และไม่นานโคมไฟมากมายก็ลอยไปตามแม่น้ำ
แม่น้ำส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงของโคมไฟ ทำให้สถานที่รอบ ๆ ปกคลุมด้วยแสงสีทองซึ่งดูลึกลับไม่น้อย
มู่หรงจิ่นพลันคิดในใจว่านี่อาจเป็นเหตุผลว่าเหตุใดคนโบราณถึงเชื่อว่าการจุดโคมไฟขอพรจะทำให้ความปรารถนาของพวกเขาเป็นจริงใช่หรือไม่ ?
“พวกเรามาลอยโคมไฟที่นี่กันเถอะ !”
มู่หรงเหยาเลือกสถานที่ที่มีผู้คนอยู่น้อยซึ่งคือต้นน้ำของแม่น้ำ ขณะนี้โคมไฟมากมายต่างลอยไปรวมกันอยู่ปลายแม่น้ำทำให้สว่างไสวไม่น้อย ตรงข้ามกับต้นน้ำที่มีเพียงแสงสลัว
มู่หรงจิ่นสังเกตสถานการณ์รอบตัวอย่างระมัดระวัง แม้ผู้คนส่วนมากจะเป็นหญิงสาวที่ไม่มีพิษภัย แต่ก็มีชายหนุ่มและบริวารอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นหากมองเพียงผิวเผินอาจไม่เป็นอันตราย แต่สัญชาตญาณของนางกลับเตือนว่าอย่าประมาท
มู่หรงจิ่นมองดูชิวหลิงวางโคมไฟดอกบัวของมู่หรงเหยาลงในแม่น้ำขณะเย้ยหยันคำขอพรของอีกฝ่ายในใจ ความปรารถนาอันแรงกล้าของมู่หรงเหยาจะต้องเกี่ยวกับตนเป็นแน่อย่างเช่น มู่หรงเหยาหวังให้นางหายไปจากโลกนี้โดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกันมู่หรงซินก็วางโคมไฟลายกระต่ายลงบนแม่น้ำและขอพรเช่นกัน
มู่หรงจิ่นไม่รู้จะทำตัวอย่างไร บางทีความปรารถนาของมู่หรงซินอาจเกี่ยวข้องกับนางก็เป็นได้ เหตุใดนางถึงได้รับความนิยมเพียงนี้กันนะ ?
ไม่สิ ! เหตุใดอ๋องเยี่ยนถึงได้รับความนิยมมากมาย ? เขามีสามหัวและมีหกมือเหรอ ?
“พี่หญิงใหญ่ไม่ลอยโคมไฟหรือ ?”
มู่หรงเหยาวางโคมไฟลงบนผิวน้ำ จากนั้นเดินไปหามู่หรงจิ่น
มู่หรงจิ่นเหลือบมองมู่หรงเหยาเล็กน้อย จากนั้นเดินไปที่ริมแม่น้ำ
เสี่ยวหลิงวางโคมไฟดอกโบตั๋นลงบนแม่น้ำ ขณะที่มู่หรงจิ่นจ้องมองโคมไฟ นางพลันนึกถึงจดหมายลาตายของเสิ่นหว่านชิงก่อนถอนหายใจ
นางมองไปที่โคมไฟดอกโบตั๋นขณะที่สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดเอื่อย หากโลกนี้มีผีจริง ๆ มู่หรงจิ่นก็หวังว่าวิญญาณของเสิ่นหว่านชิงจะไม่เร่ร่อนไปมาเหมือนโคมไฟดวงนี้ และกลับชาติมาเกิดโดยเร็วที่สุด อีกทั้งยังหวังว่าในชาติหน้านางจะไม่ต้องเกิดมาพบมู่หรงเซิ่งอีก !
