ตอนที่ 1
ท่านประธาน
คลั่งสวาท
พุทธศักราช 2564
ที่โรงแรมระดับห้าดาวชื่อดังในกรุงเทพฯ
หนุ่มใหญ่วัย 37 ในชุดสูทสีดำสุดสมาร์ท ก้าวออกมาจากห้องประชุมพร้อมกระเป๋าเอกสารสีดำในมือ
เขาก้าวเดินมาที่ลิฟต์ กดลิฟต์ลงมาที่ชั้น 1 ซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อกับลานจอดรถที่อยู่ชั้นใต้ดิน
ทว่าเมื่อลงมาถึงชั้นหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินผ่าน จู่ๆ สายตาพลันเหลือบไปเห็นแสงไฟสีเหลืองนวลสาดลอดออกมาจากม่านหน้าต่างของห้องทำงานในส่วนของออฟฟิศที่อยู่ชั้นล่าง
ด้วยความสงสัย…
หนุ่มใหญ่พลิกหลังมือขึ้นมองนาฬิกา นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ป่านนี้ยังจะมีใครนั่งทำงานอยู่อีกหรือ
แทนที่จะเลี้ยวกลับไปทางประตูหลังที่รถเบนส์สีดำคันหรูจอดอยู่ในช่องจอดของผู้บริหารแล้วกลับบ้าน เขากลับเดินมายังออฟฟิศที่แลเห็นแสงไฟลอดออกมา
และเมื่อผลักบานประตูเข้ามา…
ก็มีอันต้องตกใจกับภาพที่เห็น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนิน
“นี่เธอ… เป็นอะไรหรือเปล่า… ”
เขารีบเข้ามาเขย่าไหล่ของหญิงสาวด้วยความตกใจและเป็นห่วง
คนที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษที่ปราศจากตัวอักษร
“ทะ… ท่านประธาน… ”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นเขา เพราะว่าผู้ชายที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ก็คือ ‘กวินท์’ หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งไทย-อิตาลี วัยสามสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้
“เป็นอะไรหรือเปล่า… ”
กวินท์ถามด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยค่ะท่าน… ”
หญิงสาวตอบเกร็งๆ…
กวินท์สังเกตเห็นว่าใบหน้าของหล่อนดูซีดเซียวจนเห็นได้ชัด
“แล้วทำไมไม่เปิดแอร์… ”
กวินท์รู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าวภายในห้อง
“หัวหน้าสั่งไว้ว่าหลังเลิกงานห้ามเปิดแอร์ ต้องช่วยประหยัดไฟค่ะ… ”
หัวหน้างานที่ถูกกล่าวถึงก็คือหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่เป็นคนรับหล่อนเข้ามาฝึกงาน
“แต่ถ้าต้องอยู่ทำงานดึกก็เปิดแอร์ได้ตามปกติ จะได้ไม่ต้องร้อนจนเป็นลม… แล้วถ้าไม่สบายก็ควรจะพักก่อนหรือบอกกับหัวหน้างานไปตามตรงอย่าฝืนทำ”
“ค่ะ… ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“แล้วได้กินข้าวเย็นหรือยัง นี่ก็เกือบจะห้าทุ่มแล้วนะ… นี่งานอะไร มันด่วนมากเลยหรือ บ้านเธออยู่ที่ไหน มาทำงานยังไง… กลับยังไง… ”
ท่านประธานยิงคำถามชุดใหญ่
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นค่ะ บ้านอยู่บางนาค่ะ… นั่งรถเมล์มาค่ะ… ”
หญิงตอบพร้อมกับค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทว่าตอบยังไม่ครบคำถาม จู่ๆ หล่อนก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาอีก
ร่างบอบบางโอนเอนจนกวินท์ต้องโผเข้าช่วยประคองเอวไว้ สุดท้ายหล่อนก็เป็นลมล้มพับคาอ้อมแขนของท่านประธาน
กวินท์ตัดสินใจอุ้มหล่อนออกมาจากห้องทำงาน พาเข้ามายังห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของเขาเอง
เพราะคิดว่าถ้าหญิงสาวได้เจออากาศเย็นๆ สักครู่ ได้กินข้าวได้พักสักหน่อยหล่อนก็น่าจะดีขึ้น หลังจากเขาประเมินว่าน่าจะแค่อาการเป็นลมเพราะโหมงาน
ท่านประธานอุ้มหญิงสาวขึ้นลิฟต์มาถึงห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ค่อยๆ วางร่างของหล่อนลงบนโซฟาที่ถูกปรับเป็นเตียงนอน
กวินท์รีบเปิดแอร์ แม้ว่าภายในห้องยังเย็นฉ่ำเพราะว่าเขาเพิ่งปิดแอร์ไว้ได้ไม่นานตอนจะกลับบ้าน เขาเพิ่งลงมาโดยไม่คิดว่าจะต้องกลับขึ้นมาอีก
“เธอ… ”
กวินท์ทรุดร่างลงนั่งข้างๆ พิจารณาใบหน้าของหล่อน หญิงสาวคนนี้ช่างสะสวยสะดุดตาแม้ในยามหลับ
เขาตัดสินใจเอามือเกาะกระดุมเสื้อของหล่อนออกทีละเม็ดเพื่อช่วยคลายความอึดอัดจากเสื้อที่ติดกระดุมไว้จนแทบถึงคอ และที่ทำให้ดูแน่นก็เพราะทรวงอกของหล่อนอวบใหญ่สะดุดตา
“โอ๊ว… ”
กวินท์อุทานเมื่อแกะกระดุมลงมาถึงเม็ดที่สี่ สาบเสื้อที่แหวกออกจากกัน ทำให้เต้าเนื้อขนาดมหึมาเอยออกมาอวดความขาวเนียนสะดุดตา เขาจำต้องหยุดเมื่อนึกถึงความไม่เหมาะไม่ควร
กวินท์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็น ค่อยๆ เช็ดหน้าให้หญิงสาว
เขาเช็ดลงมาถึงลำคอยาวระหง ก่อนจะเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นรัวอีกครั้งหลังจากเช็ดต่ำลงมาถึงร่องอกขาวเนียน
‘บ้าฉิบ… ’
กวินท์อุทานในใจ เขาตำหนิตัวเองที่เผลอคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า ก็ทรวดทรงของหญิงสาวที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันช่างน่า… เหลือเกิน
“อุ๊ย… ”
จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกตัว หล่อนรีบเอามือถึงเสื้อชิดเข้าหากัน
“เอ่อ… ฉันไม่ได้ตั้งใจ ที่ต้องแกะกระดุมเพราะไม่อยากให้เธออึดอัด… ”
กวินท์รีบบอก
“ค่ะ… ขอบคุณค่ะ… ”