บทที่ 4 เพื่อนบ้าน
บทที่ 4
เพื่อนบ้าน
ชีวิตในชนบทแม้จะเหนื่อย เพราะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทว่า…ก็ไม่ต้องใช้ชีวิตแบบรีบเร่งเหมือนตอนอยู่ในเมืองใหญ่ หรือถูกเจ้านายตามจิกตามบ่น
ในทุกๆ วัน หลังจากลุกขึ้นมาหุงหาอาหารให้กับลูกทั้งสอง ปลูกผักทำสวนและวางเบ็ดตกปลาเสร็จแล้ว พอมีเวลาว่าง ลู่ซินฟางก็จะมานั่งถักรองเท้าเชือกฟาง
จริงๆ แล้ว ลู่ซินฟางจะให้หลินก๊อปปี้รองเท้าขึ้นมาสักกี่คู่ก็ได้ แต่ถ้าทำแบบนั้น อย่าว่าแต่ถูกสงสัย นางกับลูกคงอยู่ในหมู่บ้านนี้ไม่ได้
ในระหว่างวัน เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์จะมาช่วยลู่ซินฟางทำงานเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็จะมานั่งคุยเป็นเพื่อน
ลู่ซินฟางใช้โอกาสนี้แต่งนิทานและเล่าให้เด็กๆ ฟัง เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่โลกเกือบล่มสลายเพราะสัตว์ประหลาด กลางฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้นมีประตูผ่านไปยังอีกมิติหนึ่ง ในโลกทางนั้นมีภูตน้อยคอยดูแลชื่อว่าหลิน
นางไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวซะหมด เสริมเติมแต่งให้เป็นนิทานน่าสนุกขึ้น นั่นก็เพื่อให้เด็กๆ กับหลินมีความรู้สึกใกล้ชิดกัน
แน่นอนว่า คำศัพท์บางคำเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่เข้าใจ แต่นิทานที่ท่านแม่เล่าให้ฟังกลับสนุกและตื่นเต้น พวกเขาจึงรบเร้าให้นางเล่าให้ฟังทุกวัน
ช่วงนี้ สามคนแม่ลูกไม่ต้องอยู่แบบอดมื้อกินมื้อ ร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อยเลยเริ่มมีเนื้อมีหนัง แถมยังมีเรี่ยวแรงทำอะไรได้ตั้งมากมาย
หลายวันต่อมา ลู่ซินฟางจึงพาลูกๆ เข้าป่า หาผักป่า ทั้งยังสร้างกับดักเอาไว้จับสัตว์ตัวเล็ก
“เด็กๆ ดูสิ แม่เจออะไร”
ดวงตากลมโตใสแป๋วของเด็กทั้งสองเบิกกว้าง ขณะมองไก่ป่าที่อยู่ในมือท่านแม่
“ไก่ป่า!”
เป่าเอ๋อร์ร้องอย่างตื่นเต้น
เด็กน้อยไม่ได้กินเนื้ออร่อยๆ มานานแล้ว แม้แต่ตอนอยู่ที่บ้านตระกูลเหอ นานๆ ครั้งถึงจะให้กินเนื้อสักมื้อ
“เป่าเอ๋อร์ น้ำลายหกเลอะเสื้อแล้ว” เฉิงเอ๋อร์บ่นให้น้องสาว แต่มุมปากก็แอบยิ้ม
เห็นเด็กน้อยปากไม่ตรงกับใจ ลู่ซินฟางก็หัวเราะออกมา
“เอาละ เอาละ วันนี้มีทั้งไก่ทั้งปลา จะกินมากเท่าไรก็ได้ ถึงเวลาต้องกลับบ้านกันแล้ว”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างลูกๆ กำลังเก็บฟืน ลู่ซินฟางยังแอบเข้าไปในมิติ ขุดหัวผักกาดกับมันเทศออกมาด้วย
อาหารมื้อนี้ต้องจัดชุดใหญ่เสียแล้ว!
