ตอนที่ 2 เอาชีวิตไปเดิมพัน
ตอนที่ 2 เอาชีวิตไปเดิมพัน
ตอนที่หลินซีนเยียนพาเสี่ยวอวี่เข้ามาในจวน มีแค่ความเงียบสงบ แม้แต่บ่าวที่ตีเคาะไม้บอกเวลา ก็ไม่รู้แอบไปหลบอยู่ที่ใด
ตอนกลางคืน หิมะตกอยู่
ณ ลานบ้านที่เล็กที่สุดในจวน เสี่ยวอวี่ได้เติมน้ำร้อนลงในอ่างอาบน้ำที่ทำด้วยไม้ สายตามองแผ่นหลังของร่างที่เปือยเปล่าในอ่างอาบน้ำพร้อมถอนหายใจอีกครั้ง
“เสี่ยวอวี่ เลิกถอนหายใจได้แล้ว นี่เป็นครั้งที่ สิบแปดแล้ว หากทำเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าหูของข้าจะพับติดกันซะก่อน” หลินซีนเยียนหลับตาลง สีหน้าไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ นางยิ่งไม่ยินดียินร้ายแบบนี้ ยิ่งทำให้เสี่ยวอวี่เศร้าใจ
“ คุณหนูเจ้าค่ะ แผ่นหลังของท่านเป็นรอยแผลฟกช้ำ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองไปหาหมอดี ๆ มาตรวจอาการให้ท่านสักหน่อย”บนตัวนางล้วนเป็นรอยจ้ำเขียว ๆ ม่วง ๆ เมื่อเห็นอย่างนี้ เสี่ยวอวี่ก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขนพอง
หลินซีนเยียนลืมตาขึ้น ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “เสี่ยวอวี่ เพื่อสินบนบนแม่เล้าที่หอชุนเยว่ เราเพิ่งขายปิ่นทองคำที่ท่านแม่ของข้าเหลือไว้ไปไม่ใช่รึ อย่าพูดถึงหาหมอเลย วัตถุดิบในครัวของวันพรุ่งนี้ยังไม่มีเลย”
พอนึกเรื่องนี้ขึ้น เสี่ยวอวี่จำอดถอนหายใจไม่ได้อีก
หลินซีนเยียนส่ายหน้าอย่างจนใจและทำท่าทางปิดหูตนเอง “ หูข้าพับติดกันแล้ว ”
“บาดแผลของคุณหนูจะทำอย่างไรดีเจ้าค่ะ”ท่านอ๋องนั่นลงมือได้โหดเหี้ยมนัก เมื่อก่อนได้ยินว่าเหล่าผู้ทรงอิทธิพลมักมีวิธีเล่นกับเหล่าสตรีมากมาย นางไม่เชื่อเท่าไรแต่พอมาตอนนี้นางได้เห็นกับตาตนเองแล้ว คิดว่าเหล่าผู้ทรงอิทธิพลนั้นไม่มีใครเป็นคนดีสักคน
“ล้วนเป็นแผลภายนอก รักษาหน่อยก็หายดีแล้ว”หลินซีนเยียนไม่ได้สนใจและปิดตาลงอีกครั้ง นางเป็นแค่หญิงขายบริการ ยังจะหวังให้เขามาทะนุถนอมราวกับสตรีมีชาติตระกูลดีเหล่านั้นได้อย่างไร
ผู้ที่ช่างไร้หัวใจ ก็เป็นชายที่มั่วหลงในโลกีย์ยิ่งนักมิใช่รึ
แม้จะมองอยู่แล้วนางมีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กอายุ สิบ กว่าปี แต่ตัววิญญาณนางยังคงเป็นหญิงวัย 26-27 ปี
ความใฝ่ฝันของหญิงสาว ความตั้งตารอกับร่วมรัก
อายุของนางได้ผ่านวัยนั้นไปแล้ว
ตำหนักอู่เสวียนที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเฟิ่งชี บรรยากาศตอนเช้าตรู่ที่ตึงเครียด ทำให้เหล่าองครักษ์ต่างไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจเสียงดัง กลัวจะทำให้นายท่านอารมณ์เสียอีก
“ ท่านอ๋อง… เหล่าสตรีคนก่อน ท่านไม่เคยยอมให้ค้างคืน เช่นนั้นแล้วข้าน้อยถึงคิดว่า ท่านได้อนุญาตให้นางไป…”หัวหน้าองครักษ์จินมู่ใน ตำหนักอ๋องกำลังก้มหน้าคุกเข่าอยู่
