บทที่ 3 ลูกน่าจะชื่อว่าเตียวหุย!
“คุณผู้หญิง ท่านประธานจะมาที่นี่ตอนเย็นเวลาหกโมงตรง”
หลังจากที่ญาธิดาลงจากรถแล้ว พายุก็ได้กล่าวเสริมขึ้น
ญาธิดาอาศัยอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ ของคณาจารย์ เธอลงจากรถหรูคันหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ดึงดูดสายตาจากผู้คนไม่น้อย
ญาธิดาไม่ทันได้คิด ว่าพายุรู้ที่อยู่ของเธอได้อย่างไร เห็นเธอเพียงพยักหน้าให้กับพายุ จากนั้นก็ออกไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ญาธิดาเดินขึ้นบันไดหกชั้นในรวดเดียว เมื่อถึงหน้าประตูบ้าน ตัวก็เหนื่อยหอบหายใจแรง
เธอกำลังเตรียมที่จะเคาะประตู คุณแม่ของเธอก็ได้ถือตะกร้าผักยืนอยู่ด้านหลังเธอ
“ธิดา ทำไมลูกถึงมีสภาพแบบนี้ ไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด” คุณหญิงปภาวีพลางเปิดประตูพลางกล่าวอย่างเอือมระอา
ญาธิดาจึงแลบลิ้น ตอนที่เปิดประตูนั้น ได้แย่งเข้าประตูไปก่อน ทำการถอดรองเท้า แล้ววิ่งพรวดเข้าไปที่ห้องรับแขกหยิบน้ำที่เหลือจากเมื่อเช้าขึ้นมาดื่ม
คุณหญิงปภาวีส่ายหน้าขึ้นที่ลูกไม่ได้ดั่งใจ “ญาธิดากิริยาของลูกเช่นนี้ ช่างไม่เหมาะกับชื่อที่แม่ตั้งให้เลยสักนิด ลูกน่าจะชื่อเตียวหุยมากกว่า!”
คุณหญิงปภาวีพลางพูด พลางถือตะกร้าไปยังห้องครัว จากนั้นก็เดินออกมาแล้วบ่นพึมพำ “ตอนที่แม่กลับมา ได้ยินป้าปิงในชุมชนบอกว่า เมื่อกี้มีสาวน้อยคนหนึ่งลงมาจากรถหรู! ก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวบ้านไหนที่วาสนาดีขนาดนั้น”
ญาธิดากินปูนร้อนท้องกล่าว “นั่นหนูเองค่ะ”
“ห๊ะ ลูกเหรอ คนรวยเนี่ยนะจะมาชอบลูก” คุณหญิงปภาวีหัวเราะเยาะ “ไก่คู่กับไก่ หงส์คู่กับมังกร ญาธิดาจ๊ะ ลูกหัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูบ้างว่าตัวเองนั้นสมควรคู่กับอะไร”
คุณหญิงปภาวีกล่าวกดทับอย่างไร้ความปรานีและไม่เชื่อ ทำให้ญาธิดานั้นพูดไม่ออก
คุณหญิงปภาวีกับดร.ยติภัทรนั้นเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัย ญาธิดาก็นับได้ว่าเกิดในครอบครัวนักวิชาการ
สำหรับเรื่องการหาคู่ให้กับญาธิดานั้น ตระกูลภูสิทธ์อุดมพวกเขาเห็นว่าฐานะทั้งสองฝ่ายอยู่ระดับเดียวกันก็พอ ส่วนเรื่องที่หนูจะตกถังข้าวสารหรือเป็ดกลายเป็นหงส์อะไรนั่น ไม่เคยอยู่ในสมองพวกเขาเลย
และก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวของญาธิดา เพราะการเป็นคุณนายตระกูลคนรวยไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ
ญาธิดาเองก็รู้ความคิดของพ่อกับแม่ดี ถ้าหากว่าเธอบอกกับคุณหญิงปภาวีว่าตัวเองนั้นได้แต่งเข้าบ้านตระกูลคนรวยแล้ว อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่ร่ำรวยมาก ไม่รู้ว่าคุณหญิงปภาวีจะตกใจจนเป็นลมหรือไม่
“ใช่แล้ว นัดบอดวันนี้เป็นไงบ้าง” คุณหญิงปภาวีเดินเข้ามาแล้วนั่งลงบนโซฟา ด้วยท่าทางที่อยากเพ่งพินิจพิจารณาญาธิดา
ตอนนี้ คุณหญิงปภาวีนั้นเกษียณอายุอยู่บ้าน ในแต่ละวันนอกจากทำกิจกรรมเต้นรำบนสแควร์หมู่บ้านแล้ว ก็ยังไปเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาล
คู่นัดบอดที่คุณหญิงปภาวีให้ญาธิดาไปเจอครั้งนี้ ก็คือหลานของย่าสมใจที่เธอรู้จักในโรงพยาบาล
“แม่คะ แม่ไปรู้จักคนนี้จากที่ไหนคะ” ญาธิดาวางน้ำลง แล้วนั่งลงโซฟาที่อยู่ข้าง ๆ
“เป็นหลานของย่าสมใจ ได้ยินมาว่าอายุสามสิบปี ยังไม่แต่งงาน เพราะทำแต่งาน แม่เห็นรูปแล้ว ดูแล้วนิ่งสุขุมมาก” คุณหญิงปภาวีกล่าวถึงภวินท์ ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจาง ๆ เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ญาธิดากัดริมฝีปาก สังเกตเห็นท่าทางของคุณแม่ที่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่รู้ถึงสถานะตัวตนที่แท้จริงของภวินท์
“ยังไม่ตอบเลยว่าเขาเป็นคนยังไงบ้าง” เห็นญาธิดาใจลอย คุณหญิงปภาวีจึงกลอกตาบนใส่
ญาธิดากัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า ตอบกลับไปแบบขอไปที “ก็ ก็ไม่เลวค่ะ”
แต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าจะบอกเรื่องที่ไปจดทะเบียนสมรสอย่างไม่ทันตั้งตัวออกมาดีหรือไม่
“อย่างนั้นก็ดี ลองคบดูกันไปก่อน เพราะว่าเวลานานไปก็จะเห็นธาตุแท้ของคน” คุณหญิงปภาวีลุกขึ้น เดินไปที่ห้องครัว กำลังเตรียมที่จะล้างผักที่เพิ่งซื้อกลับมา
เห็นคุณหญิงปภาวีกำลังจะเดินเข้าไปในห้องครัว ญาธิดาก็ได้วิ่งพรวดเข้าไปดุจธนู แล้วดึงมุมเสื้อของคุณหญิงปภาวีไว้ จากนั้นถามขึ้น “แม่คะ พ่อล่ะ วันนี้จะกลับมาทานข้าวไหม”
“อืม กลับมา มีอะไรเหรอ” คุณหญิงปภาวีกล่าวถาม
ญาธิดาส่ายหน้า จากนั้นก็พยักหน้า ในที่สุดก็กล่าวออกมาว่า “เอ่อเขาจะมาทานข้าวเย็นกับพวกเราค่ะ”
คิดว่าควรพูดเรื่องที่ภวินท์จะมาก่อน สำหรับเรื่องแต่งงาน รอให้ยติภัทรกลับมาค่อยว่ากัน เช่นนี้เธอถึงจะมีคนให้ท้าย
“เขา?” ตอนแรกคุณหญิงปภาวีไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นใบหน้ารูปไข่ที่แดงด้วยความเขินอาย ฉับพลันจึงเข้าใจทันทีว่าเขานั้นหมายถึงใคร
“ก็ดีสิ!” คุณหญิงปภาวีเหลือบมองดูผักในตะกร้า จากนั้นก็เดินไปที่ประตูทันที พลางเปลี่ยนรองเท้าพลางพูดขึ้น “แม่จะไปซื้อเนื้อซื้อปลาหน่อยนะ”
ไม่รอให้ญาธิดาได้ตอบกลับ ประตูก็ถูกปิดทันที คุณหญิงปภาวีได้ออกจากบ้านไปแล้ว
หลังจากที่คุณหญิงปภาวีจากไป ในใจของญาธิดาก็คลายความโล่งอกออกมา เธอกลับไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูแล้วค่อย ๆ หยิบใบทะเบียนสมรสจากกระเป๋าออกมา