ตอนที่ 1 เตรียมพร้อม
หมู่บ้านสี่แจเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตภาคอีสาน ทิศตะวันตกติดกับแม่น้ำ ทิศใต้ติดกับภูเขา ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้าง
ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลง สองแม่ลูกเพิ่งกลับจากรับจ้างดำนา เดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของตนที่อยู่ท้ายหมู่บ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่ทั้งสองจะได้ไปรับจ้างดำนาเพราะในหมู่บ้านนี้มีเพียงนาของเสงี่ยมเท่านั้นที่จ้างคนงาน เขาเป็นเศรษฐีที่มีนาเกือบสองร้อยไร่ นอกนั้นถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปก็ทำคนละไร่สองไร่เท่านั้น เพราะการทำนานั้นลำบากนักต้องใช้จอบขุด เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีต้นไม้มากและเป็นป่ารก ใช้ควายไถไม่ได้ แต่นาของเสงี่ยมนั้นจ้างคนถางป่าและตัดไม้ออกจึงสามารถใช้ควายไถได้ เขาจึงมีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่าทุกคนในหมู่บ้านนี้
ทั้งสองกำลังจะเดินผ่านหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน
“คำพอง” ผู้เป็นแม่ที่รีบสาวเท้าตามลูกหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านเรียกเสียงกระซิบกระซาบ
คำพองหันไปถามผู้ใหญ่หลอดเสียงเบา “มีอะไรหรือคะพ่อผู้ใหญ่” น้ำเสียงแบบนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจนัก คำพาผู้เป็นลูกชายวัยสิบห้าปีก็หยุดฟังเช่นกัน
“วันนี้กินเข้าแต่หัววันแล้วรีบดับไฟนะ แล้วพากันอยู่อย่างเงียบ ๆ” พ่อใหญ่หลอดบอกเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะมีเหตุเกิดขึ้น
“อีกแล้วหรือคะ”
“อืม รีบกลับบ้านเถอะ ฉันจะรีบไปบอกคนอื่น”
“ค่ะ” คำพองได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดดังนั้นก็รีบจูงมือลูกชายจากไปโดยเร็ว เธอเป็นห่วงสามีกับลูกอีกสองคน นี่เป็นสัญญาณเตือนจากผู้ใหญ่บ้านว่าวันนี้โจรกำลังจะเข้ามาปล้นในหมู่บ้าน ถ้าทุกคนไม่ออกไปอยู่ทุ่งนาก็ต้องรีบกินข้าวกินปลาแล้วรีบดับไฟตะเกียงและอยู่กันอย่างเงียบกริบห้ามส่งเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น
มาถึงบ้าน ผู้เป็นสามีที่ขาขาดข้างหนึ่งกำลังนึ่งข้าวไว้รอ เขานั่งอยู่บนตั่งที่ทำจากไม้ ขาข้างที่ถูกตัดมาถึงครึ่งแข้งพาดไว้บนตั่งไม้ ขาอีกข้างชันเข่าขึ้น เขาใช้ไม้ค้ำในการเคลื่อนกายไปยังที่ต่าง ๆ ที่ไม่ไกลมากนัก พอไม่เห็นลูกสาวคนเล็กคำพองก็ถามสามีด้วยความร้อนใจ
“พี่เข้ม คำแพงไปไหนคะ”
“พี่ใช้ไปเก็บหัวปลีมาต้มซุบ เอ็งถามทำไมเหรอ” ตั้งแต่เขาพิการฐานะทางครอบครัวก็ลำบากลงเรื่อย ๆ จนตอนนี้หาข้าวสารจะนำมาต้มก็แทบจะไม่มี ทั้งบ้านเหลือข้าวสารไม่ถึงครึ่งกระบุง เขายังไม่รู้เลยว่าจะไปหาข้าวมาจากไหน เพราะทำงานทุกอย่างต้องอาศัยการเดินแต่เขาเองเดินไกลไม่ได้ ล่าสัตว์หรือหาของป่าก็ทำได้แค่คิด เพราะถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้วเกือบปีตั้งแต่โดนหมอตัดขา แต่แผลก็ยังอักเสบอยู่เรื่อย ๆ โดนไม้เกี่ยวแผลเข้าหน่อยก็เลือดไหลออกมาไม่หยุด หรือไม่แผลก็อักเสบบ่อยครั้ง เขาจึงต้องทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้าน ปลูกพืชผักสวนครัวอยู่กับลูกสาวคนเล็ก ปกติคำแพงก็ไปรับจ้างช่วยแม่กับพี่ชาย แต่เพราะพี่สาวป่วยหนักมาหลายวันเธอจึงจำเป็นต้องอยู่บ้านช่วยพ่อดูแลพี่สาว