“ความหมายของเจ้าคือมันเป็นความผิดของข้างั้นรึ ”โม่จื่อฟงเหยียดยิ้มที่มุมปาก จับแหวนหยกที่สวมไว้ในนิ้วโป้งอย่างสุขุมเยือกเย็น มองดูไม่มีความโกรธเคืองเลยสักนิด แต่ความเยือกเย็นที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกลับทำให้ผู้คนต่างหวั่นเกรง
“ ข้าน้อยมิกล้า!”จินมู่ก้มหน้าต่ำลงอีก
โม่จื่อฟงส่งเสียง ‘ฮึ’ อย่างเยือกเย็น สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง หิมะในวันนี้ยังคงตกหนัก เขาอดนึกถึงเรื่องที่บ่ออาบน้ำกลางแจ้งเมื่อคืนนี้ไม่ได้ ภาพที่หิมะลอยมาตกบนผิวเนียนขาวของนาง เพียงใช้ปากเป่าไปเบา ๆ หิมะก็ฟุ้งกระจายออกจากผิว สะท้อนแสงระยิบระยับไปทั่วกาย…
ไม่มีสตรีคนไหน เล่นแบบนางที่เล่นได้
และก็ไม่มีสตรีคนไหน หลังจากจบเรื่องนั้นแล้วก็รีบจากไปเร็วกว่าเขาอีก!
“ท่านอ๋อง สตรีเมื่อคืนมีปัยหาหรือขอรับ”จินมู่เห็นว่าท่านอ๋องดูใจลอย อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถาม
โม่จื่อฟงเรียกสติกลับมาและกวาดสายตาอย่างเย็นชามอง จินมู่ตกใจจนถอยหลังออกไปครึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
“จินมู่ เจ้ารับใช้อยู่ข้างกายข้ามาก็หลายปีแล้ว ก่อนที่นางจะจากไป เจ้าไม่ได้สังเกตว่าบนตัวของนางมีสิ่งที่แปลกไปรึ”
“คือว่า…”จินมู่ตัวสั่นเล็กน้อย จำได้ทันทีว่าเสื้อคลุมที่สตรีผู้นั้นได้สวมใส่ไป “บนตัวนางได้สวมใส่ เสื้อคลุมของท่านอ๋องขอรับ!”
“ในเมื่อรู้ เหตุใดถึงไม่หยุดนาง”โม่จื่อฟงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าหิมะที่โปรยปรายอยู่ด้านนอกหน้าต่าง
จินมู่ลังเลช่วงขณะหนึ่งแต่ก็เปิดปากพูด “ข้าน้อยได้หยุดนางแต่ว่าสตรีผู้นั้นบอก…”
“บอกอะไร”
“นางบอกว่าท่านอ๋องฉีกเสื้อผ้าของนางขาด ต้องชดใช้ด้วยเสื้อคลุมตัวนี้ให้นาง ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร!”จินมู่รีบเล่าเรื่องจบอย่างรวดเร็ว ทั้งตัวโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
อากาศเหมือนนิ่งเฉยไป บรรยากาศยิ่งตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ
โม่จื่อฟงเงียบไปนาน ทำให้จินมู่รู้สึกเสียวสันหลัง ตอนนั้นเขาเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว โม่จื่อฟงก็มองมาที่เขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรรึ จินมู่ นางสวมใส่เสื้อของข้า ดูดีหรือไม่”
ประโยคที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของสักนิดได้พูดออกจากปากของอ๋องอู่เสวียน ทำให้จินมู่ตกตะลึงไปช่วงขณะหนึ่ง แต่เขาไม่กล้าพูดจาโป้ปด “ ดี ดูดีขอรับ สตรีผู้นั้นแม้จะตัวเล็ก แต่รูปร่างถือว่าดียิ่งนัก เสื้อคลุมได้คลุมตัวนางจนมิด ปรากฏส่วนเว้าส่วนโค้งออกมาได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะขา 2 ข้างที่ก้าวออกมา ทั้งเรียวเล็กและยาว…”
“จินมู่!”โม่จื่อฟงหยุดลูบแหวนหยกที่สวมไว้ในนิ้วโป้งทันทีและรอยยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏขึ้น“เจ้ามองได้อย่างละเอียดดีนัก…”
จินมู่หยุดพูดทันที เพิ่งรู้ทันว่าตนเองพูดอะไรออกไป เขายังไม่ทันหวาดกลัว โม่จื่อฟงออกคำสั่งให้องครักษ์เงาที่ยืนนอกประตูไปแล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งไป ให้หัวหน้าหลิงสุ่ยรีบกลับเข้าเมืองหลวง แล้วส่งหัวหน้าจินมู่ไปประจำการที่ชายแดนทางเหนือแทนเขา ! ”
จินมู่ตกตะลึง พอได้สติกลับมา จึงรีบขอร้องว่า “ ท่านอ๋อง ข้าน้อยรู้ความผิดแล้ว ข้าน้อยรู้ความผิดแล้วขอรับ” ชายแดนทางเหนือเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลไร้ผู้คน หากไปคง…
น่าเสียดายที่โม่จื่อฟงยังคงสายตาเย็นชาอยู่ นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นและก้าวเดินออกจากห้อง ไปยืนตรงทางเดิน แล้วยื่นมือออกไปรองรับเกล็ดหิมะ ไม่กี่วินาทีมันก็ละลาย “ สตรีผู้นั้น สวมใส่เสื้อผ้าของข้า กลับไม่อยู่สงบนิ่งได้”
เที่ยงวันผ่านไป ห้องรับแขกของจวนแม่ทัพดูครึกครื้น
เสียงเคาะฆ้องตีกลองที่ดังเข้าไปข้างในลานบ้าน เสี่ยวอวี่ที่กำลังผิงกองไฟอยู่ในลานบ้านนั้น เหลือบตาไปมองหลินซีนเยียนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินอย่างกังวล “คุณหนู ดูเหมือนว่าจะมีคนมาสู่ขอเจ้าค่ะ”
“จะมาสู่ขอก็มา รู้ตั้งนานแล้วไม่ใช่รึ”หลินซีนเยียนสีหน้าไม่เปลี่ยน เพียงเหยียดยิ้มที่มุมปาก
“แต่ว่า เรื่องเมื่อคืนนี้หากแม่ทัพรู้เข้า ข้าเกรงว่า…”เสี่ยวอวี่สีหน้าซีดเผือด “คุณหนู จำสาเหตุการตายของคุณหนูรองได้หรือไม่เจ้าค่ะ”
หลินซีนเยียนแสยะยิ้ม “ จะลืมได้อย่างไร หลังจากที่พี่รองตาย ในจวนนี้ไม่มีใครสักคนกล้าไปรับศพนาง สุดท้ายเป็นข้าที่แบกศพของนางไปฝังที่เขาหลัง ”
เสี่ยวอวี่นึกถึงภาพนั้นแล้วก็รู้สึกหวาดผวา ในตอนนั้นนางเพิ่งสังเกตว่าคุณหนูของนางไม่เหมือนกับเมื่อก่อน แต่ก่อนแม้แต่หนูตัวเดียวก็ตกใจแทบแย่ กลับกล้าแบกศพของคุณหนูรองเดินรอบเขาไป 10 ลี้
- ลี้ เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ลี้เท่ากับ 500 เมตร
“ สาเหตุที่คุณหนูรองตายเป็นเพราะว่าแอบคบชู้สู่ชาย ทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล นายท่านจึง… ลงมือฆ่าด้วยตนเอง ”เสี่ยวอวี่รู้สึกหวาดกลัว
หลินซีนเยียนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ในใจรู้สึกเศร้า ใช่สิ หากไม่ได้มาพบเห็นยุคศักดินาที่โหดเหี้ยมอย่างนี้แล้ว นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าในโลกนี้จะมีพ่อที่ลงมือฆ่าลูกสาวด้วยตนเองแบบนี้อยู่จริง เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเอง
วันนี้นางจึงได้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน