๑.๒ คนที่(ไม่)ใช่
ร่างบางในชุดนักเรียนมัธยมปลายปั่นจักรยานคันกลางเก่ากลางใหม่ออกจากห้างสรรพสินค้า แต่เย็นนี้เด็กสาวไม่ได้ตรงกลับบ้านเหมือนเคย จุดหมายปลายทางของเธออยู่ที่ทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่ทะเลสาบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นแหล่งน้ำที่โครงการบ้านจัดสรรได้ขุดไว้มาเกือบสิบปีแล้ว
จันทริกาจอดจักรยานไว้ใต้ต้นไม้ ก่อนจะขยับไปหยิบเอาถุงเค้กซึ่งวางรวมอยู่กับกระเป๋านักเรียนในตะกร้าหน้ารถออกมา แล้วพาตัวเองไปยืนพิงต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
สายลมเย็นๆ พัดเอื่อยๆ เช่นเดียวกับระลอกคลื่นเล็กๆ ที่วิ่งไหวไปตามทิศทางของสายลม คล้ายดั่งธรรมชาติเหล่านี้มีมนตร์วิเศษที่สามารถปัดเป่าเอาความหมองหมางไปจากหัวใจดวงน้อยของเธอได้ นี่เองคือเหตุผลที่จันทริกาชอบมาที่นี่เวลามีเรื่องไม่สบายใจ
ความจริงแล้วเธอไม่เคยรับรู้นิยามของคำว่าสบายใจและความสุขมานานมากแล้ว นับตั้งแต่แม่ของเธอตายเมื่อหลายปีก่อน ตาคู่สวยหลับพริ้มลง เพื่อนึกถึงภาพแห่งความทรงจำวัยเด็กในบ้านไม้สองชั้นหลังกลางเก่ากลางใหม่ แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้จะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนห้อมล้อม ทว่าแค่มียาย พ่อ และแม่ มันก็มากพอแล้วสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอ
บ้านหลังนั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ...ห่างไกลเหลือเกินกับจังหวะที่เธอใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ พ่อเล่าให้ฟังว่าพ่อเป็นเด็กวัด แต่ขยันและเรียนเก่ง จนสามารถจบปริญญาตรีทางด้านบัญชีจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ได้พบรักกับแม่ซึ่งทำงานในบริษัทเดียวกัน แม่เป็นลูกสาวคนเดียวของยาย หลังจากแต่งงานกันแล้ว พ่อก็ย้ายมาอยู่กับแม่และสร้างครอบครัวเล็กๆ ขึ้นด้วยกัน โดยมีเธอเกิดมาเป็นพยานรัก
ความสุขเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหาย นับตั้งแต่ยายเสียไปตอนเธออายุได้เจ็ดขวบ และสิ่งที่ทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องเคว้งคว้างเหมือนอยู่บนเรือลำน้อยที่ถูกคลื่นซัดแตกกลางมหาสมุทรอันเชี่ยวกราก นั่นก็คืออีกห้าปีต่อมา แม่ของเธอก็หนีเธอไปอยู่กับยายบนสวรรค์
ตอนนั้นเธอทั้งร้องไห้และทั้งตัดพ้อว่าแม่ใจร้ายที่ทิ้งเธอไป ทิ้งให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่กับพ่อตามลำพังบนโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ มันทำให้เธอหวาดกลัวความตาย หวาดกลัวว่ามันจะพรากคนที่เธอรักไปอีกคน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือแต่พ่อคนเดียวแล้ว
พ่อเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอนับตั้งแต่แม่ตายไป เธอรักพ่อมาก แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าพ่อรักเธอน้อยลง
มันน้อยลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ที่พ่อแต่งงานใหม่ ขายบ้านหลังเล็กๆ ที่เคยอยู่กันอย่างมีความสุข แล้วพาเธอย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่กับภรรยาใหม่ของพ่อ
เธอไม่เคยมีความสุขเลยกับการอยู่บ้านหลังใหม่แบบทาวน์เฮาส์สองชั้น ซึ่งแม้จะใหญ่และหรูหรากว่าบ้านหลังเดิม แต่มันกลับเต็มไปด้วยความอ้างว้างเดียวดาย และหาความอบอุ่นแทบจะไม่ได้เลย
วันนี้เป็นวันเกิดของเธอ แต่พ่อก็ลืมที่จะอวยพร เมื่อเช้าพ่อรีบร้อนออกไปทำงานแต่เช้า คล้ายดั่งเป็นวันปกติทั่วไป
น้ำตาหยดใสๆ รื้นขึ้นคลอหน่วยตาอย่างน้อยใจ เมื่อคิดว่าพ่อลืมแม้กระทั่งวันสำคัญของเธอ เธอคิดถึงแม่...คิดถึงเหลือเกิน อยากจะกอดและซุกหาไออุ่นๆ นั้นให้หัวใจที่อ่อนแออยู่ตอนนี้กลับมาเข้มเข็ง
มือเล็กเปิดกล่องเค้กที่ตัดแบ่งมาเป็นชิ้นขึ้นมาตรงหน้า มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงใสๆ จะขับขานเพลงอวยพรวันเกิดออกมาเบาๆ แต่เสียงเล็กๆ นั้นกลับฟังดูสะท้านใจเหลือเกิน เพราะมันเจือไว้ด้วยความเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู ยู
แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์
แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทู...ยู”
‘สุขสันต์วันเกิดนะจันทร์ แม่รักหนูนะ’
นั่นคือเสียงอวยพรของแม่ที่เอ่ยในวันสำคัญของเธอทุกๆ ปี ก่อนที่แม่จะจากไป หลังจากนั้นมันก็เป็นเพียงเสียงที่ดังอยู่แค่ในความทรงจำเท่านั้น และเสียงอันอบอุ่นของแม่ก็แว่วดังขึ้นท่ามกลางความอ้างว้างอีกครั้ง หลังจากที่เธอร้องเพลงที่แม้แต่เด็กไร้เดียงสาก็ยังร้องได้นั้นจบ
“หนูคิดถึงแม่นะคะ”
เสียงพูดหวานใสพอๆ กับเสียงร้อง ถ้าไม่มีความเศร้ามาเจือปน วันนี้น่าจะเป็นวันที่เธอร้องเพลงเพราะมากที่สุดอีกวันหนึ่ง
เธอชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เพราะนอกจากมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าดนตรีคือมิตรแท้แล้ว มันยังทำให้เธอได้พบกับพี่สาวที่น่ารักอีกสองคนซึ่งอยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน แต่ตอนนี้พี่สาวทั้งสองต่างก็ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเธอที่เพิ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่หก
ด้วยความรักในเสียงดนตรี และคิดว่าตัวเองถนัดทางนี้มากที่สุด คณะวิจิตรศิลป์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังประจำจังหวัด จึงเป็นคณะที่เธอเลือกสอบโควตาเพื่อเรียนต่อในระดับปริญญาตรี ซึ่งเธอก็สามารถสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ โดยใช้ความสามารถทางด้านดนตรีเป็นตัวผลักดัน ข่าวดีนี้ถูกบอกกล่าวแก่พ่อและคนในบ้านเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เธอกลับได้รับเพียงคำถามจากคนในครอบครัวใหม่ ว่าจบแล้วจะทำงานอะไร
จันทริกาหยุดความคิดและความน้อยใจของตัวเองเอาไว้แค่นั้น ตาคู่สวยเหลือบมองเค้กที่อยู่ในมือ นี่เป็นของขวัญวันเกิดเพียงชิ้นเดียวในปีนี้ โดยพี่ชายใจดีคนนั้นเป็นผู้ซื้อให้ พี่ชายที่มีแววตาอบอุ่นแต่แฝงเร้นไว้ด้วยประกายบางอย่าง เขาได้หยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ นี้ให้แก่เธอ ซึ่งมันสามารถชดเชยความว่างโหวงในหัวใจจนเกือบกลายเป็นเติมเต็ม
ความสุขเล็กๆ แล่นซ่านเข้ามาในหัวใจ ทำให้มือเรียวบางหยิบเอาช้อนพลาสติกในถุงออกมา แล้วค่อยๆ บรรจงตักเค้กชิ้นนั้นใส่ปาก เป็นการฉลองวันเกิดแบบเหงาๆ ให้ตัวเอง
เมี้ยวว! เมี้ยวว!
โฮ่ง! โฮ่ง!
เสียงแห่งความเหงาของจันทริกาถูกกระชากทิ้งไปทันควัน พร้อมกับที่มันถูกแทนที่ด้วยเสียงเสียงใหม่ซึ่งฟังดูน่าระทึกหลายเท่า
สิ่งมีชีวิตสองสิ่งที่ชื่อว่าหมากับแมว ไล่ฟัดกันผ่านหน้าจันทริกาไปอย่างรวดเร็ว ฝ่ายเสียเปรียบคือแมว ที่แม้ใจจะสู้แค่ไหน แต่คู่ต่อสู้ก็เป็นถึงสุนัขพันธุ์บางแก้วซึ่งตัวใหญ่กว่าหลายเท่า และดูเหมือนเจ้าเหมียวจะหมดทางหนีเมื่อถูกไล่บี้ไปจนถึงขอบตลิ่ง เบื้องหน้าเป็นสายน้ำที่มันไม่เคยหัดว่ายมาก่อน ทว่าตอนนี้สถานการณ์มาถึงทางตันเสียแล้ว เจ้าแมวเหมียวกำลังเจอภาวะ ‘แมวจนตรอก’ เข้าอย่างจัง
ยอมตายซะดีกว่ายอมให้ไอ้หมาบ้านั่นขย้ำ!
แมวเหมียวมีเวลาตัดสินใจแค่ไม่กี่เสี้ยววินาที มันก็กระโดดจ๋อมลงไปในน้ำ หลังจากนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไรมันก็ไม่รับรู้ เพราะสี่ขามัวแต่ตะเกียกตะกายเพื่อจะไม่ให้ตัวเองจมไปในน้ำใสๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นและไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้
“อย่านะ! ไปได้แล้ว” เสียงใสๆ ซึ่งแทบจะไม่เคยด่าว่าใครตวาดใส่สุนัขพันธุ์บางแก้วที่ยังอารมณ์ค้าง
สุนัขตัวโตกว่าสิบกิโลหันมามองเจ้าของเสียง สลับกับมองคู่อริที่ตอนนี้กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ
“ไปเถอะนะ พี่ขอร้อง น้องเค้าตกน้ำไปแล้ว” จันทริกาลดน้ำเสียงตัวเองลงและพูดจากับมันดีๆ ราวกับมันฟังภาษาคนรู้เรื่อง
บางแก้วตัวนั้นมองหน้าสวยๆ และแววตาที่เต็มไปด้วยการอ้อนวอน ก่อนที่มันจะหันหลังและวิ่งกลับไปทางเดิมที่มันมา
เมื่อสุนัขตัวโตยอมล่าถอย จันทริกาก็รีบก้าวลงไปในลำธารทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าและไม่กลัวว่าชุดนักเรียนของตัวเองจะสกปรก
มือเล็กวาดไปตวัดเอาร่างเล็กๆ ของแมวที่น่าจะอายุได้ปีกว่าตัวนั้นขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน สัญชาตญาณของการปกป้อง ทำให้จันทริกากอดมันแนบอก พลางเอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน
“หนาวมากมั้ย ไม่เป็นไรแล้วนะ กลับบ้านกับพี่นะ เดี๋ยวพี่จะพาไปเป่าขนจะได้ไม่หนาว”
แมวตัวนั้นไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ตอนนี้ตัวมันสั่นเทาเพราะความหนาว จันทริกาจึงรีบอุ้มมันกลับไปยังจักรยาน มือหนึ่งใช้จับแฮนด์จักรยาน ส่วนอีกมืออุ้มแมวที่ตัวเองเพิ่งช่วยชีวิต สองขาออกแรงถีบอย่างเร่งรีบเพื่อให้ถึงบ้านเร็วที่สุด
“ยัยจันทร์นี่แกไปไหนมาฮะ แกมีหน้าที่ต้องล้างจานทำกับข้าวรอพ่อแกกับแม่ฉันไม่ใช่เหรอ คอยดูเถอะถ้าทำไม่ทันฉันจะฟ้องแม่ให้ลงโทษแก” เสียงแวดลั่นของศศิประภาตวาดใส่ทันทีที่เห็นจันทริกาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับอุ้มแมวในสภาพเปียกปอนมาด้วย
“เดี๋ยวจันทร์มาทำค่ะ” จันทริกาตอบพี่สาวซึ่งไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด เธอเป็นลูกติดพ่อ ส่วนศศิประภาเป็นลูกติดแม่ หลังจากที่พ่อเธอกับแม่ของศศิประภาแต่งงานกัน ทำให้เธอต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับสองแม่ลูก แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านที่พ่อของเธอใช้เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายบ้านที่กรุงเทพฯ มาซื้อไว้ หากสิทธิ์ขาดในบ้านกลับตกไปอยู่กับภรรยาใหม่ของพ่อ
“แล้วนั่นแกไปเอาแมวสกปรกมาจากไหน แกไม่รู้หรือไงว่าฉันไม่ชอบแมว เอามันออกไปจากบ้านเดี๋ยวนี้นะ”
จันทริกาไม่ฟังเสียงแว้ดๆ ของศศิประภา รีบอุ้มแมวเดินตรงเข้าไปในห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นล่างเพียงห้องเดียว ส่วนห้องชั้นบนเป็นห้องของพ่อกับภรรยาใหม่ และอีกห้องเป็นของศศิประภา