บทที่1
บทที่1
หญิงชราอายุร้อยปีที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเอื้อมมือเหี่ยวหยุ่นตามสังขาลไปหยิบรูปและจดหมายเก่า ๆ ที่เสียบเอาไว้ในหนังสือนิยายเล่มโปรดขึ้นมาดู
ทั้งสองอย่างนั้นเป็นของคนสำคัญของเธอมอบเอาไว้ให้เมื่อนานมาแล้ว เป็นของคนที่เธอรู้ว่ารักก็เมื่อมันสายไปเสียแล้ว เธอไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะนี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายของเขาที่ส่งมา
เธอรู้ว่าเขาประสบอุบัติเหตุจนขาเสียเดินไม่ได้ จึงไม่กล้ามาพบหน้าเธอ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายก็ยังนึกถึงเธอมากกว่าตัวเอง
เงินค่าใช้จ่ายที่เธออาศัยและรักษาตัวอยู่ที่บ้านพักคนชราราคาแพงแห่งนี้ ก็ล้วนเป็นเงินของเขาทั้งนั้น ทุกครั้งที่ทนายของเขามา เธอพยายามถามหาเรื่องราวของไห่ฮวน เธอพยายามอยู่หลายครั้งจนเลิกไปในที่สุดเมื่อรู้ว่าทนายคนนั้นจะไม่บอกอะไรเลยแม้แต่น้อย
ทนายคนนี้มาทุกเดือนจนฟางเหนียงคิดว่าเขาคงจะมาจนกว่าเธอจะสิ้นใจไป
ส่วนนิยายในมือนั่นคือเพื่อนเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ นิยายเล่มโปรดเป็นนิยายจีนเกี่ยวกับยุคแปดศูนย์ที่เธออ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ส่วนหนึ่งคือชอบเนื้อหาและเรื่องราวที่นักเขียนบรรจงเขียนขึ้นมาอย่างตั้งใจและอีกส่วนหนึ่งคือราวจะตอกย้ำการกระทำผิดพลาดของตัวเธอเองเสียมากกว่า
นั่นก็เพราะบทของนางร้ายที่ถูกเขียนเอาไว้ในนิยายช่างคล้ายกับเธอยิ่งนัก
เพราะเลือกสามีผิดชีวิตจึงต้องมาเดียวดายอยู่เพียงลำพังในบ้านพักคนชรา ไร้ลูก ไร้หลาน แล้วอย่าได้ถามหาสามีตัวดีเลยหลังจากนอกใจซ้ำซากและให้อภัยอีกไม่รู้กี่หน จนในสุดท้ายเธอก็เลิกตามหึงหวงเขา ส่วนลูกหลังจากผิดหวังจากสามีเธอก็ทุ่มเทกายใจและความหวังเอาไว้ที่ลูก ไม่รู้ว่ากลายเป็นการผลักให้ลูกและหลานไกลห่างเธอออกไปมากกว่าเดิม จนในสุดท้ายพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเยียนเธอ แค่คิดฟางเหนียงก็รู้สึกอยากจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ แต่มันก็รู้สึกเสียด ๆ ที่อก นั่นคงเพราะเธออายุมากแล้ว ไม้ใกล้ฝั่งอย่างเธอแค่จะลุกขึ้นมาในแต่ละวันก็ยากลำบากแล้ว
และเธอก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เหมือนอย่างวันนี้ฟางเหนียงขยับตัวไม่ได้ดั่งใจด้วยซ้ำ แค่จะหยิบรูปมือก็สั่นจนมันร่วงลงไปที่อก ที่เดียวกับหัวใจที่ที่คนคนนั้นควรจะอยู่
หากเธอเลือกคนที่ดูไม่มีอะไรอย่างไห่ฮวน มันคงจะดีกว่าเฟิ่งหลุนไหม ทั้ง ๆ ที่เธอรักเขาแท้ ๆ แต่เพราะทรัพย์สมบัติ ในตอนนั้นเธอยังสาวยังสวย พอมีคนผู้ชายมาให้เลือกมากมายจึงตัดสินใจเลือกคนที่ฐานะ หยิ่งผยองว่าตนเองเหนือกว่าผู้หญิงคนอื่น ใครจะรู้เล่าว่าคนที่ดูไม่มีอะไรเช่นนั้นจะสามารถหาเงินทองมาได้มากขนาดนี้และร่ำรวยขึ้นมาจนมีฐานะในที่สุด
ตอนนี้เธอไม่ได้อยากได้ทรัพย์สมบัติของเขาหรอก เพราะถ้าเธออยากทนายก็เคยบอกว่าจะยกสินทรัพย์ทั้งหมดที่ไห่ฮวนหามาได้ให้เธอ
ที่เธอยังคงคิดถึงอยู่ทุกวันคือความรักที่เธอไม่มีวันหากได้จากที่ไหนจากไห่ฮวนต่างหาก หญิงชรายังคงคิดทบทวนความผิดตัวเองซ้ำ ๆ ยิ่งอ่านนิยายเล่มโปรดเมื่อใดก็มองเห็นตนเองที่ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายนางร้ายในนิยายก็มีจุดจบเช่นเดียวกับเธอ ฟางเหนียงอยากแก้ไขความคิดตื้อเขินของตนเองในอดีตเหลือเกิน หรือหากเป็นไปได้เธอก็อยากแก้ไขนิยายเรื่องนี้ให้นางร้ายไม่เดินทางผิดจนไม่อาจกลับไปแก้ไขได้เช่นเธอ
ฟางเหนียงเคยแม้กระทั่งเขียนจดหมายไปหานักเขียนที่เขียนนิยายเรื่องนี้ ให้ช่วยแก้ไขบทของนางร้าย อย่างน้อย ๆ ให้นางร้ายได้สำนึกได้ก่อนจะสายก็ยังดี แต่นักเขียนก็ปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพว่า
นิยายจบลงแล้วไม่อาจกลับไปแก้ไขให้เป็นไปตามใจคนอ่านได้ ขอให้นักอ่านเคารพในต้นฉบับของนักเขียน
“เห้อ คนผิดไม่มีโอกาสที่จะแก้ตัวเลยงั้นหรือ”
ฟางเหนียงถอนหายใจยาว ยิ่งหายใจแรงมากเท่าไรก็ยิ่งจุกเสียดที่หน้าอก มันเจ็บหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออก
“แฮ่ก”
หญิงชราพยามยามตะเกียดตะกายสูดลมหายใจเข้าปอด แต่ก็ไม่เป็นผล ฟางเหนียงรู้สึกนัยตาหนักอึ้งจึงค่อย ๆ หลับตาลง
จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายได้หยุดลง
ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเธอได้จากโลกนี้ไปแล้ว
เธอจากโลกนี้ไปเงียบ ๆ เพียงลำพัง ไม่มีแม้แต่ลูกหลานมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย
“ฟางเหนียง ฟางเหนียง” หญิงชราได้ยินเสียงกุกกักดังอยู่ข้าง ๆ กาย
“คุณคะ ฉันปลุกลูกสาวของคุณไม่ตื่น ไม่รู้ว่าฟางเออร์เป็นอะไร” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนตะโกนเรียกสามีที่กำลังจะออกไปทำงาน
ฟางเหนียงได้ยินเสียงเรียกชื่อตนซ้ำ ๆ ก็งัวเงียลุกขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ยังรู้สึกว่าเพื่อทรมารจากการหายใจไม่ออก แต่ก็จำต้องลืมตาตื่น เพราะดูแล้วเสียงนั่นคงไม่หยุดง่าย ๆ
“ฟางเออร์ตื่นแล้วเหรอลูกแม่ตกใจแทบแย่ เราทำแม่ใจหายหมดปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่น คุณคะไม่ต้องแล้วลูกตื่นแล้วค่ะ” เธอรีบตะโกนบอกสามีก่อนที่จะทำให้เรื่องวุ่นวายในยามเช้าทำเขาไปทำงานสาย
“ไม่ได้เป็นอะไรแน่นะ” ผู้เป็นสามีเอ่ยถามภรรยา
“ค่ะ คุณไปทำงานเถอะ”
ฟางเหนียงกำลังงงกับภาพตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่สองคนที่บอกว่าเป็นพ่อและแม่ของเธอดูหน้าตาเหมือนพ่อแม่ของเธอไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ไม่ใช่นี่มันไม่ใช่บ้านเมื่อก่อนของเธอ ไม่ใช่ห้องและเตียงนอนของเธอ
“ลูกเองก็ตื่นได้แล้วไปเรียนได้แล้วกว่าจะสอบเข้ามหาลัยได้ไม่ใช่เรื่องง่ายของคนยุคนี้ ในเมื่อสอบได้แล้วก็ไม่ควรขี้เกียจรู้ไหม” ประโยคที่คุ้นเคยทำให้ฟางเหนียงยิ่งสงสัย แต่สิ่งที่เธอมั่นใจมหาลัยเพิ่งสามารถสอบเข้าได้ตอนที่เธอแก่เกินจะเรียนแล้ว แค่หยิบปากกายังไม่ไหวจะไปเขียนหนังสือได้อย่างไร แต่ก็คิดได้ไม่ทันไรก็ถูกหญิงวัยกลางคนที่เอ่ยราวกับเป็นแม่ของเธอนั้นดันหลังให้แต่งตัวออกจากบ้านมาเพื่อที่จะไปเรียน
ฟางเหนียงจำต้องทำตามอย่างงุนงง แต่เมื่อเดินออกมากไกลจากบริเวณบ้านก็อดแปลกใจกับบรรยากาศทั่ว ๆ รอบ ๆ ตัวไปไม่ได้ ที่บ้านของเธอไม่ได้ใช้คูปองเพื่อแลกของแล้วเช่นนั้นก็อาจจะอยู่ช่วงยุคแปดศูนย์หรือเปล่า เมื่อเผลอคิดไปอย่างนั้นความทรงจำบางอย่างก็ย้อนกลับมา
ไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอกำลังเป็นยายแก่อายุร้อยปีกำลังนอนรอความตายอยู่หรือ เธอกำลังตกใจกับความคิดก่อนที่บรรดาชายหนุ่มในหมู่บ้านจะเอ่ยทักทายเธอ
“ฟางเหนียงไปเรียนเหรอ แม่ฉันได้เสื้อไหมพรมยี่ห้อใหม่ในเมืองมาเธออยากได้ไหม แวะมาเอาที่บ้านฉันก่อนสิ”
ฟางเหนียงส่งสายตารังเกียจให้อีกฝ่ายในทันที สองขารีบสับเดินอย่างเร่งรีบเพื่อหนีคนที่เข้ามาทักทายเธอ ตลอดทางเธอต้องเจอกับอะไรแบบนี้จนกระทั่ง
“คุณฟางเหนียงผมไปส่งที่รถรางไหมครับ” หญิงสาวได้ยินเสียงก็จำได้ในทันที เสียงของสามีเก่าเธอ เฟิ่งหลุน อยู่ด้วยกันมากี่สิบปีทำไมจะจำเสียงนั่นไม่ได้
“ไม่ค่ะ” เธอตอบกลับเสียงห้วน
ฟางเหนียงเดินทางไปเรียนตามปกติ น่าแปลกที่เธอใช้ชีวิตได้ถูกต้องไปหมดทุกอย่างราวกับรู้ว่าอะไรคืออะไร เพียงแต่มันก็ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่หลายอย่าง เธอใช้ชีวิตทั้งวันราวกับว่าเคยชินและทำมันอยู่เป็นประจำ จนคล้ายจะมากระจ่างกับเรื่องราวทั้งหมดก็เมื่อตอนที่เธอกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น
พ่อและแม่ของเธอกำลังรับข้าวของจากชายหนุ่มในหมู่บ้าน ฟางเหนียงเห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจคนทั้งสองที่เป็นผู้ให้กำเนิด
และถึงแม้จะยังสับสนอยู่มาก แต่ตอนนี้ฟางเหนียงคิดว่าตนเองได้เข้ามาอยู่ในเรื่องราวของนิยายเล่มโปรดที่เธออ่านอยู่เป็นประจำ และดูเหมือนว่าจะแทนที่ในส่วนของนางร้ายเสียด้วย แต่น่าแปลกทำไมทุกคนที่นี่ถึงเป็นคนในชีวิตจริง ทั้งพ่อแม่ กระทั่งเฟิ่งหลุน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหมที่ไห่ฮวนก็จะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของนางร้ายคนนี้ได้ไหม หรือนี่จะเป็นโอกาสแก้ตัวที่เธอขอก่อนตาย