“โจรจะเข้าบ้านวันนี้ค่ะ ผู้ใหญ่บ้านบอกมา”
นัยน์ตาคมเข้มดำมืดลงอีกเมื่อได้ยินคำว่าโจร หลายเดือนแล้วที่โจรไม่ได้เข้ามาปล้นในหมู่บ้านแห่งนี้ ยังไม่ทันที่เข้มจะกล่าวอะไรลูกสาวคนเล็กวัยสิบสามปีก็เดินขึ้นมาบนเรือนพอดี
“หัวปลีได้แล้วค่ะพ่อ” เข้มรับหัวปลีกล้วยนวลที่ลูกสาวยื่นมาให้
“พ่อจะทำอะไรกินหรือคะ” คำแพงแอบสงสัย หมูไม่มี ปลาไม่มี หนูไม่มี กบเขียดก็ไม่มี แล้วพ่อเอาหัวปลีมาทำอะไรกิน
“ต้มซุบใส่ปลาร้า” วันนี้ไม่มีอะไรให้ทำกินแล้ว ยังดีที่ยังมีปลีกล้วยนวลที่เขาปลูกไว้หลายกอ รอว่าวันนี้ภรรยากับลูกชายไปรับจ้างได้เงินมาคงพอซื้ออาหารมาทำกินได้ คำว่าหาเช้ากินค่ำไม่เกินจริง
“แล้วพี่คำแก้วอาการดีขึ้นไหมครับพ่อ” คำพาเอ่ยถามถึงอาการป่วยของพี่สาว
“ยังเลย นอนไม่ได้สติเหมือนเดิม พ่อให้คำแพงเช็ดตัวให้ทั้งวัน” คำแก้วมีไข้สูงตลอด เขากลัวจริง ๆ กลัวว่าลูกสาวจะเป็นอะไรไปอีกคน เพราะในหมู่บ้านมีคนป่วยตายไปหลายคนแล้ว
“งั้นฉันพาลูกไปอาบน้ำก่อนนะ แล้วจะรีบมาช่วยพี่” น้ำที่ตักมาใส่โอ่งไว้ เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะอย่างไรบ้านของเธอก็อยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน และยังติดกับลำธารและใกล้ภูเขาอีก จึงไม่ลำบากหากต้องไปหาบน้ำมาดื่มมาใช้
“ไปเถอะ ไม่ต้องห่วง พี่จะทำอาหารรอ”
สิ้นคำของสามีเธอกับลูกอีกสองคนก็รีบไปอาบน้ำทันที อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดวงตะวันก็จะลาลับขอบฟ้าแล้ว
คำพองเดินเบาเข้าไปดูลูกสาวคนโตที่นอนหลับใหลหายใจรวยรินมาหลายวัน หลังมือแตะที่หน้าผากและใบหน้าแดงระเรื่อเพราะพิษไข้ของลูกเบา ๆ ริมฝีปากของเธอแห้งผาก
“ลูกแม่ไข้ไม่ลดเลย” น้ำใสในตาเริ่มเอ่อคลอ รู้สึกสงสารลูกจนเจ็บไปถึงหัวใจ เธอไม่รู้ต้องรักษลูกด้วยวิธีไหนลูกถึงจะหาย เธอเป็นไข้สูงมาเกือบสองสัปดาห์ กินยาฝนที่หมอยาสมุนไพรเรียกว่ายาเย็นแต่ไข้ของลูกสาวก็ไม่ลดลงบ้างเลย จนสองสามวันมานี้ เธอนอนนิ่งไม่ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยาเลย “แม่จะทำอย่างไรดี หรือแม่ต้องยอมเสียเอ็งไป” น้ำตาหยดแรกหยดลงบนพื้นข้างกายลูก คำแก้วเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางปัญญาตั้งแต่กำเนิด ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ยังต้องมาป่วยหนักแบบนี้อีก
ริมฝีปากของผู้เป็นแม่ประทับลงจุมพิตหน้าผากอันร้อนผ่าวของลูกสาวแผ่วเบา
“คำพอง”
“ฮึ!” เธอขานรับสามีเสียงขึ้นจมูก
“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” เข้มเองก็สงสารลูกเหลือเกิน เงินก็ไม่มี โรงหมอก็อยู่ไกลเกือบห้าสิบกิโลเมตร หากจะต้องไปรักษาก็ต้องเดินเท้าไป เขาเองก็เดินไกลขนาดนั้นไม่ได้
“ค่ะ” เธอคลานถอยหลังออกไปอีกห้องหนึ่งของบ้านเพื่อทานข้าวร่วมกัน
ทั้งสี่คนรับประทานอาหารเย็นพร้อมกันกับซุบดอกกล้วยนวลแกล้มกับยอดกระถินที่มีอยู่ข้างรั้วบ้านอย่างเอร็ดอร่อย