Chapter 2 《 Part 1 》
โรงพยาบาล
ฉันมาถึง ตาหนูก็ถูกจับจิ้มแขนจ้ำม่ำเข้าน้ำเกลือ สวมชุดคนไข้ลายแพนด้าไปแล้วเรียบร้อย หมอบอกว่าตาหนูท้องร่วงเฉียบพลัน อาการค่อนข้างรุนแรง โชคดีที่นำส่งโรงพยาบาลเร็ว ไม่อย่างงั้นเด็กอาจจะช็อกและถึงขั้นเสียชีวิตได้ ช่วงนี้เด็กๆ เป็นกันเยอะ ต้องระวังเรื่องความสะอาดกับอาหารการกินของลูกให้มากๆ ฉันได้แต่พยักหน้ารับฟังอย่างหดหู่ใจ ไม่คิดว่าตัวเองจะบกพร่องในเรื่องนี้แต่ก็เกิดขึ้นจนได้
“แมะ…”
“คนเก่ง ไม่เป็นไรแล้วนะ” ฉันลูบหน้าผาก แก้ม แล้วเลื่อนมาจับมือเล็กๆ ของตาหนูพร้อมกับส่งยิ้มอบอุ่นให้ “เหนื่อยไหมลูก… แม่นีขอโทษนะ แม่นีไม่ได้อยู่ตอนหนูรู้สึกแย่”
ฉันข่มกลั้นความรู้สึกสะเทือนใจเวลาเห็นลูกเจ็บปวดไว้ในอก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเจ็บแทน…
“แมะ แมะนี อุ… อุ้ม”
ภามสาวมือขึ้นมาไขว่คว้าจะให้แม่อุ้ม ฉันมองสายน้ำเกลือที่ติดพันกับแขนของลูกแล้วได้แต่ยิ้มเศร้าๆ ก้มลงไปกอดปลอบร่างเล็กเบาๆ ลูกคว้าหมับเข้าที่ต้นคอ ไม่ยอมให้ฉันผละห่างทันที ฉันใจอ่อนยวบ ค่อยๆ เอามือช้อนร่างเล็กขึ้นมาโดยไม่ให้สะเทือนกับสายน้ำเกลือที่ติดอยู่กับแขนตาหนู กลัวเข็มจะทิ่มลูกแล้วทำลูกเจ็บ สุดท้ายตาหนูก็ปีนขึ้นมานั่งบนตักแม่สำเร็จ มือโอบคอแน่น ใบหน้าเล็กซุกแนบอกพร้อมเสียงพึมพำเรียกชื่อแม่เบาๆ
ฉันกอดลูกจนหลับคาอก ค่อยๆ วางตาหนูลงโดยมีพี่ลีไทน์ช่วยจับสายน้ำเกลือให้ ฉันหันมายิ้มให้เขาอย่างรู้สึกขอบคุณที่ยังอุตส่าห์อยู่เป็นเพื่อน บอกให้กลับไปแล้วสองสามครั้งแต่เขาก็ยังยืนกรานจะอยู่ ฉันล่ะท้อใจกับเขาจริงๆ
ยายนวลภา พี่ดาว รวมทั้งแม่บ้านและคนขับรถที่มาด้วยกันล้วนกลับกันไปหมดแล้ว ไม่มีใครตำหนิฉันสักคำ มีแต่ขอโทษและละอายใจที่ปล่อยให้ตาหนูไม่สบายทั้งที่อยู่ในความดูแลของตัวเอง
ฉันรู้ว่าไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น อีกอย่างยายนวลภากับพี่ดาวก็ทำดีที่สุดแล้ว ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายซาบซึ้งในน้ำใจของทุกคน และต้องขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน ดูแล้วตาหนูคงแผลงฤทธิ์เยอะอยู่เหมือนกัน เห็นบอกทั้งถ่ายทั้งอ้วก… คนที่รับภาระตรงนี้ไปเต็มๆ คงไม่พ้นมือพี่ดาวกับแม่บ้านของยายนวลภา กลับบ้านไปคงต้องขอให้แม้อบขนมเอาไว้เยอะๆ เพื่อตอบแทนทั้งคู่ด้วย
“คะนิ้งจะมาถึงตอนไหนเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนแรกก็บอกจะรีบมา พอนีไลน์บอกว่าตาหนูอาการดีขึ้นแล้วก็ตอบมาแค่ ค่อยยังชั่วที่ไม่เป็นอะไรมากแค่นั้น” ฉันยักไหล่ ล้อเลียนคำพูดคะนิ้งที่ตอบมาในไลน์
“อ่า… คงจะยุ่งอยู่ล่ะมั้ง”
“ยุ่งอยู่กับผู้ชายน่ะสิ คอยดูนะถ้าป่องขึ้นมาจะสมน้ำหน้าให้” ฉันโพล่งออกมาด้วยความโมโหปนมันเขี้ยวล้วนๆ
“เพนนี” พี่ลีไทน์ขึงตาใส่ฉันตามประสาผู้ใหญ่ดุเด็ก ฉันทำไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
“เดี๋ยวแม่จะมาตอนค่ำๆ แวะเอาเสื้อผ้ามาให้นี อื้ม…พี่ลีไทน์หิวไหม ลงไปหาอะไรกินก่อนก็ได้นะ”
“แล้วเพนนีล่ะ”
“นีจะอยู่เฝ้าตาหนูน่ะ ไม่กล้าปล่อยไว้คนเดียว กลัวสะดุ้งตื่นแล้วไม่เจอใครจะยิ่งขวัญเสียกว่าเดิม”
“แล้วหิวไหมล่ะ”
“ก็รู้สึกหิวอยู่นิดหน่อย แต่นีจะรอแม่มาก่อน” แล้วค่อยหลบไปหาอะไรกินตอนนั้น ฉันนึกต่อในใจ ยิ้มจืดๆ อย่างไม่มีทางเลือกให้พี่ลีไทน์
“กว่าน้าโยจะมา พี่ว่าอีกหลายชั่วโมงแน่ๆ เพนนีอยากกินอะไรเดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้”
“นีเกรงใจ”
“บอกมา อย่าเยอะ”
“ง่ะ” ฉันหน้าง้ำทันทีเมื่อถูกอีกฝ่ายเหน็บแหนมเล่นๆ มองเขาอย่างเคืองๆ ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยของที่อยากกินออกมา
“ข้าวห่อสาหร่ายรสอะไรก็ได้ กับชาเขียวปั่น ถ้าชาเขียวปั่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เอาแค่ข้าวห่อสาหร่ายกับน้ำธรรมดาก็ได้”
“ได้ แค่นี้ใช่ไหม เดี๋ยวพี่มา”
พี่ลีไทน์ออกไปยังไม่ถึงสามนาที ประตูห้องก็เปิดเข้ามา ฉันกำลังละเมียดมองผิวซีดเซียวของตาหนูด้วยความรู้สึกสงสารหันขวับไปมองที่ประตูอย่างสงสัย กำลังจะทักว่าลืมอะไร แต่บุคคลที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับทำฉันหัวใจกระตุกวาบ
“เฮีย...” ฉันทักเฮียหมูก่อน ก่อนเลื่อนสายตาไปที่ผู้ชายอีกคนที่เฮียพามาด้วย ความรู้สึกรัดแน่นเหนี่ยวรั้งอยู่ในอก มองขากับแขนฝั่งขวาที่หุ้มด้วยเฝือกของเขาอย่างไม่มีอะไรจะพูด แขนซ้ายหนีบไม้ค้ำยันเอาไว้และมีเฮียหมูคอยช่วยจับพยุงอีกแรง ไม่อย่างงั้นคงมาเองไม่ได้ สภาพตายครึ่งซีกแบบนั้นไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้ว่าเคลื่อนไหวลำบาก
ฉันไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลย ตรงข้ามกลับนึกรำคาญมากกว่า ที่เขาคิดจะเอาสภาพร่างกายที่กำลังบาดเจ็บมาเรียกคะแนนสงสาร หรือจะบอกว่ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ฉันก็ยังเกลียดอยู่ดี
“เฮียมาได้ยังไง”
ฉันมองผ่านร่างกายที่บาดเจ็บของฮานเพียงแวบสั้นๆ ก่อนหันกลับมาปะทะสายตาใสซื่อบริสุทธิ์ใจของเฮียหมูเขม็ง ลุกไฟในใจนี่ลุกพรึบพรับ อยากไล่ตะเพิดทั้งคู่ไปเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่กลัวเสียงดังโหวกเหวกแล้วทำตาหนูตื่น
เฮียเห็นสายตาดุดันของฉันแล้วหน้าหดเหลือสองนิ้วทันที พูดออกมาเสียงเบา ท่าทางระมัดระวังเป็นพิเศษ “เฮียมาเยี่ยมหลาน...”
“ลูกของนีปลอดภัยดี นี่… เฮียตามมาเหรอ” ฉันหรี่ตาลงอย่างตั้งแง่ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล ฉันมัวแต่พะวงเรื่องตาหนูจนไม่ได้สนใจอย่างอื่น ครั้งสุดท้ายที่คุยกับเฮียหมูก็ตอนอยู่ตรงถนนหน้ามหาลัย ก็นึกว่าเฮียกลับไปแล้ว ไม่นึกว่าจะตามมาถึงนี่ แถมยังพาคนที่ฉันไม่อยากเจอที่สุดในโลกมาอีก
“ได้ยินว่าหลานไม่สบาย”
เฮียหมูชะเง้อคอมองไปที่เตียง ฉันขยับตัวบังสายตาเฮียไว้ทันที บางครั้งฉันก็ยังติดนิสัยแบบเด็กๆ อย่างควบคุมไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็ทำลงไปแล้ว
ระหว่างที่ฉันคิดจะขวางไม่ให้เฮียหมูได้มองตาหนู ฮานก็เขยิบร่างผุๆ ตรงไปที่เตียง
“นี่หยุดนะ”
ฉันหันขวับไปห้ามเขาเอาไว้ทันที ฮานไม่ฟัง ทำให้ฉันต้องก้าวขึ้นมาดักข้างหน้า ร่างสูงพลันชะงัก
“….”
เขามองหน้าฉัน
ดวงตาคมเข้มที่แฝงกลิ่นอายดุดันเอาไว้ตลอดเวลาของฮาน ฉุกให้นึกถึงความรู้สึกคุกคามหัวใจที่สัมผัสได้จากเขาในอดีต ฉันเคยเป็นบ้าเป็นหลังกับสายตาคู่นี้ เคยคลั่งไคล้ถวายหัว ถึงขั้นยอมขายวิญญาณ ทว่าตอนนี้สายตาของเขาไม่ได้มีอิทธิพลต่อฉันอีกแล้ว
ฉันสบตาเขา “จะทำอะไร”
“ดูลูก”
ฮานพูดสั้นๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ ฉันได้ยินแล้วโกรธมาก โกรธจนแทบคุมลมหายใจไว้ไม่ได้ เค้นเสียงลอดไรฟันออกมาอย่างเคียดแค้นใจ
“นายไม่มีสิทธิ์เรียกตาหนูว่าลูก ออกไป แล้วอย่ากลับมาอีก ที่นี่ไม่มีใครต้องการนาย”
“....”
ฮานมองสบตาฉันเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งจับความรู้สึกไม่ได้ แต่คนที่พูดขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหวก็คือเฮียหมู
“ทำเกินไปแล้วนะหนูนี”
“อะไรเกินไป…” ฉันตวัดสายตาลุกวาวไปทางเฮียหมูที่ก้าวเข้ามาสมทบด้านข้างฮาน ข่มคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธไม่ให้เสียงดัง
“...กับคนที่ทิ้งขว้างนี นีไม่จำเป็นต้องสนใจ เฮียพาผู้ชายคนนี้กับไปเถอะ บอกเขาด้วยว่าเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนี กับลูกของนี ในเมื่อไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก มันน่าสมเพช!”
ฉันพูดกับเฮียหมูแต่สายตาจับจ้องใบหน้าเรียบสนิทของฮานตาไม่กะพริบ ส่งผ่านความเกลียดชังทั้งหมดที่มีไปกับน้ำเสียงและสายตา
“หนูนี… แต่ยังไงฮานก็เป็นพ่อของภามนะ”
“พ่อเหรอ อย่าพูดให้ระคายหูหน่อยเลย” ฉันเหยียดยิ้มหยัน ชำเลืองมองเฮียหมูอย่างรู้สึกรังเกียจไม่แพ้กัน “แค่ทำให้เด็กเกิดก็ไม่ได้แปลว่าจะมีค่าพอจะเป็น ‘พ่อ’ คนได้ แต่พูดไปคนนิสัยมักง่ายอย่างเฮียคงไม่เข้าใจ”
เฮียหมูหน้าชาวาบ สีหน้าอึกอักไม่พอใจที่โดนเด็กใจแตกอย่างฉันดูแคลน อยากเถียงแต่ก็เถียงไม่ออก
“พอเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของฮานดังขึ้น ฉันชำเลืองกลับมาก็เจอเข้ากับสายตาเยือกเย็นของเขา ท่าทางฮานไม่ได้จะโวยวายหรือทุ่มเถียงเรียกร้องสิทธิ์ในความเป็นพ่อแต่อย่างใด ตรงข้ามเขากลับรักษาความสงบเยือกเย็นบนใบหน้าเอาไว้ราวกับไม่ได้ใส่ใจการต่อต้านของฉันมาแต่ไหนแต่ไร ฉันรู้สึกไม่ดีเลยแบบนี้
“คนเป็นพ่อลูกกันยังไงก็ต้องเป็นกันจนตาย ใครก็เปลี่ยนความจริงไปไม่ได้” ฮานหรี่นัยน์ตาคมกริบลงและขยับเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น “เธอเลี้ยงเขาโดยไม่มีพ่อไม่ได้”
“....”