บทที่ 1 ลูกที่ถูกลืม 1
เด็กหญิงชเนตตีหรือน้องเนยวัยสิบสองปีเดินถือสมุดพกหรือสมุดประเมินผลการเรียนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เธอตั้งใจว่าจะนำผลการเรียนไปอวดบิดาที่อาศัยอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งกับภรรยาน้อยและลูกสาวอีกสองคน
เธอเดินเรื่อยมาจนถึงบ้านหลังดังกล่าวที่มีความใหญ่โตไม่แพ้กับบ้านที่ชเนตตีและมารดาอาศัยอยู่ แต่จะต่างกันตรงที่ว่า บ้านหลังนี้มีความรักและความอบอุ่นเนื่องจากอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ต่างกับบ้านที่เธออาศัยอยู่ลิบลับเพราะบ้านหลังนั้นมีเพียงเธอกับสุภัทราผู้เป็นแม่เพียงสองคน บ้านหลังใหญ่ที่มีห้องหับถึงแปดห้อง กว้างเกินไปในความรู้สึกของเธอ
“อ้าว คุณหนูเนย มาหาคุณผู้ชายเหรอคะ” ป้าอุไรแม่บ้านวัยสี่สิบเจ็ดปีของบ้านกิตติธรรมเอ่ยทัก ชเนตตีที่กำลังจะเดินเข้าไปในตัวบ้าน
“ค่ะป้าอุไร เนยจะมาอวดคุณพ่อค่ะ เนยสอบได้ที่หนึ่งค่ะป้า” ชเนตตีได้ทีอวดอุไรที่ยิ้มกว้าง ยินดีกับผลการเรียนของอีกฝ่าย
“เก่งจังเลยค่ะ คุณสินต้องดีใจและภูมิใจในตัวคุณหนูเนยแน่ๆ เข้าไปบอกคุณสินเลยค่ะ คุณสินอยู่ในห้องรับแขกค่ะ”
แม้ว่าปากของอุไรจะพูดว่า สิโรจน์จะดีใจและภูมิใจกับผลการเรียนของลูกสาวคนโต แต่ในใจของนางรู้ดีว่า มันไม่เป็นเช่นนั้น
“เนยไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ”
ชเนตตีเองก็หวังว่าบิดาจะภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ และจะมอบรางวัลให้ตนตามคำมั่นสัญญา ด้วยความดีใจเธอจึงรีบวิ่งไปยังห้องรับแขกทันที
“คุณพ่อขา คุณพ่อ” เสียงของชเนตตีดังมาก่อนตัว ทำให้คนถูกเรียกละสายตาจากหนังสือพิมพ์ เหลือบตามองเจ้าของเสียงที่วิ่งเข้ามาหาตนเพียงนิด ก่อนจะสนใจหนังสือพิมพ์ที่ตนอ่านต่อไป “คุณพ่อคะ เนยสอบได้ที่หนึ่งค่ะ”
พอมาทรุดกายลงนั่งข้างร่างบิดา ชเนตตีก็รีบบอกพร้อมกับยื่นสมุดพกให้สิโรจน์ที่ปรายตามองสมุดเล่มนั้นแล้วตวัดดวงตามองลูกสาวคนโต แต่ไม่คิดจะหยิบสมุดมาเปิดดูความสำเร็จของลูก แม้แต่จะยิ้มหรือแสดงออกให้เห็นว่าเขาภูมิใจและดีใจ เรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้ยินดียินร้ายกับเรื่องที่ได้รับรู้
“อืม เก่งดี” จะมีเพียงคำพูดสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น พูดจบก็หลุบตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป
ชเนตตีหน้าสลดลงทันตา หัวใจของเธอห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าจะชินกับความห่างเหินของบิดาที่มีต่อตน แต่พอได้เห็นและสัมผัสครั้งใด ความรู้สึกดังกล่าวก็กระจายเต็มหัวใจดวงเล็กๆ ทุกครั้ง
“คุณพ่อสัญญากับเนยว่า ถ้าเนยสอบได้ที่หนึ่ง คุณพ่อจะให้รางวัลเนยค่ะ” ชเนตตีทวงสัญญา คนถูกทวงอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อรู้ว่าตนเองสัญญาไว้กับลูกสาวคนโต
“แล้วอยากได้อะไรล่ะ” สิโรจน์ถามอย่างเสียมิได้
“เนยอยากได้…” ยังไม่ทันที่ชเนตตีจะบอกสิ่งที่ตัวเองอยากได้ เสียงของชนกนันท์ก็ดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงที่วิ่งเข้ามา
“คุณพ่อคะ คุณพ่อ” ชนกนันท์วิ่งเข้ามากอดร่างของบิดาที่รีบพับหนังสือพิมพ์ในมือตั้งแต่ได้ยินเสียงของลูกสาวคนรอง แล้วอ้าแขนรับร่างของคนเรียก “คุณพ่อขา นกสอบได้ที่สิบเอ็ดค่ะ นกเก่งไหมคะคุณพ่อ”
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผลการเรียนของชเนตตีกับชนกนันท์ออกพร้อมกัน เป็นเพราะทั้งคู่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกันแต่ต่างห้อง และวันนี้ก็เป็นวันที่ทางโรงเรียนประกาศผลการเรียนกับนักเรียนทุกคน
“ลูกสาวพ่อเก่งจังเลยครับ เก่งที่สุดเลย”
สิโรจน์ไม่เพียงแค่พูด ใบหน้าของเขายังเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม หอมแก้มของลูกสาวคนรองทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะรั้งมากอดไว้แนบอก การกระทำของเขาต่างกับที่รู้ว่าชเนตตีสอบได้ที่หนึ่ง ต่างกันลิบลับก็ว่าได้ ทั้งที่ผลการเรียนของบุตรสาวคนโตดีกว่าชนิดเทียบไม่ติด
“คุณพ่อจะให้อะไรนกเป็นรางวัลคะ” ชนกนันท์ถามบิดา
“แล้วนกอยากได้อะไรล่ะลูก บอกพ่อมาสิ พ่อจะรีบไปซื้อให้” เขาเอ่ยถามทันควัน
“นกอยากได้ตุ๊กตาบลายธ์ตัวใหม่ค่ะ” เธอตอบของที่อยากได้
“เอาแค่ตัวเดียวเหรอลูก พ่อซื้อให้สองตัวเลยนะ ให้รางวัลคนเก่งของพ่อ”
ผู้เป็นพ่อใจดีเพิ่มให้อีกหนึ่งตัว คนที่กำลังได้ตุ๊กตาตัวใหม่ดีใจยกใหญ่ หอมแก้มบิดาหลายครั้ง
“คุณพ่อน่ารักที่สุดในโลกเลยค่ะ นกรักคุณพ่อค่ะ”
ผู้พูดกอดร่างของบิดา ใบหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความสุข จนทำให้ลูกที่ถูกลืมรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแกมอิจฉาน้อง รวมทั้งเสียใจอยู่ครามครันกับความเฉยเมยของบิดาที่มีต่อตน
“มาอ้อนอะไรคุณพ่อล่ะลูก”
หทัยชนกภรรยาน้อยของสิโรจน์และเป็นแม่ของชนกนันท์พูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาในห้องรับแขก สายตาของนางมองแต่สองพ่อลูก ไม่ได้ชายตาแลมองลูกของเมียหลวงเลยแม้แต่น้อย
“นกมาอวดคุณพ่อค่ะว่า นกสอบได้ที่สิบเอ็ดแล้วคุณพ่อก็จะซื้อน้องบลายธ์ให้นกสองตัวค่ะ” คนเป็นลูกตอบด้วยรอยยิ้ม
“ที่ห้องของนกก็มีตั้งหลายตัวแล้วนะลูก จะเอามาทำไมเยอะแยะคะ แม่ว่าเปลี่ยนเป็นซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ดีไหมลูก”
คนเป็นแม่เห็นว่า ตุ๊กตาบลายธ์ที่ลูกสาวมีอยู่นั้นมีร่วมยี่สิบตัว เธอจึงคิดว่า หาซื้ออย่างอื่นบ้างจะเหมาะกว่า
“อย่าไปห้ามลูกเลยปิ่น นกเป็นผู้หญิงก็ต้องชอบตุ๊กตาไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าซื้อหุ่นยนต์สิถึงต้องห้าม”
สิโรจน์รักและตามใจลูกสาวทั้งสองคนที่เกิดกับหทัยชนกมาก เขาจึงค้านความคิดของภรรยา
