เรื่องเล่าของตำหนักร้อยดาว
แม้จะเคยผ่านหูมาบ้างแต่ก็ยังอยากได้ยินจากคนในอยู่ดี
“ เรื่องเล่าที่ว่าองค์ชายเกิดมาพร้อมกับดวงพิฆาต หากผู้ใดย่างกรายเข้าใกล้มักจะประสบเคราะห์กรรมแล้วยังจะเรื่องเล่าเรื่องวิญญาณพระสนมที่วนเวียนคอยดูแลองค์ชาย”
“มีใครเคยเห็น”
กุ้ยอิงทำท่าทีขนลุกขนพองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่อิงไถส่ายหัวไปมา
“ไม่มีเพคะ แต่เป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่องค์ชายห้าเสด็จมาอยู่ที่นี่เพียงลำพังตั้งแต่ห้าขวบ”
“ห้าขวบ อายุยังน้อยทำไมถึงต้องอาศัยในตำหนักเพียงลำพัง”
“ไม่มีใครกล้ารับเข้าตำหนักฝ่าบาทก็จนใจ องค์ชายตอนนั้นทรงโตเกินตัวบอกกับฝ่าบาทว่าขอมาอยู่ที่นี่เอง”
หว่านหนิง ทอดถอนหายใจคนผู้หนึ่งจะเผชิญความทุกข์ตรมโดดเดี่ยวได้แค่ไหนกัน
“แล้วตั้งแต่นั้นมา ก็มีเสียงร่ำลือเรื่องดึกดื่นได้ยินเสียงคร่ำครวญของ พระสนมมารดาขององค์ชาย หรือบางทีก็มักมีคนเห็นเงาวูบวาบ”
กุ้ยอิงพูดที่ขึ้นด้วยท่าที หวาดกลัว หว่านหนิงขมวดคิ้ว
ลี่หยาง ฟุบหน้าลงบนโต๊ะร่างอักษรหลับสนิท ฮ่องเต้และขันทีข้างกายฝานกงกงเดินเข้ามาพร้อมกัน
“คนหนุ่มเพิ่งจะแต่งชายาเข้ามาในตำหนักเมื่อคืนคงจะอดนอน เอาเบาะมา”
ฝานกงกงรีบไปหยิบเบาะมาจากแท่นบรรทม ฮองเต้ยกคอของลี่หยางขึ้นเบาๆ สอดเบาะไปรองศีรษะไว้ให้อย่างอ่อนโยน
“ปล่อยเขานอนไปให้พอ ห้ามใครปลุก”
ฝานกงกงยิ้ม รวบเก็บกระดาษม้วนไว้ให้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะปิดห้องปล่อยให้ลี่หยางหลับอยู่ตรงนั้น ก็จะไม่อดนอนได้อย่างไรในเมื่อทั้งคืนใจเต้นตุมๆต่อมๆตลอดคืน ทั้งหักห้ามใจด้วยบางครั้งก็อยากจะลองแต่อีกใจก็ไม่กล้า
ตำหนักร้อยดาว
ฮองเฮาในอาภรณ์เต็มยศสวยสง่า แม้อายุจะล่วงเลยไปวัยกลางคนแล้วก็ตาม เดิน เข้ามาในเขตตำหนักร้อยดาวที่สะอาดสะอ้าน ต้นไม้ใบหญ้าผลิดอกออกใบเขียวชอุ่ม ด้วยมีคนดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย นางกำนัลเดินตามเข้ามาถึงแปดคนข้างละสี่คน
แทบจะไม่ต้องเดินเองด้วยซ้ำไป
“ฮองเฮาเสด็จจจจ”
หว่านหนิง อิงไถกับกุ้ยอิง รีบเดินมาประสานมือคุกเข่าตรงหน้า ก้มหน้านิ่ง
“ชายาห้าหว่านหนิง ถวายพระพรฮองเฮา”
“ลุกขึ้นได้”
หว่านหนิง ลุกขึ้นแล้วถอยหลังไปยืนก้มหน้าห่างออกมาสองสามก้าว กุ้ยอิงกับอิงไถ ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น
“ ชายาเจ้าห้าหน้าตาน่าเอ็นดู ตามธรรมเนียมต้องยกน้ำชาให้ข้าเช่นไรถึงละเลย เห็นทีที่ข้ามานี่เพราะมาให้เจ้ายกน้ำชาให้ถึงตำหนักร้อยดาวเช่นนั้นหรือ”
“ฮองเฮาโปรดอภัย หว่านหนิงไม่รู้ธรรมเนียมแต่จะว่าไป ก็หามีใครมาเตือนเรื่องสำคัญเพียงนี้ จะว่าเรื่องนี้สำคัญก็สำคัญไม่น้อยเรื่องปากท้องยิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แต่หว่านหนิงแต่งเข้ามาวันแรกต้องไปหาข้าวกินในห้องเครื่องลำพัง ไร้ผู้ใดบอกกล่าวเรื่องไม่ยกเครื่องเสวยมาที่ตำหนักร้อยดาว กว่าจะได้กินก็เกือบเลยเวลาอาหารกลางวันเกรงว่าหากเป็นอย่างนี้คงไม่พ้นเจ็บไข้”
“แต่เดิมเป็นเจ้าห้าที่อยู่ที่นี่เพียงลำพัง ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย จึงไม่มีนางกำนัลขันที ไม่มีเห็นด้วยตาจะเชื่อคำร่ำลือว่าจงหว่านหนิงลูกสาวขององค์หญิง ..หว่านหวงลู่ผู้ปราดเปรื่องจะวาจาฉะฉานไม่แพ้มารดา”หว่านหนิงยิ้มหวานก้มหน้าประสานมือ
“หว่านหนิงมิกล้า เพียงแต่เรื่องปากท้องในวังหลวงไม่น่าให้บกพร่องได้ องค์ชาย ห้าแม้เป็นองค์ชายปลายแถวแต่ก็คือองค์ชาย ไม่มีทางกลายเป็นกุลีหรือทาสไปได้การกินอยู่นับว่าสำคัญหากไม่ใช่หว่านหนิงที่มาประสบแต่เป็นแขกบ้านแขกเมืองที่พบเห็นเกรงว่าจะเป็นเรื่องเล่าขานสนุกปากกันไปเปล่าๆ ”ฮองเฮายิ้มเย็น
“คราวหน้าข้าสั่งให้เขายกเครื่องเสวยเพิ่มมาที่นี่อีกสักชุด เจ้าว่าดีหรือไม่.. พอใจหรือไม่”
น้ำเสียงเหมือนยอมอ่อนข้อให้แต่ใครจะรู้ภายในใจนาง
“ฝ่าบาท ทรงเมตตามีบัญชาให้จัดเครื่องครัว และวัตถุดิบในการทำเครื่องเสวยมาส่งให้หว่านหนิงทำเครื่องเสวยให้องค์ชายเอง ขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเมตตา”
“เจ้าจงใจว่ากล่าวข้า เพื่อที่จะอวดว่าฝ่าบาททรงให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเช่นนั้นหรือ”แววตาขึ้งโกรธ
“ฮองเฮา จะถือสานางไปทำไมกันนางยังเด็กพูดจาตามความคิดมิได้เสแสร้งเช่นนั้นจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนตรง ในวังหลวงแห่งนี้มีแต่คำหลอกลวง ฮองเฮาอย่าบอกข้านะว่าชอบคำหลอกลวงของผู้คนรอบกาย”