ขณะที่มู่หรงจิ่นกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด มู่หรงเหยาก็ขยิบตาให้มู่หรงซิน ทันใดนั้นนางก็เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ มู่หรงเหยาอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้ามู่หรงจิ่นก็รู้สึกถึงสายลมเย็นที่พัดมาจากข้างหลัง นางจึงรีบหันหลังกลับและพบกับแสงสีเงินพุ่งมาที่ตนอย่างรวดเร็ว มู่หรงจิ่นรียผลักเสี่ยวหลิงให้พ้นทางก่อนที่เสี่ยวหลิงจะล้มลงด้านข้าง
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ไม่เพียงแต่มู่หรงเหยาและมู่หรงซินเท่านั้นที่กรีดร้อง แต่รวมไปถึงคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณปลายแม่น้ำด้วย พวกนางเห็นชายสวมหน้ากากหลายคนใช้มีดปลายแหลมแทงไปที่หญิงสาวคนหนึ่ง จากนั้นทุกคนต่างหลบหนีเอาตัวรอดราวกับนกแตกรัง
“คุณหนู !”
เสี่ยวหลิงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันก่อนกรีดร้องออกมา
ในเวลาเดียวที่มู่หรงจิ่นได้ยินเสียงของเสี่ยวหลิง นางก็เห็นชายสองคนแทงมีดมาทางตน นางรีบยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและรับสังเกตว่าพวกเขามาจากทิศทางใดก่อนหลบหลีกอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงปอยผมที่ถูกคมมีดตัดหล่นอยู่บนพื้น
“คุณหนู ! ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ? พวกเจ้าเป็นใคร ? เจ้ากล้าลอบสังหารคุณหนูใหญ่ของจวนมู่หรงได้อย่างไร พวกเจ้ารนหาที่ตายรึ ?”
เสี่ยวหลิงรีบวิ่งไปยืนข้างหน้ามู่หรงจิ่นและอ้าแขนปกป้องเจ้านาย ก่อนตะโกนถามชายสวมหน้ากากที่ยืนอยู่ตรงหน้า
มู่หรงเหยามองสำรวจผู้ร้ายอย่างละเอียด ชายสวมหน้ากากมีทั้งหมดสี่คน ซึ่งแต่ละคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบและดาบขนาดใหญ่ไว้ในมือ นางไม่คิดว่าคนเหล่านี้คือทหารหรือพวกเจียงหู่ แต่อาจจะเป็นโจรภูเขาอะไรเทือกนั้นมากกว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเราไม่ได้รนหาที่ตายหรอก พวกเราแค่ต้องการฆ่าคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่หรงเท่านั้น ! ถ้าใครเข้ามาขวางก็ฆ่ามันให้หมด !”
ผู้นำของคนกลุ่มนี้มีรูปร่างสูงใหญ่ แม้ว่าจะสวมหน้ากากอยู่ แต่ก็สามารถมองเห็นเคราครึ้มที่ปกคลุมใบหน้าครึ่งหนึ่งของเขา
“นี่ พี่ใหญ่ ! พวกเราแค่จะฆ่าชิงทรัพย์แม่นางคนนี้ไม่ใช่หรือ อย่าพูดถึงการฆ่าแกงคนอื่นเลย แต่นังสาวรับใช้คนนี้หน้าตาสะสวยไม่น้อย เหตุใดเราถึงไม่พานางไปปรนเปรอพี่น้องของเราเล่า ?”
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แล้วชายผู้นี้มีรูปร่างผอมบางอ่อนแอ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่เสี่ยวหลิงตาเป็นมันโดยไม่แม้แต่จะปกปิด
“คะ... คุณหนูรีบหนีเร็ว !”
เสี่ยวหลิงแทบจะหลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าพวกมันต้องการฆ่ามู่หรงจิ่น นางก็ตัดสินใจว่าจะตายไปพร้อมกับเศษสวะเหล่านี้
“ดี ! ข้าเห็นด้วย !”
ชายที่รู้จักกันในนาม “พี่ใหญ่” ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นโบกมือเป็นสัญญาณให้สามคนที่เหลือพุ่งทะยานไปข้างหน้า
“ช้าก่อน !”