“คุณพี่ก็ตามใจลูกแบบนี้ระวังเถอะจะเคยตัว”
หทัยชนกพูดเสียงติดงอน สิโรจน์จึงรั้งตัวภรรยามานั่งข้างๆ โดยดันร่างของชเนตตีให้ออกห่างร่างของตน เพื่อให้มีพื้นที่ว่างมากพอให้ภรรยาน้อยนั่ง ก่อนจะใช้ลำแขนโอบกอดและหอมนางอย่างเอาใจ
ชเนตตีที่รู้สึกตัวว่าตนเองเป็นส่วนเกิน หน้าเศร้าหมอง น้ำตาเอ่อคลอ หัวใจดวงน้อยสั่นไหว ความเสียใจน้อยใจอาบไปทั่วและลามลึกทุกอณูความรู้สึก มองร่างของหทัยชนกและชนกนันท์ที่อยู่ในอ้อมแขนของสิโรจน์ด้วยความเสียใจ
เด็กหญิงชเนตตีอยากไปอยู่ตรงนั้น อยู่ในอ้อมแขนของสิโรจน์ ต้องการให้ผู้เป็นพ่อกอดและหอม อยากรู้เหลือเกินว่า อ้อมแขนของสิโรจน์จะอบอุ่นสักเพียงใด เธอปรารถนาจะซึมซับความรู้สึกนั้นมานานตั้งแต่จำความได้ แต่ไม่เลย ไม่เคยได้สัมผัส วันนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเด็กหญิงที่จะได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่ต้องการสัมผัส ทว่ามันคงไม่ได้เป็นไปตามที่คาดคิด
ผลที่ออกมามันเลวร้ายมากกว่าที่คิดไว้
คำสัญญาที่สิโรจน์ให้ไว้กับชเนตตีเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่สาม ชเนตตีเดินมาหาบิดาที่บ้านเพื่อนำสมุดพกมาให้อีกฝ่ายดู แต่พอเธอเดินมาถึงก็ได้ยินว่า ชนกนันท์สอบได้ที่สามของห้อง สิโรจน์ดีใจกอดและหอมน้องสาวของเธอหลายฟอด และบอกว่าจะให้รางวัลที่อยากได้ คำพูดนั้นเองจุดประกายความคิดของเด็กหญิง
ชเนตตีจึงเดินเข้าไปหาบิดาแล้วต่อรองกับสิโรจน์ว่า หากตนสอบได้ที่หนึ่งสิโรจน์ต้องให้รางวัลที่เธอต้องการ ความเป็นพ่อทำให้เขารับปากไปส่งๆ และรู้ดีว่าชเนตตีคงทำไม่ได้ เนื่องจากลูกสาวคนนี้เรียนไม่เก่ง สู้ลูกที่เกิดจากภรรยาน้อยของเขาไม่ได้
เธอตั้งใจเรียนตั้งแต่นั้นมา ท่องหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ปีแรกเธอสอบได้ที่สิบห้า ปีที่สองเธอสอบได้ที่เจ็ดและปีที่สามเธอก็ทำได้สำเร็จ คว้าที่หนึ่งของห้องมาอยู่ในมือ แล้วพอรู้ว่าตนเองสอบได้ที่เท่าไหร่ ชเนตตีก็รีบมาหาสิโรจน์เป็นคนแรกเมื่อถึงบ้าน มาขอรางวัลจากบิดา
“เนยอยากให้คุณพ่อกอดและหอมเนยค่ะ อยากให้คุณพ่อภูมิใจในตัวเนย” นี่คือรางวัลที่ชเนตตีอยากจะได้
ลูกที่ไม่มีใครเหลียวแลลุกขึ้นยืน เพื่อหนีภาพบาดความรู้สึกที่นับวันจะยิ่งโถมทับเป็นหินปูน เกาะกินในจิตใจและความรู้สึกของเธอ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสนใจ ไม่คิดแม้แต่จะมองร่างเล็กๆ ของเธอด้วยซ้ำไป
ชเนตตีเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนสำหรับทุกคนในบ้านหลังนี้ เธอกอดสมุดพกไว้แนบอก เดินร้องไห้กลับไปยังบ้านที่เต็มไปด้วยความว้าเหว่และเงียบเหงา คงไม่มีใครชื่นชม ดีใจและภูมิใจกับความสำเร็จของเธอในวันนี้ แล้วยังหวั่นๆ ว่าสุภัทรามารดาสุดที่รักจะชื่นชมกับผลการเรียนของตนในครั้งนี้หรือไม่
..................
สามทุ่มเศษวันเดียวกัน
เสียงรถยนต์ที่แล่นมาจอดหน้าบ้าน ทำให้ชเนตตีที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟารีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบสมุดพกที่วางอยูบนโต๊ะเข้าชุดกับโซฟามากอดไว้
“แม่คะ แม่” ชเนตตีลุกขึ้นยืนแล้วเดินแกมวิ่งไปหาสุภัทราที่เดินหน้าบูดบึ้งเข้ามาในบ้าน
“แหกปากเรียกอะไรกันนักหนา อยู่กันแค่นี้” สุภัทราแหวใส่ลูกสาวที่หน้าเจื่อนลงทันที “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ”
“เนยรอแม่ค่ะ” เด็กหญิงตอบผู้ให้กำเนิด
“รอทำไม ดึกดื่นแล้วไม่รู้จักนอน” สุภัทรากระชากเสียงถาม ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา “มีอะไรล่ะ”
“เนยสอบได้ที่หนึ่งค่ะแม่ เนยเลยเอามาอวดแม่ค่ะ” ชเนตตียื่นสมุดพกส่งให้มารดาที่ปรายตามองสมุดเล่มนั้นอย่างชั่งใจและใช้ความคิด
“เก่งมากเลยลูก เนยของแม่เก่งที่สุด” อันที่จริงแล้ว สุภัทราไม่ได้ชื่นชมหรือดีใจกับความสำเร็จของลูกสาวในครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะนางจะต้องยืมมือลูกสาวทำบางอย่าง “เนยไม่ทำให้แม่ผิดหวังเลยนะลูก”
สุภัทรารั้งร่างลูกสาวมากอดและหอมแก้มทั้งสองข้างประหนึ่งว่าภูมิใจในตัวชเนตตีนักหนา ทั้งที่ในใจไม่ได้ยินดียินร้ายเลยแม้สักนิดเดียว
“แม่จะให้รางวัลอะไรเนยคะ”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่สุภัทรากอดและหอมเธอ ใบหน้าของเด็กหญิงจึงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและความสุข แต่ถ้าหากเธอมองเห็นสีหน้าของมารดาเวลานี้ บางทีความสุขของชเนตตีอาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้
“แล้วเนยอยากได้อะไรล่ะลูก บอกแม่มาเลย แม่จะจัดการให้”
จะว่าไป ฐานะทางบ้านของสุภัทราก็ไม่ธรรมดา มีความร่ำรวยมิใช่น้อย ทั้งจากสมบัติเก่าของตระกูลแล้วยังจะธุรกิจของครอบครัวที่เจริญรุ่งเรือง ชเนตตีอยากได้อะไร ขอเพียงแค่เอ่ยปากบอกมารดา ของที่ต้องการก็จะมากองอยู่ตรงหน้า ทว่ามีเพียงอย่างเดียวที่เงินไม่สามารถซื้อได้ สิ่งนั้นคือ ความสุขและครอบครัวที่อบอุ่น ที่เธอโหยหามาตั้งแต่เกิด แต่ก็รู้ว่ายากนักที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เนยอยากให้แม่รักเนย กอดเนยและหอมเนยทุกวันค่ะ”
ชเนตตีจึงขอในสิ่งที่เป็นไปได้ หากจะถามว่าใจจริงแล้วต้องการอะไร สิ่งที่เธอต้องการคือ การได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ทานข้าวด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนกับที่สิโรจน์ทำต่ออีกครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวที่เขาหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วยหลังจากที่เธออายุได้หนึ่งขวบ ไปๆ มาๆ อยู่ร่วมสองปี จากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้นเป็นการถาวร จะมาบ้านหลังนี้บ้างหากนับได้ก็ปีละไม่เกินสามหน
“ได้สิลูก แม่ทำให้เนยลูกรักของแม่ได้เสมอ”
พูดจบ สุภัทราก็หอมแก้มของลูกสาวทั้งซ้ายและขวา ข้างละหลายครั้งติดต่อกัน ก่อนจะสวมกอดร่างเล็กราวกับว่ารักปานดวงใจ ทำตามที่ชเนตตีต้องการ
คนถูกกอดและหอมกอดร่างสุภัทราแน่น แนบใบหน้ากับอกอบอุ่นของผู้เป็นแม่ ซึมซับไออุ่นที่หาโอกาสอย่างนี้ไม่ได้ง่ายๆ แม้ว่าจะอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ไว้ให้มากที่สุดแล้ววาดหวังว่า เธอจะได้กระทำเช่นนี้กับมารดาทุกวัน และนั่นก็ทำให้เธอนึกถึงบิดาขึ้นมาทันใด
เธอได้กอดมารดาแล้วก็อยากจะได้กอดได้หอมสิโรจน์บ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ มันดูเหมือนว่า ความฝันของตนช่างห่างไกลมือน้อยๆ เหลือเกิน ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง