ดั่งต้องมนตร์
“นางอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวแค่ไหน”
“พระชายาเจ้าขา นางน่ากลัวเสียมากกว่าใบหน้าคล้ายภูตผี แค่มองไปก็แทบจะสิ้นสติ”
“ฮองเฮาตั้งใจจะขายหลานสาว หรือตั้งใจจะสั่งสอนท่านอ๋อง นางสำคัญกว่าท่านอ๋อง เรื่องไหนที่นางเห็นดีฝ่าบาทก็คงไม่อาจปฏิเสธ”
“นายหญิงอาจเป็นแค่เพียงความสงสารหลาน ต้องการให้เลือดเนื้อเชื้อไขของนางถือกำเนิดมา ใบหน้าไม่ได้อัปลักษณ์เช่นนางก็แค่นั้น”
“ดี พรุ่งนี้บ่ายเรียกนางพบข้า”
สาวใช้ย่อกายลงยิ้มมุมปาก
ไฟในห้องดับสนิท เจิ้งอ้ายฉิงดึงแผ่นหนังที่ทำขึ้นเป็นพิเศษออกจากใบหน้าซีกซ้ายยกมือข้นลูบใบหน้าเนียนซีกซ้ายของตัวเองที่สัมผัสได้ว่าอุ่นกว่าซีกขวา หากไม่เปิดแผ่นหนังออกเสียบ้าง อาจทำให้ใบหน้าส่งผลเสียได้ แม้จะมองไม่เห็นแต่ เจิ้งอ้ายฉิงคุ้นเคยกับการทำแบบนี้มานานปี จะให้อัปลักษณ์ก็แค่แปะมันลงไปบนใบหน้ายามดึกจึงดึงแผ่นหนังออกเสีย ใหม่ๆเคยถามป้าเป่ยว่าทำไมเจิ้งอ้ายฉิงต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้
“เพื่อสิ่งใดกัน”
“เพื่อตัวคุณหนูเอง หากใครเห็นใบหน้าของคุณหนูจึงต้องมีอันเป็นไปเหมือนที่ ท่านแม่ของคุณหนูต้องพบเจอเรื่องแบบนั้น”
“ข้า ทำให้ท่านแม่ตายท่านป้าทำไมท่านไม่ให้ข้าตายเสีย”
“อ้ายฉิงแปลว่าความรัก นายหญิงให้คุณหนูชื่อนี้เพราะรักคุณหนูยิ่งกว่าใครนายหญิงเชื่อว่าสักวัน เคราะห์ร้ายของคุณหนูจะหายไป”
“แต่ข้าทำให้คนอื่นโชคร้าย”
“คุณหนูไม่อยากทำร้ายใคร คุณหนูก็ต้องทำที่เคยทำเป็นประจำเพราะจะได้ช่วยเหลือผู้อื่นไม่ต้องให้รับความโชคร้ายที่เป็นของเขา คุณหนูแค่เร่งเวลาแห่งความโชคร้ายของเขาหาได้ทำให้คนอื่นโชคร้ายไม่”
ยกมือขึ้นลูบใบหน้างามเบาๆ ทิ้งกายลงบนแท่นนอน หลับใหล
“คุณชาย หนีไป”เสียงขององครักษ์ข้างกายส่งเสียงเตือนหวางปาหยางที่ไม่รอช้าทะยานออกจากห้องเก็บตำราจวนในจวนอ๋องของหวงเฉิงอู๋ ด้วยไม่อาจรับมือกับ องครักษ์ที่แข็งแกร่งของจวนอ๋องได้ ทะยานขึ้นไปบนหลังคาทอดยาวของจวนอ๋องที่เชื่อมต่อกันวิ่งไปบนหลังคากระโดดลงไปในสวน วิ่งลัดเลาะไปทางซ้ายสุดของจวนอ๋อง วิ่งจนสุดฝีเท้าองครักษ์ยังคงวิ่งตามไม่ลดละ ด้านหน้านั่นมืดมิดเหมือนไม่มีคนอาศัยหวางปาหยางดึงบานประตูแทรกกายเข้าไปในห้องมืดมิด หนึ่งให้ห้าห้องเรียงราย บังเอิญหรือเป็นเพราะลิขิตสวรรค์ ตรงเข้าไปที่แท่นนอนร่างอรชรของเจิ้งอ้ายฉิงนอนหลับใหล สะดุ้งตื่นลืมตาแต่ช้าไปเสียแล้ว เมื่ออีกคน ทิ้งตัวลงทาบทับ ยกมือใหญ่ขึ้นปิดปากครึ่งจมูกไว้แน่นลมหายใจรินรดตรงหน้าร้อนผะผ่าว เจิ้งอ้ายฉิงใจเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนอะไรด้วยไม่รู้ว่าคนผู้นี้มาร้ายมาดีเพียงใด
