บทย่อ
ซูหงซานพอลืมตาขึ้นก็เห็นตัวเองไปโผล่ในยุคสมัยโบราณ กระท่อม ลานบ้านเก่าๆผุพัง ชีวิตจนเหลืออนาถ แถมยังมีสามีร่างกำยำและบุตรชายบุตรสาวซูบซีด แต่ใครบอกนางได้บ้าง ตัวละครที่นางเป็นอยู่ทำไมต้องเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายด้วยล่ะ?พยายามเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ตน ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมารดาและบุตร ทำอาหาร เปิดภัตตาคาร จนร่ำรวยมีเงินทอง ใช้ชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไป แต่ทำไมลูกเลี้ยชายหญิงทั้งสองกลับกลายเป็นองค์หญิงองค์ชายซะงั้นล่ะ?ก็แม้แต่สามีกำยำของนางยังกลายเป็นแม่ทัพเลย?เพียงแค่แม่ทัพคนนี้ช่างเงอะงะจริงเชียว ซูหงซานอดที่จะโกรธไม่ได้:“”หานต้าจ้วง เจ้ามันไร้ยางอาย!เจ้าหลอกข้า!”หานต้าจ้วง:“น้องนาง สวามีผู้เพรียบพร้อมเช่นนี้เจ้าก็ได้มาแล้ว ยกโทษให้ข้าเถิด ได้โปรด?”
บทที่ 1 ทะลุมิติกลายเป็นแม่เลี้ยงโหดร้าย
ฝนตกหนักอย่างกับน้ำราดลง ลมหนาวพัดพามาพร้อมกับส่งเสียงหวือ หลังคาที่ทำด้วยฟางแห้งเหมือนสามารถถูกพัดปลิวไปได้ตลอด
"พี่ชาย ข้าหิวมากเลย"
ภายในห้อง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจับท้องและหดตัวอยู่ในมุมบ้าน น้ำเสียงอ่อนแอมาก
เด็กผู้ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ชายวางชามที่แตกไว้ในที่ๆฝนหยดเข้ามามากที่สุด และมองผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียง เห็นว่าผู้หญิงไม่ได้ตื่น ก็รีบวิ่งตากฝนเข้าไปในห้องครัวข้างๆบ้าน
หลังจากควานหาในกองฟืนสักพักหนึ่งแล้ว ก็เจอขนมปังข้าวโพดชิ้นเล็กๆที่ออกสีดำแล้ว อุ้มเข้าอกและรีบวิ่งกลับไปในห้อง
หลังจากกลับไปในห้องแล้วมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียงอย่างระมัดระวังก่อน ยืนยันว่าผู้หญิงยังไม่ได้ตื่นถึงจะวางใจลงหน่อย
เขายัดขนมปังข้าวโพดที่ดำสนิทเข้าไปในมือของเด็กหญิงน้อย กระซิบว่า
"เสี่ยวญา รีบๆกิน ไม่งั้นเดี๋ยวนางตื่นมาเลยนะ"
หานเสี่ยวญาสว่างตาทันที มองผู้หญิงบนเตียงอย่างระมัดระวัง และยัดขนมปังข้าวโพดเข้าปากไปด้วย
ผู้หญิงที่อยู่บนเตียงเป็นแม่เลี้ยงของพวกเขา แต่งเข้าบ้านมาครึ่งปี ด่าและตบตีพวกเขาเป็นประจำ พวกเขาเพียงหกขวบเองก็ต้องทำงานส่วนใหญ่ของที่บ้าน
แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่สบายใจเมื่อไหร่ก็ไม่ให้พวกเขากินข้าว
สามวันก่อน พ่อของพวกเขาไปล่าสัตว์บนภูเขา หลังจากนั้นก็เริ่มฝนตกหนักเป็นเวลาสองวัน พวกเขาก็ทำงานไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มไม่ให้ของกินแก่พวกเขา
ดีที่ปกติหานเสี่ยวซานก็ฉลาด แอบซ่อนขนมปังข้าวโพดสองอันไว้ในกองฟืน
สองวันนี้ พวกเขาฉวยโอกาสที่ผู้หญิงไม่ระวัง อยู่รอดมาได้เพราะขนมปังข้าวโพดสองอันนี้
เห็นกับตาว่าตอนนี้เหลือแค่ชิ้นเล็กๆนี้แล้ว แต่ฝนข้างนอกยังคงตกหนัก พ่อของพวกเขาก็ยังไม่ได้กลับมา......
หานเสี่ยวญากัดขนมปังข้าวโพดสองคำ และยื่นที่เหลือให้พี่ชาย
"พี่ชายเจ้าคะ เจ้าก็กินด้วย"
"จ๊อกๆ......"
หานเสี่ยวซานคิดจะปฏิเสธ แต่ท้องร้องขึ้นมา เห็นขนมปังข้าวโพดในมือของน้องสาว เขารับมากัดสองคำก็ยื่นกลับไปให้
หานเสี่ยวญาไม่รับ อยากให้พี่ชายกินเยอะๆหน่อย
แต่ในเวลานี้ ผู้หญิงบนเตียงขยับตัว
หานเสี่ยวซานไม่มีเวลาพูด รีบนำขนมปังข้าวโพดที่เหลือยัดเข้าไปในปากของน้องสาว และรีบบังอยู่หน้าน้องสาว พร้อมมองผู้หญิงที่อยู่บนเตียงด้วยความระมัดระวัง
เด็กผู้หญิงก็กลัวจะโดนตี จึงรีบกลืนขนมปังข้าวโพดลงไป
ทั้งสองคนกลั้นหายใจและมองผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียง ไม่กล้าหายใจแรงๆด้วยซ้ำไป
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ผู้หญิงขยับตัว แต่ไม่ได้ชี้หน้าด่าพวกเขาเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมองมือของตัวเองและเหม่อลอย แล้วมองไปทางพวกเขาที่หดตัวอยู่มุมห้อง
จากนั้น สายตาก็มองไปที่อ่างและชามที่เล็กบ้างใหญ่บ้างแต่ล้วนขาดรุ่งริ่งที่รับน้ำฝนอยู่ในห้อง......
แล้วก็เห็นว่านางเงยหน้าไปมองหลังจาก จากนั้นอยู่ๆก็ลุกขึ้นเดินไปทางประตู
ทะลุมิติจริงๆ
เมื่อคืนตอนดึกซูหงซานก็ตื่นแล้ว ในสมองมีความทรงจำบางอย่างเพิ่มเข้ามา ตอนนั้นนางยังนึกว่าเป็นฝัน และรอบข้างก็ล้วนดำสนิท นางเลยไม่ได้ใส่ใจ
แต่คิดไม่ถึงว่าพอตื่นมาก็มาถึงสถานที่ในฝันจริงๆ......
แต่ก็ดี อาจจะเป็นเพราะสวรรค์เมตตานาง ให้โอกาสนางเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
เดิมทีนางเป็นลูกสาวคนเดียวของมหาเศรษฐีในเมืองหนิงอาน แม้คนที่บ้านจะคัดค้านก็ตาม นางก็ยังแต่งงานกับห่าวเหลียนจ้งที่เป็นเพื่อนร่วมห้องในตอนมหาลัย แต่กลับไม่รู้ว่า ตั้งแต่แรกมา เขาก็เพื่อจะแย่งชิงทรัพย์สมบัติในบ้านของนางเท่านั้น
คุณแม่ป่วยตาย คุณพ่อเข้าคุก ส่วนนาง......ก็กลายเป็นตัวตลอดของเมืองหนิงอาน หลังจากเขาแย่งทรัพย์สมบัติของบ้านนางทั้งหมดไป
แต่จนถึงสุดท้าย นางถึงรู้ว่าเขาเป็นคนที่นำวิตามินที่คุณแม่กินตลอดนั้นเปลี่ยนเป็นยาพิษเรื้อรัง ทำให้คุณแม่ป่วยตาย
คุณพ่อเข้าคุก ก็เป็นเพราะว่าถูกเขาใส่ร้าย
หลังจากที่นางรู้ทั้งหมดแล้วก็ไปที่พักของผู้ชายในตอนดึก และเทน้ำมันเบนซิน พร้อมกับจุดไฟ เผาวิลล่าทั้งหลัง
เห็นว่าไฟลุกลามอย่างรุนแรง นางก็ขับรถไปสุสานของคุณแม่ เตรียมจะไปเยี่ยมคุณแม่ครั้งสุดท้ายและก็จะจบสิ้นชีวิตที่ตลกของตัวเอง
แต่ระหว่างทางรถของนางกลับบังคับไม่ได้ ไฟที่ลุกลามหนักนั้นปกคลุมนางเอาไว้......
ซูหงซานส่ายหน้าไม่ไปคิดสิ่งเหล่านี้ สังเกตสถานการณ์ในห้องอีกครั้งหนึ่ง
ข้างนอกฝนตกเบาลง ในห้องน้ำก็ไม่หยดแล้ว แต่พื้นของห้องเต็มไปด้วยตะพังเล็กๆ
ในห้องไม่มีของอย่างอื่น มีเพียงเตียงสองเตียง บนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่ขรุขระก็ว่างเปล่า และยังมีเด็กสองคนที่หดตัวอยู่มุมห้อง
นั่นเป็นลูกเลี้ยงของเจ้าของร่างเดิม หานเสี่ยวซานและหานเสี่ยวญา
เด็กสองคนนี้เป็นฝาแฝด ปีนี้เพิ่งครบหกขวบ เป็นเด็กที่น่าสงสารเช่นกัน
ได้ข่าวว่าแม่ของพวกเขาเดิมเป็นลูกสาวของตระกูลใหญ่ แต่กลับรักชาวนาคนหนึ่ง คนที่บ้านไม่อนุญาตนางก็หนีไปกับชาวนาคนนั้นพร้อมท้องขึ้นมา แต่ตอนคลอดเด็กสองคนนี้กลับคลอดลำบากและตายไป
เด็กสองคนเสียแม่ไปตั้งแต่เกิด จนกว่าครึ่งปีก่อนเจ้าของร่างเดิมแต่งเข้าบ้านมาเป็นแม่เลี้ยงของเด็กสองคน
แต่เจ้าของร่างเดิมก็ไม่ใช่คนดีอะไร
งานที่บ้านล้วนให้เด็กสองคนนี้ทำ ยังมักจะด่าและตีพวกเขา ไม่ให้ของกินด้วย ทำให้เด็กสองคนล้วนกลัวแม่เลี้ยงคนนี้มาก
"เสี่ยวซาน เสี่ยวญา มาสิ"
ซูหงซานโบกมือใส่เด็กสองคน คิดอยู่ว่าในเมื่อตัวเองมา สวรรค์ให้โอกาสนางเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง งั้นก็ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี
ตอนนี้นางแทนที่ตำแหน่งของเจ้าของร่างเดิม กลายเป็นแม่เลี้ยงของเด็กสองคนนี้ ก็ไม่สามารถทรมานเด็กสองคนนี้เหมือนเจ้าของร่างเดิม
เด็กสองคนไม่ได้ขยับ มองซูหงซานอย่างระมัดระวัง
ซูหงซานจนปัญญา คิดถึงพฤติกรรมของเจ้าของร่างเดิม รู้ว่าเด็กสองคนนี้กลัวนาง ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปทางห้องครัว
ที่ห้องครัวรอบข้างตั้งด้วยกองไม้ที่ห่อด้วยเสื่อฟาง ข้างบนเป็นหญ้าคา ไม่มีประตู ถ้าฝนไม่ตกยังได้อยู่ ตอนฝนตกแย่กว่าบ้านที่พวกเขาพักอาศัยอีกหลายเท่า
ข้างนอกฝนตกหนัก ข้างในฝนตกเบาๆ ลมรั่วเข้าไปทั้งสี่ทิศ
ตอนที่ลมแรง ยังจุดไฟไม่ติดด้วยซ้ำ
ดีที่บ้านของซูหงซานถึงแม้เมื่อก่อนเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็สร้างขึ้นมาทีละก้าว ตอนที่นางเด็กอยู่ อาศัยอยู่ในบ้านย่าที่ชนบท ก็เคยใช้เตาไฟ เลยรู้ว่าจุดไฟยังไง
หลังจากเทน้ำลงไปในหม้อและจุดไฟเสร็จ นางก็หยิบกุญแจดวงหนึ่งออกมาจากข้างๆเตาไฟ และเดินเข้าไปในห้อง
หานเสี่ยวซานและหานเสี่ยวญาไม่ได้หดตัวอยู่ในมุมห้องแล้ว ตอนนี้กำลังยืนอยู่หน้าประตูดูว่าซูหงซานทำอะไรอยู่
เห็นนางมา ก็ล้วนหนีเข้าไปในห้องอีกครั้ง
ซูหงซานเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดอะไร ไปเอากล่องไม้บนเตียงที่โดนเจ้าของร่างเดิมล็อคเอาไว้ และปลดล็อค หยิบถุงแป้งออกมาจากข้างในและวางบนโต๊ะไม้
"วันนี้เรากินบะหมี่ เสี่ยวซานช่วยดูเตาไฟให้ข้าหน่อยได้ไหม"
น้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก แต่หานเสี่ยวซานกลับไม่กล้าขยับ
และเขาก็ไม่เชื่อว่าจะได้กินบะหมี่
เขาไม่ขยับ ซูหงซานก็ไม่รีบร้อน ไปหยิบอ่างที่ใช้ในการรับน้ำฝนในเมื่อก่อนมา แล้ววางถุงแป้งไปในอ่าง พร้อมอุ้มอ่างเดินไปทางห้องครัว
หานเสี่ยวซานเห็นร่างของซูหงซาน รู้สึกว่าวันนี้นางผิดปกติมาก แต่ก็กลัวจะโดนตี ไม่กล้าลังเลอีก รีบตามไปเตรียมจุดไฟที่ห้องครัว
"พี่ชาย"
หานเสี่ยวญาดึงเสื้อที่เต็มไปด้วยปะซ่อมของหานเสี่ยวซานด้วยความหวาดกลัว และเดินตามขึ้นไปด้วย
ซูหงซานกำลังนวดแป้งอยู่ เห็นว่าสองพี่น้องเดินเข้ามา ก็ยิ้มให้พวกเขา"ข้าจุดไฟแล้ว พวกเจ้าช่วยดูหน่อย ถ้าไม่มีฟืนแล้วก็บอกข้าสักหน่อย ข้าจะเติมฟืนเข้าไปเอง"