ตอนที่ 3 วางแผนการ
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น เกาลี่ฉีเมามายแทบทุกวัน จนทำให้ซุนฮองเฮาไม่สามารถเพิกเฉยต่อไปได้ พระนางทอดมองไปที่พระโอรสเพียงองค์เดียว ที่แทบจะไม่เหลือเค้าร่างของบุรุษรูปงามองอาจดุจเดิมอีกต่อไป
"ฉีเอ๋อร์แม่รู้ว่าเจ้าหลงรักนางมากเพียงใด เพราะแม้นแต่แม่เอง ก็รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่ดี จนยอมให้เจ้าได้ตกแต่งนางเข้ามาเป็นชายาเอก ถึงแม้ว่านางจะไร้ซึ่งตระกูลที่ดีคอยส่งเสริม เพราะเรื่องราวเป็นเช่นนี้ แม่เองก็รู้สึกสะเทือนใจไม่ต่างกัน แต่มนุษย์เราชีวิตควรที่จะดำเนินต่อไป เจ้าจะมาจมปรักอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจนี้จนถึงเมื่อใด"
คล้ายกับว่าคำกล่าวของพระมารดา จะไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของเขาแต่อย่างใด เพราะตอนนี้ชายหนุ่มยังคงยกกาสุราขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจสิ่งใด ถึงแม้ว่าผู้อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้จะเป็นสตรีที่เขาเคารพรักก็ตาม
"ฉีเอ๋อร์…!!!" พระนางทอดมองพระโอรสเพียงองค์เดียวของพระนางอย่างเหนื่อยพระทัย ก่อนที่จะถอนหายใจและกล่าวออกมาว่า "หากเจ้ายังอาลัยอาวรณ์นางถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่ให้อภัยนางเสีย แล้วรับนางกลับมาอยู่เคียงข้าง แล้วลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น แม่ไม่อยากเห็นเจ้าทุกข์ทรมานเช่นนี้เลย"
"เสด็จแม่…!!!"
คล้ายกับประโยคของพระมารดาประโยคนี้ ทำให้เกาลี่ฉีได้ฟื้นคืนสติ การที่จะยอมให้อภัยกับสตรีที่สวมหมวกเขียวให้กับตนเองได้นั้น คงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะกับบุรุษที่เป็นเชื้อพระวงศ์เช่นเขาแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เขาและพระมารดาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด พระมารดาของแผ่นดินคงกลายเป็นที่ขบขันไปทั่วอย่างนั้นหรือ ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาปล่อยนางไป สำหรับโทษของนางในครั้งนี้ เกรงว่าต่อให้นางมีสิบหัวก็คงไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
เมื่อได้ฟังพระมารดากล่าวมาเช่นนี้ จึงทำให้เขาทราบในทันทีว่าตนเองนั้นช่างเป็นบุตรที่แย่เสียเหลือเกิน ที่ทำให้พระมารดาทรงทรมานพระทัยถึงเพียงนี้ เกาลี่ฉีคุกเข่าลงยังเบื้องหน้าของซุนฮองเฮา
"เสด็จแม่ต่อจากนี้ลูกจะลืมนางไปเสีย"
"ฉีเอ๋อร์…!!!"
ซุนฮองเฮาสวมกอดพระโอรสของตนเองเอาไว้แน่น คงไม่มีแม่คนใดที่จะทนเห็นลูกต้องเจ็บปวดเช่นนี้ได้ถึงแม้ว่าพระนางจะต้องเสียเกียรติ หากว่าสิ่งนั้นมันจะแลกมาเพื่อความสุขของพระโอรสของนางได้พระนางก็จะทำ
…
เวลาล่วงผ่านไปห้าปีเกาลี่ฉีแทบจะใช้ชีวิตที่ผ่านมาในสนามรบ เขาทุ่มเทชีวิตด้วยการบุกทลายแคว้นน้อยใหญ่ ที่หวังมาประชิดชิงดินแดนของแคว้นต้าหยาง จนประสบความสำเร็จ ได้รับการสถาปนาเป็นชินอ๋องบุรุษผู้โหดเหี้ยมและมากความสามารถที่สุดในแผ่นดิน ชื่อเสียงของเขา ถูกพูดกันอย่างแพร่หลาย ถึงความมากความสามารถและเป็นเพียงบุรุษเดียวในแคว้นต้าหยาง ที่มีพลังปราณสีทองเข้ม แต่ด้วยนิสัยเย็นชาของเขา ก็ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าจะมีสตรีน้อยใหญ่หมายปองเขามากมาย แต่ก็ไม่สามารถมีสตรีใดที่สามารถเข้าใกล้เขาได้
"กราบทูลองค์ชาย ชนเผ่าหมาน ได้บุกประชิดมายังดินแดนทางทิศเหนือ เพื่อที่จะมาชิงผลผลิตของชาวบ้านอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"ดูเหมือนว่าความปรานี ของข้า จะทำให้พวกมันได้ใจเกินไปแล้วกระมัง" เกาลี่ฉีที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ที่แฝงความน่ากลัวเอาไว้ ทอดมองไปที่เบื้องหน้าด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก
"จัดทัพอีกสามวันข้าจะเดินทางไปบุกยึดชนเผ่านี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
กองทัพของเกาลี่ฉีที่กุมกำลังทหารกว่าสามแสนนาย ได้เดินทางจากเมืองหลวงไปยังดินแดนทางเหนือเพื่อบุกยึดชนเผ่าหมาน พวกเขาใช้เวลาเดินทางร่วมเดือนกว่าจะเดินทางมาถึง และเป็นที่น่าโจษจันว่า กองทัพที่เกรียงไกรของเขา ใช้เวลาเพียง 3 วันก็สามารถบุกยึดชนเผ่าหมาน ที่สร้างความรำคาญใจให้กับแคว้นต้าหยางมาเนิ่นนานได้เป็นผลสำเร็จ ชื่อเสียงของเขาจึงยิ่ง ขจรขจายไกลออกไป โดยที่เพียงแค่ถูกขนานนาม ก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับดินแดนข้างเคียงไปเสียแล้ว
ในระหว่างทางกลับกองทัพของเกาลี่ฉี ต่างถูกผู้คนสรรเสริญกันเป็นจำนวนมาก แต่ใบหน้าที่ดูน่ากลัวของเขา ก็ทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ยากยิ่ง จากบุรุษที่ใจดีเข้าถึงง่าย กลายเป็นบุรุษที่เย็นชาคล้ายน้ำแข็ง เวลาที่ผู้คนอยู่ใกล้ ก็ให้ความรู้สึกหนาวเหน็บจนน่าหวาดกลัว
"ท่านอ๋องดูเหมือนว่าข้างหน้าจะมีเด็กเล็กหกล้มขวางขบวนเสด็จของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ"
เมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆ กองทัพของเขาก็ได้หยุดชะงักลง จึงได้สร้างความแปลกใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง
"ไปจัดการเสีย"
"ท่านอ๋องทรงช่วยมารดาของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงเล็กแหลมที่กำลังร้องเรียกอยู่ตอนนี้ สามารถเรียกความสนใจของเกาลี่ฉีขึ้นมาได้
"นี่มันเรื่องอันใดกัน เด็กนั่นต้องการสิ่งใด"
เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นกำลังเรียกชื่อตนคล้ายกับต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงได้เลิกคิ้วขึ้น และถามคนของตนออกไป
"เด็กนั่นต้องการให้ท่านอ๋องช่วยมารดาของเขาพ่ะย่ะค่ะ"
เกาลี่ฉีที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็ได้ควบม้าตรงไปยังทิศทางของเด็กชายผู้นั้น เขาทอดมองไปที่ร่างสกปรกมอมแมมของเด็กชายชาวบ้าน ก่อนที่จะกล่าวถามออกไป
"เจ้าต้องการความช่วยเหลืออันใด"
เด็กคนนั้นมีแววตาที่น่าสงสารทอดมองมาที่เกาลี่ฉี ก่อนที่จะสะอึกสะอื้นกล่าวคำที่ฟังแทบจะจับใจความไม่ได้ออกมา
"ท่านอ๋องมารดาของข้าถูกพวกโจรป่าจับไป นี่ก็ล่วงมาหลายวันแล้ว ท่านพ่อของข้าคิดว่าท่านแม่ กลายเป็นสตรีที่สกปรก จึงไม่ได้คิดที่จะส่งคนออกไปติดตาม ตัวข้าน้อยนั้น ร้อนใจด้วยห่วงความปลอดภัยของมารดา จึงขอร้องท่านอ๋อง เทพสงครามผู้มีเมตตา ได้โปรดช่วยมารดาของข้าน้อยด้วยเถิด"
"เข้าใจพูดดี" เกาลี่ฉีทอดมองเด็กน้อยที่คุกเข่าลงเบื้องหน้า ตัวเท่านี้ช่างเป็นผู้ที่รู้ความ มีความกตัญญูยิ่งนัก แต่การแสดงเพียงเท่านี้มันคงยังไม่พอที่จะสามารถตบตาเขาได้…
ลำแสงที่ปลายนิ้วถูกตวัดออกมา เด็กชายที่น่าสงสารเมื่อสักครู่ใช้แววตาอำมหิตพร้อมกับสาดบางสิ่งที่อยู่ในมือใส่ร่างของเกาลี่ฉีซึ่งอยู่บนหลังม้า ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนองครักษ์ของเขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ทัน
เกาลี่ฉีสร้างม่านพลังบดบังสิ่งที่ถูกสาดออกมานั้นได้อย่างพอดิบพอดี ริมฝีปากของเขาบิดโค้งขึ้น แต่ดวงตากลับดำมืดลง ก่อนที่จะใช้เท้าเหยียบไปที่หน้าอกของเด็กชายจนล้มลงไปกองที่พื้น
"พูด…!!! ใครส่งเจ้ามา"
"ในเมื่อข้าทำงานพลาดก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก อยากทำอะไรก็เชิญ"
เด็กชายผู้นั้นปิดปากเงียบ เขาไม่มีทีท่าหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เกาลี่ฉีริมฝีปากวาดยิ้ม ก่อนที่จะสั่งให้ ทหารนำตัวเด็กผู้นั้นไปเค้นหาความจริง
"ดูเหมือนว่าเด็กนั่นจะเป็นชนเผ่าหมาน"
"น่าจะเป็นเช่นนั้น เกรงว่าคงจะมีพวกมันที่เหลือรอดกระจายกำลังอยู่แถวนี้อีกเป็นแน่ กระจายกำลังของเราเพื่อจับกุมพวกมันมาให้ได้ทั้งหมด ข้าเชื่อว่าพวกมันคงเคียดแค้นและพยายามจะปลิดชีพข้าให้ได้เป็นแน่"
"พ่ะย่ะค่ะ"
เพื่อที่จะจับกุมชนเผ่าหมานที่แฝงตัวเข้ามาในแคว้นต้าหยางให้ได้ทั้งหมดจากเหตุการณ์นี้ เกาลี่ฉีจึงได้ ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ…
"ท่านอ๋องทำเช่นนี้เกรงว่าจะอันตรายเกินไปหรือไม่" ทหารราชองครักษ์ที่ทำหน้าที่ตามมาอารักขาเอ่ยเสียงเบากับเกาลี่ฉีด้วยสีหน้าวิตกกังวล
"อย่าได้ประเมินความสามารถของตนเองต่ำเกินไป" เกาลี่ฉีเอ่ยตอบเขากลับไป ในขณะที่เขากำลังเดินทอดกายอย่างสบายอารมณ์ในย่านการค้าแห่งหนึ่งของเมืองฟู่เหอที่เป็นเมืองผ่านทาง
"กระหม่อมเพียงกังวลว่าพวกมันจะอาศัยโอกาสที่ ผู้คนพลุกพล่านเช่นนี้เข้ามาทำร้ายพระองค์"
"ทำตัวตามสบายอย่าได้แสดงพิรุธอันใด"
เกาลี่ฉีเดินต่อไปอย่างสบายอารมณ์คล้ายกับไม่ได้รับรู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เพียงไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้สัมผัสถึง รังสีสังหารที่ถูกแผ่ออกมาจากหลายทิศทาง ชายหนุ่มจึงได้ทำการเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ ในจังหวะที่คนพวกนั้นกำลังจะลงมือ พลังปราณสีส้มเข้มก็ได้ถูกส่งมายังร่างของเขาที่ได้สร้างม่านพลังเอาไว้ก่อนแล้ว แต่ในจังหวะนั้น ก็ถูกร่างของสตรีผู้หนึ่งมาบดบังเอาไว้เสียก่อน ที่พลังปราณสีส้มเข้มจะเข้าใกล้ม่านพลังของเขาได้ จึงทำให้พลังปราณนั้นกระแทกเข้าไปที่ตัวนางอย่างแรง จนหญิงสาวกระอักเลือดออกมา ด้วยความคาดไม่ถึงเกาลี่ฉีแสดงสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบรับร่างของสตรีที่มารับอันตรายแทนตนเองเอาไว้ในอ้อมกอดด้วยความตกตะลึง
"ท่านอ๋องระวังเจ้าค่ะ"
นางกล่าวได้เพียงเท่านั้นก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้งในอ้อมกอดของเขาพร้อมกับสลบไป
เกาลี่ฉีตั้งสติได้ จึงฟาดฝ่ามือไปที่ร่างของผู้ร้ายคนนั้น จนประเด็นออกไปไกลหลายจั้ง
"จับกุมตัวมันเอาไว้ พวกมันที่เหลือก็น่าจะอยู่ในบริเวณนี้เช่นกัน จับกุมพวกมันมาให้ได้ทั้งหมด" เขาสั่งการเสร็จก็ทอดมองไปที่สตรีในอ้อมกอด อย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีผู้นี้ถึงต้องเอาตัวเองมารับพลังปราณนั้นแทนตนด้วย
"ไปสืบมาว่าสตรีผู้นี้คือใครและมีเหตุผลอันใดถึงต้องทำเช่นนี้"
แน่นอนว่ารอบกายของเขาเต็มไปด้วยอันตราย และผู้ที่หวังผลประโยชน์ในตัวเขา เกาลี่ฉีจึงไม่สามารถวางใจได้ เมื่อได้ทอดมองไปที่ใบหน้าของสตรีผู้นี้อย่างจริงจังเขาพบว่า ไม่มีความทรงจำใดๆ กับสตรีผู้นี้เลย นั่นหมายความว่าเขาและนางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้วมีเหตุผลอันใดที่คนผู้หนึ่งจะยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนที่ตนเองไม่รู้จักได้