ระหว่างเดินทางกลับบ้าน นางกับลูกๆ ยังเจอชิงเหลียนบนถนน
ชิงเหลียนอายุยี่สิบต้นๆ อายุน้อยกว่าลู่ซินฟาง 2 ปี ชิงเหลียนแต่งงานกับเถี่ยฮ่าวซือได้ 4 ปีกว่าๆ แต่ยังไม่มีลูก ฝ่ายนั้นจึงค่อนข้างเอ็นดูเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์เป็นพิเศษ
บ้านของเถี่ยฮ่าวซืออยู่บนถนนสายเดียวกันกับบ้านลู่ ตั้งแต่ลู่ซินฟางย้ายมาอยู่หมู่บ้านนี้ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากชิงเหลียนหลายอย่าง
“น้าชิงเหลียน!” เฉิงเอ๋อร์โบกมือ ตะโกนทักทาย
เป่าเอ๋อร์วิ่งเข้าไปกอดขาหญิงสาว
ชิงเหลียนหัวเราะชอบใจ ก่อนจะย่อตัวนั่งยองๆ บีบแก้มขาวนุ่มนิ่มของเป่าเอ๋อร์ “เอ๋? ช่วงนี้เป่าเอ๋อร์ของน้ามีเนื้อมีหนังขึ้นแล้วหรือไม่”
เป่าเอ๋อร์ยิ้มแฉ่งจนแก้มบาน ก่อนอวดชิงเหลียนตามประสาเด็ก
“วันนี้พวกเราได้ไก่ป่ามาด้วย!”
“อย่างนี้เอง พวกเจ้าได้กินของอร่อยๆ ก็เลยมีเนื้อมีหนังขึ้นสินะ”
“แหะๆ” เป่าเอ๋อร์หัวเราะ
ชิงเหลียนลูบศีรษะเล็กๆ ของเป่าเอ๋อร์ จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วหันมายิ้มให้กับลู่ซินฟาง
“พี่ซินฟาง ท่านหายป่วยแล้ว?”
“หายป่วยแล้ว ขอบใจเจ้าที่เอายากับอาหารมาแบ่งให้กับพวกเรานะ”
ช่วงที่ลู่ซินฟางป่วยหนักจนไม่ได้สติ ก็ได้ชิงเหลียนนี่แหละที่เอาของกินมาให้เด็กทั้งสอง บางครั้งบางคราวก็แวะเอาสมุนไพรแก้ไข้มาให้
แต่ถึงอย่างนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่มีงานที่ต้องทำ แม้ชิงเหลียนจะช่วยเหลือพวกนางหลายอย่าง หากก็ไม่ได้มีเวลามานั่งเฝ้าทั้งวัน
“ว่าแต่ พี่ซินฟางไม่เป็นอะไรแล้วแน่นะ อย่าฝืนล่ะ เดี๋ยวทรุดไปอีก”
“ข้าหายดีแล้วจริงๆ ไม่ได้ฝืนอะไรด้วย อ๊ะ...นี่หัวมันเทศ ข้าเก็บมาเยอะ ช่วยรับไว้หน่อยนะ” พูดจบ ลู่ซินฟางยื่นมันเทศพวงใหญ่ให้ชิงเหลียน
“ไม่ๆ” ชิงเหลียนโบกไม้โบกมือ “เด็กๆ ต้องกินเยอะๆ ถึงจะโต พี่เก็บไว้ให้พวกเด็กๆ เถอะ”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างเก็บมันเทศใส่ตะกร้า พลางคิดว่าเอาไว้มีโอกาสค่อยทำของอร่อยตอบแทนบุญคุณสักหน่อย
“ขอบใจเจ้าอีกครั้ง ชิงเหลียน ถ้าไม่ได้เจ้าช่วย ข้ากับลูกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อ”
“เรื่องเล็กน้อย” ชิงเหลียนตอบพลางยิ้ม
หลังจากทักทายกันจบ ลู่ซินฟางกับชิงเหลียนก็แยกย้ายกันตรงทางเดิน