บทที่ 1
บทที่ 1
เช้ามืดที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านหน้าต่างที่แง้มไว้ หลี่อ้ายเฉินนั่งอยู่บนเตียงนอนเก่า ๆ เพียงลำพัง
ห้องนอนที่เคยเต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของบุตรชาย บัดนี้มันกลับกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาและความทรงจำที่แสนเจ็บปวด หญิงสาวผู้เคยงดงามสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สีเงินงามอร่ามตา นางนั่งกอดภาพวาดเสมือนจริงของบุตรชายไว้แนบอก น้ำตาไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย
"หากบุตรชายข้ายังอยู่ ข้าคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้...เสี่ยวชิงเอ๋อร์ลูกแม่ เป็นแม่ที่ปกป้องเจ้าไว้ไม่ได้"
นางสะอื้อไห้กับตัวเองเสียงแผ่วเบา ราวกับจะให้เสียงนั้นไปถึงวิญญาณของบุตรชายที่ล่วงลับไปแล้ว
แสงเช้ามืดเริ่มส่องผ่านเล็ดลอดหน้าต่างเข้ามา จนสาดส่องให้เห็นใบหน้าที่เหี่ยวย่นจากความทุกข์ทรมานของหลี่อ้ายเฉิน นางค่อย ๆ วางภาพวาดบุตรชายลงบนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบจดหมายที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จดหมายลาตายที่นางเขียนถึงครอบครัว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่...ขอโทษที่อ้ายเฉินไม่อาจอยู่ต่อได้อีกแล้ว ความทุกข์ทรมานนี้มันเกินที่ข้าจะทนไหว...ข้าไม่อาจทนมันได้อีกแล้ว”
นางจรดปลายพู่กันเขียนลงบนกระดาษขาว ความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านลายมือที่สั่นเทา
หลี่อ้ายเฉินนึกย้อนกลับไปในวันที่บุตรชายตายจากไป วันนั้นฝนตกหนักมาก นางนั่งเฝ้าเสี่ยวชิงที่กำลังเจ็บป่วยบนเตียง มือน้อย ๆ ที่เคยจับนางไว้แน่นค่อย ๆ ผ่อนคลายลง จนกระทั่งไม่มีแรงเหลืออีกต่อไป
"ท่านแม่...ข้าหนาว..."
เสียงเล็ก ๆ แหบแห้งของบุตรชายยังดังก้องในความทรงจำ นางพยายามห่มผ้าให้เขาอย่างดี แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ในที่สุดเสี่ยวชิงก็สิ้นลมหายใจในอ้อมกอดของนางเอง
หลี่อ้ายเฉินหลั่งน้ำตาออกมาราวกับจะกลายเป็นสายเลือด นางแทบสิ้นใจตามบุตรชายไปเสียเดี๋ยวนั้น นางกอดร่างไร้วิญญาณของบุตรชายคนเดียวเอาไว้ทั้งคืนอยู่เช่นนั้น ไร้เงาของคนเป็นสามี คนเป็นบิดา
หลี่อ้ายเฉินหันกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ดวงตาหมองหม่นทอดมองไปยังภาพเหมือนเสี่ยวชิงที่ยังคงตั้งอยู่ตรงนั้น ความเจ็บปวดของนางท่วมท้นในใจ
"ท่านพี่...ทำไมท่านถึงเย็นชากับข้าถึงเพียงนี้ ลูกของเราต้องตายไปเพราะท่านไม่เคยใส่ใจ...ตั้งแต่แต่งงานเข้ามา ท่านเป็นคนดี ทำหน้าที่เจ้าเมืองที่ดีดูแลปวงประชาอยู่เสมอ แต่เมื่อยามเป็นเรื่องของข้าหรือลูก ท่านกลับไม่เคยคิดใส่ใจ เพราะเหตุใดกัน เกลียดชังอันใดต่อข้านักหนางั้นหรือ หากเกลียดข้าแต่เสี่ยวชิงเป็นบุตรชายคนเดียวของท่าน ใยไม่เหลี่ยวแลเขาบ้าง สักนิดก็มีให้ได้เลยหรือ"
นางพูดกับตัวเองทั้งน้ำตา คำพูดที่ไม่เคยเอ่ยมา ตลอดเวลาที่แต่งงานเข้าจวนเจ้าเมืองมา นางกล้ำกลืนความทุกข์ระทมนี้มาเพียงลำพังมาตลอด ผู้คนอาจกล่าวว่าหลี่อ้ายเฉินนั้นโชคดีเพียงไรที่ได้แต่งงานเป็นภรรยาของเจ้าเมือง ผู้เป็นชายหนุ่มอนาคตไกลจากเมืองหลวง
แต่ไม่เลย
ภรรยาผู้นี้ไม่เคยได้รับความเมตตาจากสามีผู้แสนดีของชาวเมืองเลยสักครั้ง ความใจดีและเมตตาของเขามีไว้เพื่อประชาชน ชาวบ้านในเมืองเท่านั้น หาใช่คนในครอบครัวไม่ หาใช่สำหรับนางไม่
หลี่อ้ายเฉินนั่งกอดชุดของบุตรชายพลางร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือด บุตรชายของนางจากไปหลายวันแล้วแต่ผู้เป็นบิดากลับยังไม่มีข่าวคราวและเงียบหาย
ตั้งแต่บุตรชายมีท่าทางแปลก ๆ นางก็ส่งจดหมายให้กับสามีที่ออกไปช่วยเหลือชาวบ้านแล้ว การไม่มีข่าวคราวตอบกลับมามันเป็นเรื่องปกติ แต่นางก็ยังคิดว่าสามีจะกลับมาผ่านในวันสองวัน แต่ก็ไม่
“ฮูหยินกินอะไรบ้างเถอะเจ้าคะ หากฮูหยินไม่กินคุณชายน้อยรู้จะยิ่งเสียใจนะเจ้าคะ” สาวใช้ประจำตัวรวมถึงแม่นมไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับภรรยาเจ้าเมืองที่นั่งดวงตาเหม่อลอยอยู่ที่หน้าโล่งศพของบุตรชาย
มือเรียวของอ้ายเฉินจิกแน่นเข้าไปในมือที่จับชุดเอาไว้ มันแน่นจนเล็บของนางจิกเข้าไปในมือของตัวเองจนเลือดซึม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่นางได้รับจากการสูญเสียบุตรชายเลยแม้แต่นิด
เลือดและน้ำตาหยดใส่ชุดผ้าดิบหยดแล้วหยดเล่าก่อนที่ใบหน้าสวยที่ซีดเซียวจนไร้เรี่ยวแรงจะยิ้มเยาะให้กับชีวิตของตน
“พวกเจ้าออกไปเถอะ แล้วก็วันพรุ่งหากท่านเจ้าเมืองไม่กลับมาก็ฝังคุณชายน้อยเถอะ” ใครจะคิดว่านั่นจะเป็นคำสั่งสุดท้ายของนายหญิงแห่งจวนเจ้าเมือง
หลี่อ้ายเฉินตัดสินใจแน่วแน่ หยิบยาพิษที่เตรียมไว้ขึ้นมาดื่มจนหมด ความเย็นไหลผ่านลำคอ นางรับรู้ได้ถึงความเย็นที่เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ก่อนที่จะทรุดตัวลงบนเตียง
"ลูกรัก...แม่จะตามไปหาเจ้าแล้ว"
เสียงสุดท้ายของนางเบาจนแทบไม่ได้ยิน ร่างบางกระอักเลือดออกมาคำโตจนกระทั่งร่างเล็ก ๆ ในชุดสีขาวเงินงดงามก่อนหน้านี้ จมอยู่กลางกองเลือดสีแดงชาด ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลง
ห้องนอนกลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง มีเพียงภาพวาดบุตรชายที่ยิ้มแย้มบนภาพวาดที่ติดอยู่ข้างผนัง เปรียบเสมือนเป็นพยานแห่งความรักและความเจ็บปวดที่ไม่อาจลืมเลือนได้
ในตอนเช้าแม่นมและสาวใช้เจอฮูหยินในสภาพน่าสลด บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา แต่มันกลับมิได้ใส ที่คนว่าร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดคงจะเป็นจริงเสียแล้ว และร่างของฮูหยินที่ไร้ลมหายใจบนเตียงนอนเย็นเฉียบ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งฝั่งร่างบุตรชายไปไม่นาน
ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่มองรู้สึกเจ็บที่หัวใจ เมื่อคนมีอายุมากกว่าต้องส่งคนอายุน้อยกว่าข้ามสะพานไน่เหอย่อมเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าฮูหยินของท่านเจ้าเมืองนางจะตายไปจริง ๆ
ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ความทรมานให้กับคนที่อยู่ด้านหลังที่ไม่สามารถชดเชยอะไรได้อีกแล้ว เพราะเลือกชีวิตของชาวบ้านนับร้อยจึงต้องแลกกับชีวิตของคนที่รักทั้งสองคน แม้จะสำนึกแต่ก็สายไปเสียแล้ว