บทที่ 5
ไม่ว่าจะพยายามทำใจ และหักห้ามความเสียใจไว้มากเพียงใด แต่เมื่อมาเห็นพระบิดานอนสงบนิ่งปราศจากลมหายใจ เจ้าชายคาริมก็ไม่อาจกลั้นความรู้สึกเสียใจไว้ได้
ดวงเนตรทั้งสองแดงก่ำ สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการสูญเสีย ระคนเคียดแค้นคนร้าย ซึ่งพระองค์ปักใจเชื่อไปเกินครึ่งว่าจะต้องเป็นเจ้าหญิงนอกสายเลือดอย่างเจ้าหญิงไนย์ดา ที่เป็นลงมือทำร้ายพระบิดาของพระองค์
“เจ้าหญิงไนย์ดา! เสร็จพิธีฝั่งศพพระบิดาเมื่อไร เจ้าชายคาริมคนนี้ สาบานว่าจะกระชากดวงวิญญาณออกจากร่างของเจ้าบ้าง”
เจ้าชายคาริมเค้นเย็นยะเยือก พระหัตถ์ทั้งสองกำเข้าหากันแน่น กัดฟันดังกรอดๆ แทบทนรอเวลาในการทำตามที่ตรัสออกไปไม่ไหว
ด้วยไม่อาจทนมองพระศพของพระบิดาได้อีกต่อไป เจ้าชายคาริมจึงเดินออกมาหยุดยืนอยู่ตรงระเบียงหน้าตำหนัก ดวงเนตรทั้งสองทอดมองไปรอบๆ เห็นสิ่งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นภายในบ้านเมืองของพระองค์ จากนั้นก็ตรัสออกมาด้วยความเสียใจ
“มีป้ายแสดงความยินดีกับเจ้าหญิงไนย์ดาติดทั่วทั้งเมือง ประชาชนดีใจกับองค์รัชทายาทนอกสายเลือด แต่ไม่มีใครเสียใจกับการสิ้นพระชนม์ของท่านพ่อ”
“เจ้าชาย...อย่าตำหนิราษฎรผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยพ่ะย่ะค่ะ ทุกคนถูกองครักษ์ของเจ้าชายฮัสซันบังคับให้ทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เฒ่าอัลฮิมบอกเสียงเศร้าๆ ใช่ว่าจะมีแค่ราษฎรในตัวเมืองเท่านั้นที่ถูกบังคับให้ทำป้ายแสดงความยินดีกับเจ้าหญิงไนย์ดา ตัวเขาเองก็ถูกบังคับเช่นเดียวกัน
“ท่านลุงฮัสซันทำถึงเพียงนี้เลยหรือ ทรงสร้างฐานเสียงให้กับเจ้าหญิงไนย์ดา โดยวิธีการบังคับราษฎรทั่วทั้งรัฐไบลาร์”
“พ่ะย่ะค่ะ หากใครไม่ทำตามก็จะถูกลงโทษอย่างนัก ตัวกระหม่อมเองก็ต้องเอาตัวรอดด้วยการทำป้ายแสดงความยินดีกับเจ้าหญิงไนย์ดาเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านลุงกับเจ้าหญิงไนย์ดาจะเหิมเกริมมากเกินไปแล้ว”
“ไม่ใช่เพียงแค่นี้นะพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายฮัสซันใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่ในสภาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยบอกในสิ่งที่เจ้าชายคาริมไม่เคยล่วงรู้มาก่อน
“นรก! รัฐไบลาร์กำลังตกอยู่ในมือของท่านลุง เราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด”
เจ้าชายคาริมทรงสบถลั่นเพราะความโกรธจัด ไม่นึกว่าการจากบ้านเมืองเพื่อไปศึกษาต่อในระยะแค่ไม่กี่ปี ผู้เป็นท่านลุงก็ทำการรวบอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในมือเกือบหมด
“เจ้าชายจะทำอย่างไรต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์รามีลซึ่งนิ่งเงียบฟังมานาน เป็นฝ่ายเอ่ยถามบ้าง และไม่ว่าเจ้าชายคาริมต้องการอย่างไร ต้องการรวบอำนาจกลับคืนด้วยวิธีใด เขาก็พร้อมทำตามคำสั่งของเจ้าเหนือหัวในทันทีเช่นเดียวกัน
“เราจะทวงความยุติธรรมกลับคืน ไม่ใช่เพื่อตัวเรา แต่เพื่อราษฎรชาวไบลาร์ทุกคน” เจ้าชายคาริมตรัสสุรเสียงเข้ม ก่อนจะตรัสสั่งงานองครักษ์รามีลต่อ
“เราต้องการหลักฐานมัดตัวเจ้าหญิงไนย์ดาและท่านลุงอย่างแน่นหนา เอาชนิดที่ว่ามัดตัวจนดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ คืนนี้เจ้าส่งลูกน้องมือหนึ่งไปหาหลักฐานทุกอย่างจากตำหนักของท่านลุง โดยเฉพาะตะเกียงน้ำมันที่เจ้าหญิงไนย์ดาใช้เป็นเครื่องมือนำมาสู่ความตายของพระบิดาและองครักษ์อีกหลายคน”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดการตามที่เจ้าชายรับสั่งมาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์รามีลรับคำ
“ย้ำ! เอามือหนึ่งเท่านั้น ถ้าเจ้าไปเองได้ก็ยิ่งดี”
แน่นอนว่าตำหนักของเจ้าชายฮัสซันย่อมมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา และเจ้าชายคาริมทรงต้องการตามที่ตรัสออกไป องครักษ์รามีลเป็นองครักษ์มือหนึ่งที่เก่งกาจที่สุด ทำคะแนนได้สูงสุดในทุกครั้งของการทดสอบ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเท่ากับความจงรักภักดีที่องครักษ์รามีลมีต่อพระองค์
“กระหม่อมขออยู่อารักขาเจ้าชายดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ แต่เจ้าชายอย่ากังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ ลูกน้องของกระหม่อมเก่งกาจและทำงานได้เงียบเชียบไม่แพ้ตัวกระหม่อม”
นาทีนี้องครักษ์รามีลไม่อยากปล่อยให้เจ้าชายคาริมต้องอยู่แค่เพียงพระองค์เดียว มัจจุราชกำลังตามล่าไล่หลังอยู่ติดๆ หากแม้นเผลอแค่วินาทีเดียว ก็อาจจะปราศจากลมหายใจได้ ซึ่งเจ้าชายคาริมเองก็ทรงทราบเรื่องนี้ดีจึงพยายามปกปิดเรื่องการกลับมายังแผ่นดินรัฐไบลาร์ให้เป็นความลับมากที่สุด
“บอกลูกน้องของเจ้าให้ระวังตัวด้วย และหากจวนตัวจริงๆ ให้ถอยออกมา อย่าเอาชีวิตไปแลกกับหลักฐานแค่เพียงไม่กี่ชิ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกำชับลูกน้องทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายคาริมทรงมีพระเมตตากับลูกน้องใต้อาณัติเสมอ ทรงรู้ว่าทุกชีวิตของเหล่าองครักษ์มีค่าต่อทุกคนในครอบครัวของตัวองครักษ์เอง พระองค์ไม่ต้องการให้มีการเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว แต่เจ้าชายฮัสซันผู้เป็นท่านลุง หาได้คิดเฉกเช่นพระองค์ไม่!
และก่อนเจ้าชายคาริม องครักษ์รามีล รวมทั้งผู้เฒ่าอัลฮิมจะปรึกษากันเรื่องการจัดพิธีฝั่งศพของพระบิดา องครักษ์คนหนึ่งได้เขามารายงานให้เจ้าชายคาริมทรงทราบ ถึงการมาถึงของบุคคลที่กำลังตกเป็นหัวข้อการสนทนาอยู่ในขณะนี้
“เจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายฮัสซันกับเจ้าหญิงไนย์ดามาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
คำรายงานขององครักษ์หนุ่ม ทำเอาเจ้าชายคาริมถึงกับกระตุกยิ้มอยู่ตรงมุมโอษฐ์ ทรงหันไปมองสบตากับองครักษ์รามีล พร้อมกับตรัสออกมาตามที่ทรงนึกคิดไว้
“ท่านลุงมาเร็วกว่าเราที่คิดไว้ซะอีก ไม่นึกว่าความโลภ กระหายในบัลลังก์ไบลาร์จะทำให้ท่านลุงร้อนรนได้มากถึงเพียงนี้”
เจ้าชายคาริมตรัสเยาะ ดวงเนตรไหววาบไปด้วยไฟโทสะและความคลั่งแค้นลูกใหญ่ ดีเหมือนที่คนเหล่านี้เผยทาสแท้ให้เห็น และเดินทางมาให้พระองค์เห็นถึงความชั่วของพวกเขา โดยพระองค์ไม่ต้องลำบากเดินทางไปยังซุ้มโจรของผู้เป็นท่านลุง
“ตอนนี้ท่านลุงกับธิดาของพระองค์รออยู่ที่ไหน”
ทรงตรัสถามองครักษ์คนเดิมที่เข้ามารายงานให้ทราบการมาถึงของเจ้าชายฮัสซัน
“เจ้าชายฮัสซันและเจ้าหญิงไนย์ดาทรงรออยู่ในห้องโถงพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปบอกท่านลุงกับธิดาใจทรามของท่านว่าเราจะออกไปพบเดี๋ยวนี้” เจ้าชายคาริมตรัสสั่ง พร้อมกับก้าวเดินเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
องครักษ์หนุ่มโค้งคำนับให้เจ้าชายคาริม แล้วก้าวเดินออกจากห้อง ทว่าก้าวเดินได้แค่ไม่กี่ก้าวก็มีอันต้องชะงักอยู่กับที่ เมื่อถูกเจ้าเหนือหัวตรัสเรียกไว้เสียก่อน
เมื่อก้าวเดินเข้ามาในห้องบรรทมของพระบิดา ดวงเนตรคมกล้ามองไปยังศพของพระบิดาที่ตั้งอยู่กลางห้อง เจ้าชายคาริมก็เกิดการเปลี่ยนพระทัย ตรัสเรียกองครักษ์พร้อมกับสั่งว่า
“เดี๋ยว! เจ้าไปบอกท่านลุงกับธิดาของท่านให้เข้ามาพบเราในห้องนี้แทน เราจะรอท่านลุงที่เคารพอยู่ในห้องบรรทมของท่านพ่อ”
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย กระหม่อมจะทำตามที่พระองค์รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์หนุ่มรับคำอีกครั้ง จากนั้นก็เดินออกไปทำตามคำสั่งของเจ้าชายคาริมในทันที
เมื่อองครักษ์เดินออกไปจากห้องแล้ว เจ้าชายคาริมก็หันมาสั่งกับองครักษ์คนเก่าคนแก่ของพระบิดาด้วยความเป็นห่วง
“อัลฮิม เจ้ากลับไปก่อน มันจะไม่ปลอดภัยสำหรับตัวเจ้า หากท่านลุงเห็นเจ้าอยู่กับเราที่นี่”
“กระหม่อมขออยู่กับเจ้าชายได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ เพราะยังไงๆ เจ้าชายฮัสซันก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่ากระหม่อมจงรักภักดีต่อฝ่าบาทและเจ้าชายตลอดชั่วชีวิตของกระหม่อม”
ผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยออกมาด้วยความสัตย์จริง ไม่ใช่แค่เพียงความจงรักภักดีเท่านั้นที่เขาจะมอบให้กับเจ้าชายคาดีมผู้ล่วงลับและเจ้าชายคาริมผู้เป็นโอรส แม้แต่ชีวิตของเขา...เขาก็ถวายให้กับเจ้าเหนือหัวทั้งสองพระองค์นี้ได้
“เรารู้ อัลฮิม เรารู้ว่าเจ้าจงรักภักดีต่อท่านพ่อและเรามาก ซึ่งตอนนี้คงหาคนที่จงรักภักดีต่อเราแทบไม่ได้แล้ว แต่เราไม่ต้องการให้ท่านลุงเห็นเจ้าในตำหนักของท่านพ่อ เราไม่อยากให้เจ้าสิ้นลมก่อนทันได้เห็นเราขึ้นครองราชย์แทนท่านพ่อ”
เจ้าชายคาริมตรัสบอกอย่างมีเหตุผล และเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นติดกันหลายครั้ง ก็ออกคำสั่งแกมไล่ผู้เฒ่าอัลฮิมอีกครา
“ไปได้แล้วอัลฮิม”
ถูกเจ้าเหนือหัวตรัสไล่ แถมยังจ้องมองเขม็งอย่างไม่กะพริบตา ทำเอาผู้เฒ่าอัลฮิมต้องทำตามคำสั่งอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ถ้ายังงั้นกระหม่อมกลับก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
ผู้เฒ่าอัลฮิมโค้งคำนับให้กับเจ้าชายคาริม และก่อนจะเดินออกไปจากห้องก็ไม่ลืมหันมาสั่งองครักษ์รามีลด้วย
“รามีล อารักขาเจ้าชายให้ดีที่สุด”
“ด้วยชีวิตของผมเลยครับ”
องครักษ์รามีลรับคำสั้นๆ ทว่าสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ที่ได้ยินยิ่งนัก ทั้งผู้เฒ่าอัลฮิมและเจ้าชายคาริมยิ้มออกมากับคำพูดที่เป็นไม่ต่างจากคำสัตย์สาบานขององครักษ์รามีล
“รามีล เจ้าไปเปิดประตูได้แล้ว เราอยากเห็นใบหน้าของคนใจอำมหิตอย่างเจ้าหญิงไนย์ดาจนแทบทนรอไม่ไหวแล้ว”
เจ้าชายคาริมตรัสสั่ง เมื่อผู้เฒ่าอัลฮิมเดินออกจากห้องบรรทมไปทางประตูหลังเรียบร้อยแล้ว
“กระหม่อมก็อยากเห็นโฉมหน้าของเจ้าหญิงพระองค์นี้เช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวไปแล้ว องครักษ์รามีลก็เดินตรงไปยังประตูห้อง ขณะเอื้อมมือไปเปิดประตูก็คิดว่าคงได้เห็นโฉมหน้าที่อัปลักษณ์ไม่ต่างจากจิตใจอันแสนโหดเหี้ยมของเจ้าหญิงไนย์ดา
แต่พอประตูถูกเปิดออกกว้าง องครักณ์รามีลก็มีอันต้องนิ่งงันไปชั่วครู่ เมื่อดวงตาทั้งคู่มองปะทะกับเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าชายฮัสซัน
“ไอ้ขี้ข้า ทำไมถึงมาเปิดประตูช้านัก”
เป็นคำแรกที่องครักษ์รามีลได้รับการทักทายจากเจ้าชายฮัสซัน และถ้อยคำที่ตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้า ช่วยให้องครักษ์รามีลหลุดพ้นจากอาการตกตะลึงในก่อนหน้านี้
“เจ้าชายทรงรออยู่ข้างใน เชิญเจ้าชายฮัสซันและเจ้าหญิงไนย์ดาพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์รามีลหลีกทางให้ราชิกุลทั้งสองพระองค์ได้เดินเข้าไปภายในห้องบรรทมของเจ้าชายคาดีม ขณะมองตามหลังก็ไม่นึกว่าเจ้าหญิงผู้มีสิริโฉมงดงามอย่างเจ้าหญิงไนย์ดาจะเป็นฆาตกรฆ่าคนได้