เสียงฝีเท้าคนนับสิบยังวิ่งวนค้นหา เข้าห้องนู่นออกห้องนี้
“พวกเจ้าเข้าไปไม่ได้ นี่มันห้องของชายารองท่านอ๋อง”
เสียงตวาดของเจียวหยูดังอยู่หน้าห้อง
“ห้องของชายารอง ทำไมถึงไม่มีแสงไฟเล็ดลอด”
“นายหญิงให้ข้าออกมาแล้วดับไฟตั้งแต่หัววัน พวกเจ้าจะสงสัยอะไรกัน”
“มีคนร้าย ข้าสงสัยว่า จะซ่อนตัวในห้องของชายารอง”
“เป็นไปไม่ได้ห้องด้านซ้ายมีมากมายอีกทั้งยังมีห้องติดๆ กันหลายห้องคนร้ายจะจงใจเข้าไปในห้องนายหญิงได้อย่างไร ชายารองเพิ่งจะแต่งเข้ามานางคนเมื่อยล้าไม่น้อยพวกเจ้าไปเสียอย่ามารบกวนเวลาพักผ่อน อีกอย่างถ้ามีคนร้ายนายหญิงจะต้องตื่นตกใจร้องขอความช่วยเหลือ”
องครักษ์ส่ายหน้า
“แต่หากข้าละเลย”เจียวหยูทำสีหน้าเบื่อระอา
“นายหญิงเจ้าขา มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
หวางปาหยางส่งเสียงลอดไรฟันเบาๆ
“บอกนางไปว่าเจ้ากำลังนอนไม่มีอะไร ผิดปกติ”
“ข้ากำลังหลับสบายพวกเจ้าส่งเสียงดังรบกวนข้า”
หวางปาหยางอ้าปากค้างกับเสียงใสราวกับระฆังแก้ว ชายารองอ๋องไร้พ่ายผู้นั้น ไหนใครบอกว่าอัปลักษณ์ยิ่งแล้ว เขาเลือกเอาวันแต่งเพราะทุกคนมัวยุ่งๆ จึงอาศัยโอกาสนี้แต่ที่เห็นห้องหับของนางล้วนไม่น่าดู เก่าคร่ำคร่านี่หรือห้องของชายารอง
“เจ้าค่ะ พวกเจ้าได้ยินไหม”
องครักษ์ประสานมือจากไป เจิ้งอ้ายฉิงผลักอกกว้างดิ้นรน ให้หลุดพ้นจากอ้อมกอด แต่กับถูกรัดไว้แน่น
“ชายารอง 555เหมาะสมยิ่งแล้ว”
สะบัดมือเพียงนิด แสงสว่างจากเปลวเทียนสว่างขึ้นที่ข้างแท่นนอน หวางปาหยางอ้าปากค้างใบหน้านวลใยงดงามใต้ร่างของเขา แสงเทียนส่องกระทบมองเห็นชัดเจน อ้ายฉิงรีบยกมือปิดบังใบหน้าซีกขวาด้วยความตกใจลืมไปว่าจะต้องปิดบังใบหน้าซีกซ้าย
“เทพีสวรรค์หรือไร”
เอาแต่ตกตะลึงอ้ายฉิงสะบัดตัวลุกขึ้น คว้ากระบี่ข้างกายมากำไปข้างหนึ่งมืออีกข้างปิดบังใบหน้าไว้
“ไปเสีย ท่านไปเสียไม่ว่าจะเป็นใครท่านจะโชคร้ายเมื่อพบหน้าข้าอาจจะไม่อาจรักษาชีวิตไว้ด้วยซ้ำ”
ไม่ได้กลัวแค่เพียงมือสั่นที่กำกระบี่ แต่ด้วยเหมือนมีมนตร์ขลังกับใบหน้างามที่เขาจ้องมองในครั้งแรกอีกทั้งร่างอ้อนแอ้นของอ้ายฉิงที่ทำเอาเขากลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งสิ่งไหนกันเวทมนตร์หรือว่าใบหน้ากับร่างอรชรนั้น ที่ทำให้เขายอมทำตามคำพูดของนางง่ายดาย ค่อยๆถอยออกจากห้องไปแต่สายตายังจับจ้องใบหน้างามไม่ลดละ อ้ายฉิงตวัดกระบี่ตัดไส้เทียน ความมืดปกคลุมอีกครั้งโยนกระบี่ไปตรงหน้า หวางปาหยางคว้ามันไว้ในมือแล้วรีบทะยานออกจากห้องไปทั้งๆ ที่ ไม่อยากจากไปแม้เพียงน้อยนางงดงามดังเทพีสวรรค์ หญิงงามอันดับหนึ่งยังน้อยไปหากจะเปรียบกับนาง
“ค้น ค้นให้ทั่ว”เสียงดังโวยวายด้านนอกอีกครั้งแต่คราวนี้เป็นเสียงของ หวงเฉิงอู๋ ที่นำคนกลับมาอีกครั้ง
“เจียวหยูเปิดห้องของชายารอง”
ด้านในเงียบงันเจียวหยูลังเล
“เปิดประตู”
บานประตูเปิดออกช้าๆ ใบหน้าอัปลักษณ์ต้องแสงเทียนในมือ องครักษ์ต่างก้มหน้าไม่มีใครกล้ามอง ดวงหน้าอัปลักษณ์เกินทน ก่อนหน้านั้นเจิ้งอ้ายฉิง รีบลนลานคว้าแผ่นหนังใต้หมอนมาปิดบังใบหน้าไว้ดึงผ้าห่มมาคลุม ร่างกายที่มีเพียงอาภรณ์บางเบา เผยให้เห็นเรือนร่างชัดเจน
“เจ้าอาจซุกซ่อนคนร้ายไว้ด้านใน ข้าจะให้คนค้นห้องเจ้า”
อ้ายฉิงยิ้ม
“เชิญท่านอ๋อง”
ผายมือเชิญ หวงเฉิงอู๋ก้าวเท้าเข้าไปรื้อค้น สิ่งของในห้องไม่เว้นแม้กระทั่งบนแท่นนอน
“พวกเจ้าแน่ใจหรือ”
“แน่ใจ ขอรับ”
“บัดซบ วิ่งมาทางนี้ แต่กลับหายตัวไปง่ายดาย”
หันมาเผชิญหน้ากับอ้ายฉิงสายตา จ้องจับผิด
“ข้า เอาผิดเจ้าไม่ได้ แต่อย่าคิดว่าข้าจะวางใจ”
อ้ายฉิงย่อกายลงอ่อนหวาน
“ท่านอ๋องค้นดูอีกรอบจึงดี หากยังไม่วางใจ”
น้ำเสียงอ่อนหวาน จนคนฟังใจอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น เมื่อป้ายหยกเนื้อดีบ่งบอกฐานะใช้สำหรับของใครบางคนที่ร่วงบนพื้น
“หวงเฉิงอู๋ก้มลงเก็บ ป้ายหยกมาขึ้นมายื่นไปตรงหน้า อ้ายฉิง
“สิ่งนี้เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร”
มือบางคว้าป้ายหยกอย่างรวดเร็วแต่ ร่างสูงกลับไวกว่าคว้ามือดึงตัวของอ้ายฉิงกระแทกมาที่อกของเขา
“นอกจากใบหน้าอัปลักษณ์แล้ว เจ้ายังทำเรื่องปิดบังชั่วช้า เจ้ารวมหัวกับใคร”
อ้ายฉิงยิ้มหวาน
“ท่านอ๋องกลัว หรือกลัวว่าสิ่งที่ทำไว้จะเปิดเผยออกมาใช่หรือไม่”
ผลักร่างบางให้ลงไปกองกับพื้น
“กลับ”
อ้ายฉิงกำป้ายหยกไว้ในมือแน่น ไม่ยอมปล่อย ดีที่หวงเฉิงอู่คิดว่าป้ายหยกนี่เป็นของคนร้าย