บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

เจ้าชายคาริมเดินทางถึงแผ่นดินเกิดในเช้าของมันถัดมา ทรงเดินทางมาถึงแผ่นดินรัฐไบลาร์อย่างเงียบๆ พอก้าวลงจากเครื่องบินแล้ว ก็ตรงไปขึ้นรถที่ผู้เฒ่า

อัลฮิมมาเฝ้ารอรับการกลับมายังมาตุภูมิ

“เจ้าชายของกระหม่อม ทรงสง่างามเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นพระองค์ในครั้งแรก กระหม่อมแทบจำพระองค์ไม่ได้”

ผู้เฒ่าอัลฮิมปรีเข้าไปทำความเคารพราชนิกุลหนุ่ม ที่ก้าวเดินอย่างองอาจแผ่อำนาจของเจ้าแห่งทะเลทรายคนต่อไป มาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าของเขา

และเมื่อเห็นเจ้าชายคาริม ซึ่งมีพระพักตร์และดวงเนตรถอดเค้ามาจากเจ้าชายคาดีม ผู้เป็นพระบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ทำเอาองครักษ์เฒ่าอย่างอัลฮิม ซึ่งจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้าเหนือหัวเสมอมาถึงกับน้ำตาซึมในทันที

“อัลฮิม เจ้าห้ามร้องไห้เด็ดขาด”

เจ้าชายคาริมตรัสสั่งสุรเสียงเข้ม ดวงเนตรทั้งสองที่อยู่ภายใต้แว่นตาสีดำอันใหญ่ แข็งกร้าวโชนแสงไปด้วยไฟแค้น ขณะตรัสด้วยสุรเสียงเย็นยะเยือก

“เราต้องการรู้ว่าองครักษ์ที่คอยอารักขาท่านพ่อหายไปไหนหมด ทำไมถึงปล่อยให้ท่านพ่อถึงถูกลอบปลงพระชนม์ได้”

ตรัสถามไปแล้ว เจ้าชายคาริมก็ก้าวขึ้นไปนั่งในรถยนต์ติดฟิล์มหนาทึบ และที่สำคัญกระจกรถเป็นแบบกันกระสุนได้ด้วย

องครักษ์รามีลและผู้เฒ่าอัลฮิมตามขึ้นไปนั่งบนรถคันใหญ่ แต่ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับเจ้าเหนือหัว องครักษ์รามีลก็ไม่ลืมกวาดสายตามองรอบๆ บริเวณสนามบิน เพื่อ

ให้มั่นใจว่าไม่มีใครล่วงรู้ถึงการเดินทางมาถึงแผ่นดินทะเลทรายของเจ้าชายคาริมผู้เป็นองค์รัชทายาทที่หนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์แล้ว คนร้ายก็ไม่ลังเลที่จะจัดการเจ้าชาคาริมเป็นรายต่อไป

เมื่อรถยนต์คันใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกจากบริเวณสนามบิน เจ้าชายคาริมก็ตรัสถามองครักษ์คนสนิทของพระบิดาอีกครั้ง เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ทำตาแดงราวกับจะร้องไห้ในทุกนาที

“เจ้าจะตอบคำถามของเราได้หรือยังเจ้าอัลฮิม องครักษ์หายหัวไปไหนหมด ทำไมพวกเขาไม่อยู่อารักขาท่านพ่อของเรา”

สุรเสียงที่ตรัสถามเริ่มดังขึ้นและห้วนจัดเมื่อไม่ได้รับคำตอบตามที่ทรงต้องการสักที

ผู้เฒ่าอัลฮิมกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เอ่ยตอบเจ้าเหนือหัวหนุ่มได้อย่างยากลำบาก “องครักษ์ทุกคนถูกเก็บหมด ไม่มีลมหายใจได้อยู่ปกป้องฝ่าบาทเลยพ่ะย่ะค่ะ”

คำตอบที่หลุดออกมาจากปากของผู้เฒ่าอัลฮิม ซึ่งเอ่ยบอกเสียงสั่นเทา ทำเอาเจ้าชายคาริมและองครักษ์รามีลถึงกับนิ่งงันไปพร้อมๆ กัน หลังจากนั้นองครักษ์รามีลจะเป็นฝ่ายเอ่ยถามแทนเจ้าเหนือหัวหนุ่ม

“เมื่อสักครู่ท่านลุงบอกว่าองครักษ์ถูกฆ่าตายหมดยังงั้นหรือครับ”

องครักษ์รามีลเบิกตาโต ขณะถามซ้ำราวกับไม่เชื่อในคำตอบที่ได้ยินมา

“ใช่...รามีล...” ผู้เฒ่าอัลฮิมยังคงรับคำเสียงแผ่วเบาเช่นเดิม

“เจ้ากำลังจะบอกเราว่า ลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเจ้า ถูกฆ่าตายพร้อมๆ กันยังงั้นหรืออัลฮิม”

ตรัสถามไปแล้ว เจ้าแห่งทะเลทรายก็มีอันต้องนิ่งขึงตัวชาอีกครา กับคำตอบที่หลุดออกมาจากปากของผู้เฒ่าอัลฮิม

“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย ฟาติกับฟาติน ถูก...ฆ่าตายพร้อมๆ กันพ่ะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงที่เอ่ยตอบนั้นเบาหวิวยิ่งนัก เมื่อนึกถึงการสูญเสียลูกชายสองคนในคราวเดียวกัน

“ยังไง พวกเขาถูกฆ่าตายยังไง”

เจ้าชายคาริมตรัสถามสุรเสียงห้วน แต่หาใช่เพราะโกรธผู้เฒ่าอัลฮิมไม่! พระองค์กำลังแค้นคนร้ายที่พรากลูกชายฝาแฝดของผู้เฒ่าผู้นี้ไป ซึ่งองครักษ์ฟาติและองครักษ์ฟาติน มีหน้าที่คอยอารักขาความปลอดภัยให้กับพระบิดาของพระองค์ตลอด

เวลาไม่ต่างจากเงา และแน่นอนว่าก่อนพระบิดาพระองค์จะถูกปลงพระชนม์ คนแรกที่ต้องสิ้นลมก่อนคือเหล่าองครักษ์ทั้งหลาย

ผู้เฒ่าอัลฮิมกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำตาออกจากดวงตาอันแดงก่ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เมื่อภาพของลูกชายฝาแฝดนอนจมกองเลือดปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง

“พวกเขาถูกฆ่าปาดคอ...”

“เป็นไปได้อย่างไร ฟาติกับฟาตินเป็นองครักษ์รุ่นเดียวกันกับผม ตอนฝึกทักษะต่างๆ ทั้งสองคนนั้นทำคะแนนได้สูงสุดเกือบทุกครั้ง จะเป็นรองผมแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ผมไม่เชื่อว่าฝาแฝดจะถูกฆ่าตายง่ายๆ ถึงเพียงนั้น”

องครักษ์รามีลค้านเสียงดัง ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเพื่อนของตนเอง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นองครักษ์มือหนึ่งเก่งกาจไม่แพ้ตัวเขา จะถูกฆ่าตายอย่างง่ายดาย

นอกจากองครักษ์รามีลจะไม่เชื่อแล้ว เจ้าชายคาริมก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์เห็นฝีมือการต่อสู้ การอารักขาที่เก่งกาจของฝาแฝดสองคนนี้ จึงได้ตัดสินใจเลือกให้องครักษ์ฟาติและองครักษ์ฟาติน เป็นองครักษ์ประจำตัวของพระบิดา

“สองคนนั้นไม่น่าจะถูกฆ่าตายง่ายๆ แถมยังถูกฆ่าตายแบบประชิดถึงตัวด้วย มีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกไหมเจ้าอัลฮิม”

เจ้าชายคาริมตรัสถามสุรเสียงเครียด และก็เป็นไปตามที่พระองค์คาดเดาไว้ เมื่อได้ยินเสียงผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยตอบอีกครั้ง

“หมอที่ชันสูตรศพ บอกว่าฝาแฝด องครักษ์อีกหลายคน รวมทั้งเอ่อ...ฝ่าบาท ถึงรมยาจนไม่ได้สติ และกระหม่อมคิดว่าคนร้ายคงเข้าไปฆ่า...”

“โอ้...ไม่นะ เจ้ากำลังจะบอกเราว่าท่านพ่อถูกคนร้ายฆ่าปาด...”

เจ้าชายคาริมร้องคำรามลั่นยิ่งกว่าราชสีห์บาดเจ็บ ถ้อยคำที่เหลือขาดหายไปในลำคอ พระหัตถ์ใหญ่กำเข้าหากันแน่ แค่เพียงได้รับรู้ข่าวว่าพระบิดาถูกลอบปลงพระชนม์ พระองค์ก็เจ็บปวด เสียพระทัย และคลั่งแค้นมากพอแล้ว ยิ่งได้มาล่วงรู้ว่าพระบิดาถูกคนใจอำมหิต ลงมือปลิดชีพอย่างโหดเหี้ยมมากเพียงใด ยิ่งทำให้เจ็บแค้นคนชั่วมากกว่าเดิมอีกหลายสิบเท่า

“เราสาบานว่าจะลากคอคนชั่วมาชดใช้กรรมให้เร็วที่สุด”

สุรเสียงที่ตรัสออกมานั้นเต็มไปด้วยความโกรธจัด เต็มไปด้วยความแค้นที่แผ่

ซ่านทั่วทุกอณู

“กระหม่อมก็หวังเช่นนั้น กระหม่อมภาวนาให้เจ้าชายเสด็จกลับรัฐไบลาร์โดยเร็วที่สุด ตอนนี้แผ่นดินไบลาร์กำลังระส่ำระส่าย เมื่อต้องสูญเสียฝ่าบาทไป”

ผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวเสียงเครียด เขานับเวลารอทุกวินาทีให้เจ้าชายคาริมเสด็จถึงแผ่นดินทะเลทรายเร็วที่สุด

“เมื่อสักครู่ท่านลุงบอกว่าองครักษ์และฝ่าบาทถูกรมยา ถ้ายังงั้นก็หมายความว่าต้องมีเกลือเป็นหนอน ไม่เช่นนั้นคนร้ายไม่มีทางเข้ามาในตำหนักของฝ่าบาทได้ง่ายๆ”

องครักษ์รามีลยังคงตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องการลอบปลงพระชนม์เจ้าชายคาดีม รวมทั้งองครักษ์อีกหลายชีวิตด้วยกัน

สิ่งที่องครักษ์รามีลพูดมานั้นตรงกับใจของเจ้าชายคาริม ที่ทรงนึกคิดอยู่ในใจตั้งแต่ได้ยินผู้เฒ่าอัลฮิม องครักษ์คนสนิทของพระบิดาพูดถึงเรื่องนี้แล้ว

“ก่อนท่านพ่อจะถูกลอบปลงพระชนม์ ใครเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับท่านพ่อ”

ทรงตรัสถามสุรเสียงห้วนจัด ดวงเนตรทั้งสองแข็งกร้าวเพราะไฟพิโรธ

“เอ่อ...กระหม่อม...ไม่กล้าพูดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อผู้เฒ่าอัลฮิมอึกอักไม่กล้าตอบ แถมยังหลบตาไม่มองหน้า เจ้าชายคาริมจึงตะคอกถามดังลั่น ทำเอาผู้เฒ่าอัลฮิมและองครักษ์รามีลต้องสะดุ้งโหยงเพราะความตกใจไม่แพ้กัน

“ตอบมา! ใครเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับท่านพ่อ!”

“ในคืนวันนั้น กระหม่อมเห็น...เห็น...องค์รัชทายาทที่สอง เดินออกมาจากห้องบรรทมของฝ่าบาทเป็นคนสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”

“รัชทายาทคนที่สอง?”

เจ้าชายคาริมทวนคำ พระพักตร์หล่อเหลาเต็มไปด้วยริ้วรอยของความงุนงง ก่อนจะตรัสถามต่อ

“เจ้าแน่ใจหรืออัลฮิม ว่าเห็นองค์รัชทายาทคนที่สอง เดินออกมาจากห้องบรรทมของท่านพ่อเป็นคนสุดท้าย และไม่มีใครคนอื่นอีกแล้ว”

“กระหม่อมมั่นใจพ่ะย่ะค่ะ ถึงกระหม่อมจะแก่แล้ว ดวงตาอาจจะฝ้าฟางไปบ้าง แต่กระหม่อมก็คงไม่ทักคนผิดในระยะห้าหลาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าได้คุยกับรัชทายาทคนที่สองด้วยยังงั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย หม่อมเห็นองค์รัชทายาทถือตะเกียงน้ำมัน กำลังจะเข้าไปในห้องบรรทมของฝ่าบาท กระหม่อมก็เลยทักทายไปว่าพระองค์เอาอะไรมาให้ฝ่าบาท และองค์รัชทายาทก็บอกว่ามันเป็นตะเกียงน้ำมันหอมที่จะช่วยให้ฝ่าบาทคลายจากอาการเหน็ดเหนื่อย”

“บัดซบ! ท่านลุงฮัสซันเป็นคนวางยาท่านพ่อ ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านเอง”

เจ้าชายคาริมสบถลั่นทุบพระหัตถ์ไปบนประตูรถเต็มแรงจนเกิดเสียงดังไปทั่ว ทั้งโกรธทั้งเสียพระทัย เมื่อรู้ว่าสายเลือดของราชวงศ์อัลมาส ไคยล์ ได้ห้ำหั่นเข่นฆ่ากันเอง

ทว่า! สิ่งที่เจ้าชายคาริมทรงนึกคิดอยู่นั้น ถูกต้องแค่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะคนที่เป็นรัชทายาทองค์ที่สอง และคนที่เอาตะเกียงน้ำมันหอม ซึ่งแน่นอนว่าน้ำมันหอมถูกแทนที่ด้วยยาสลบ หาใช่เจ้าชายฮัสซันไม่ แต่เป็นคนที่เจ้าชายคาริมเคยหยอกล้อเล่นหัวมาตั้งแต่พระเยาว์

“เจ้าชายฮัสซันไม่ได้เป็นคนถือตะเกียงเข้าไปในห้องบรรทมของฝ่าบาท และเจ้าชายฮัสซันก็ไม่ใช่รัชทายาทองค์ที่สองอีกต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ากำลังพูดถึงใครกันอัลฮิม”

เจ้าชายคาริมตรัสถามด้วยความไม่มั่นพระทัย การใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเพื่อศึกษาเล่าเรียน ทำให้พลาดการรับรู้บางเรื่องบางอย่างในแผ่นดินเกิดอย่างนั้นหรือ?...

“ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านลุงกำลังพูดถึงใคร ถ้าหากเจ้าชายฮัสซันไม่ได้เป็นองค์รัชทายาทคนที่สองแล้ว ใครกันที่ถูกเลื่อนลำดับฐานันดรศักดิ์ให้เป็นองค์รัชทายาทคนที่สอง”

องครักษ์รามีลสงสัยไม่ต่างจากเจ้าเหนือหัวหนุ่ม อีกทั้งยังงุนงงว่าตนเองพลาดข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างไรกัน เพราะปกติแล้วเขาต้องคอยติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวภายในรัฐไบลาร์ เพื่อรายงานให้เจ้าชายคาริมทรงทราบตลอดเวลาพำนักอยู่ต่างประเทศ

“เจ้าชายลองมองออกไปนอกตัวรถสิพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยเป็นนัยๆ ยังไม่กล้าบอกเจ้าชายคาริมถึงเรื่องที่ตนเองถูกเจ้าชายฮัสซันและบรรดาลิ่วล้อเกือบทั้งสภาบังคับทางอ้อม แต่เขาเชื่อว่าอีกไม่กี่นาที เจ้าชายคาริมผู้ฉลาดเป็นกรดจะต้องตรัสถามออกมา เพราะเขารู้ว่าพระองค์เริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นสองข้างทางถนนแล้ว

เจ้าชายคาริมทรงทำตามคำแนะนำของผู้เฒ่าอัลฮิม ทรงทอดดวงเนตรจ้องมองเขม็งไปนอกตัวรถ และก็ต้องขมวดพระขนงเข้าหากันแทบเป็นเส้นตรง เมื่อเห็นข้อความแสดงความยินดีต่างๆ ซึ่งถูกเขียนลงบนป้ายผ้าและป้ายที่เป็นแบบไม้ ปักอยู่สองข้างทางถนน

“เจ้าหญิงไนย์ดา อัลมาส ไคยล์”

เจ้าชายคาริมอ่านชื่อที่ปรากฏขึ้นบนป้ายต่างๆ ทุกป้าย ซึ่งถูกประดับอยู่ทั่วสองข้างทางถนน

“เจ้ากำลังจะบอกเราว่าเจ้าหญิงนอกสายเลือดผู้นี้ ได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาทคนที่สองแทนท่านลุงฮัสซันอย่างนั้นหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย เจ้าชายฮัสซันใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในการสละตำแหน่งองค์รัชทายาท แล้วให้เจ้าหญิงไนย์ดาครองตำแหน่งแทนพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าชายฮัสซันทำแบบนั้นเพื่ออะไรกัน”

องครักษ์รามีลถามอย่างงุนงง มองไม่ออกว่าเจ้าชายฮัสซันกำลังเล่นเกมอะไรอยู่ และทำไมเจ้าชายฮัสซันต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก ปลดตัวเองออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท แล้วแต่งตั้งเจ้าหญิงไนย์ดาให้เป็นองครัชทายาทแทนพระองค์ทำไม

ในขณะองครักษ์รามีลมองเกมของเจ้าชายฮัสซันไม่ออก แต่เจ้าชายคาริมผู้ฉลาดหลักแหลมกลับเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งถึงการกระทำของเจ้าชายฮัสซัน

“ผู้หญิง! เป็นเพศที่อ่อนโยน พูดไพเราะ ใช้รอยยิ้มหวานๆ ทำให้เพศบุรุษยอมสยบต่อเธอ และความเป็นอิสตรีเพศ ย่อมเป็นที่รักของราษฎรได้ง่ายกว่าความเป็นผู้ชายที่แข็งทื่อเหมือนท่านลุง”

“เจ้าชายทรงชาญฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ที่เจ้าชายตรัสมานั้นถูกต้องทุกอย่าง กระหม่อมเชื่อว่าเจ้าชายฮัสซันต้องการใช้เจ้าหญิงไนย์ดาเป็นหุ่นเชิดของพระองค์”

ผู้เฒ่าอัลฮิมเอ่ยบอกตามรูปเกมที่น่าจะเป็นเช่นนั้น แม้ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งเจ้าหญิงไนย์ดาเป็นองค์รัชทายาททั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์เช่นนั้น แต่พวกเขาก็คัดค้านอำนาจของเจ้าชายฮัสซันไม่ได้

“เจ้าชายฮัสซันนี่ฉลาดเป็นกรดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์รามีลเอ่ยชมและเหน็บแนมท่านลุงของเจ้าชายคาริมไปพร้อมๆ กัน

“ตอนนี้เราไม่สนใจทั้งนั้นว่าใครจะเป็นรัชทายาทแทนใคร แต่ที่เราต้องการคือลากคอเจ้าหญิงไนย์ดามาเค้นเอาความจริงเรื่องการวางยาท่านพ่อ”

เจ้าชายคาริมตรัสสุรเสียงเย็นยะเยือก ดวงเนตรจ้องมองเขม็งไปยังป้ายชื่อที่มีชื่อของเจ้าหญิงไนย์ดาติดอยู่ เสียดายที่ไม่มีภาพของเจ้าหญิงนอกสายเลือดผู้นี้ติดอยู่ด้วย ไม่เช่นนั้นพระองค์จะได้เห็นใบหน้าของหญิงใจอำมหิตที่ฆ่าท่านพ่อของพระองค์ ซึ่งเธอคงมีใบหน้าอัปลักษณ์ไม่ต่างจากจิตใจอันโหดเหี้ยม!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel