ตอนที่ 5ไม่เลี้ยงคนอ่อนแอ
ตอนที่ 5ไม่เลี้ยงคนอ่อนแอ
ถางเย่ยกถังน้ำเข้ามาในห้อง เมื่อนางกำนัลคนสนิทเห็นสภาพองค์หญิงของตนเอง น้ำตานางก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้
“โธ่...องค์หญิงของเย่เย่”
มือนางกำนัลหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดรอยคราบน้ำรักที่แห้งกรังเต็มเนื้อตัวเจ้านายตนเอง บนร่างกายที่ขาวนวลเต็มไปด้วยรอยแดง บางแห่งก็แดงเข้มเหมือนจะช้ำ ยิ่งบริเวณเนินอก หน้าท้อง และต้นขา ยิ่งแดงเป็นจ้ำอย่างน่าหวาดกลัวถางเย่ยกมือข้างหนึ่งปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไห้จนตัวสั่นคลอน แต่ถึงแม้ถางเย่จะร้องไห้จนตัวสั่นสักเพียงใด จ้าวฟางหลินก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะตื่นมาปลอบใจนางได้อีก
“อย่าร้อง...ข้าไม่เป็นอันใด”เมื่อพูดเสร็จร่างบางก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปทันที นางกำนัลคนสนิทเห็นดังนั้นก็รีบสวมอาภรณ์ให้พระชายาอย่างเบามือ เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างนางก็ร่นถอยออกไปนอนหน้าห้องเช่นเดิม
ยามเฉิน (07.00-08.59)
จ้าวฟางหลินตื่นขึ้นมาพร้อมกับความปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น นางเปิดผ้าคลุมกายตนเองออกก็เห็นว่าร่างกายมีอาภรณ์สวมอยู่ เมื่อนึกดูดี ๆ แล้วก็จำได้ว่าเป็นถางเย่นางกำนัลคนสนิทที่ตามมาจากซีจิ้งเป็นคนผลัดเปลี่ยนให้ มือเรียวยกขึ้นลูบไล้บนที่นอนด้านข้าง พื้นเตียงที่เย็นเช่นนี้บ่งบอกเป็นอย่างดีว่า พระสวามีตนเองมิได้นอนร่วมเตียง เช่นนั้นก็หมายความว่าเมื่อรังแกนางจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็จากไปสินะใบหน้าหวานพลันกระตุกริมฝีปากแสยะยิ้มขึ้นมา อย่าไปถามหาความโปรดปรานอย่างที่เสด็จแม่กล่าวเลย ความมีน้ำใจแม้เพียงน้อยก็หามีไม่ ร่างบางขยับตัวลงจากเตียงนอนด้วยความยากลำบาก เพียงแค่ก้าวขาลงจากเตียง นางก็ร่วงหล่นไปนั่งกองกับพื้น
“อ่อนแอ! ไร้ประโยชน์! ซีจิ้งคงต้องการผลักภาระเลี้ยงดูสตรีอ่อนแอเช่นเจ้าให้มาตายในแคว้นข้าละสินะ หรือความจริงแค่อยากหาสาเหตุก่อสงคราม”
น้ำเสียงดูแคลนเหยียดหยามดังขึ้นที่ด้านหน้า จ้าวฟางหลินเงยหน้าขึ้นมองบุรุษตัวโตที่ยืนส่งสายตารังเกียจมายังตนแล้วกำมือแน่น
“คำก็สงครามสองคำก็สงคราม ข้าจะบอกอะไรให้เจ้ารู้ไว้นะเหลียงเฟิงไห่ น้องสามของข้าเก่งกาจจนหาผู้ใดเทียบมิได้ หากข้านำเรื่องนี้ไปบอกแก่เขาเขาต้องไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”ใบหน้าหวานเชิดขึ้น ถึงแม้จะรู้ตัวดีว่าเป็นตายอย่างไรนางก็จะไม่โยนเผือกร้อนไปมอบให้จ้าวฉงซานน้องชายของตนเองอย่างเด็ดขาด
“เช่นนั้นหรือ ข้าเองก็อยากจะลองประมือกับชินอ๋องแคว้นซีจิ้งดูบ้างเช่นนั้นข้าส่งสารไปท้ารบเป็นอย่างไร”
นอกจากจะไม่เกรงกลัวคำขู่ของนางแล้ว เหลียงเฟิงไห่ยังหัวเราะเสียงลั่นเอ่ยท้าทายมาอีกหนึ่งประโยค จ้าวฟางหลินกำมือจนตัวสั่นสะท้านด้วยโทสะ ขบกรามเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“ป่าเถื่อน!...น่ารังเกียจสิ้นดี” เหลียงเฟิงไห่ได้ยินนางเอ่ยดูแคลนก็ขบกรามแน่น ก้าวเท้ามาหยุดเบื้องหน้า ย่อตัวลงจับคางมนเชยขึ้นแล้วเอ่ยเสียงแหบพร่า
“แล้วเจ้าอยากลองความป่าเถื่อนของข้าอีกสักรอบไหมเล่า”
จ้าวฟางหลินสะบัดหน้าหนี เพราะเห็นแล้วว่าการต่อปากต่อคำกับคนพาลเช่นเขาย่อมไม่เกิดผล เหลียงเฟิงไห่เห็นนางยอมพ่ายแพ้ก็ยกมุมปากขึ้น ส่งเสียงเย้ยหยันในคอหนึ่งคำรบก่อนลุกขึ้นยืน
“ที่แคว้นฉู่ไม่นิยมเลี้ยงดูคนอ่อนแอ ลุกขึ้น!!!” คนถูกกล่าวหาว่าอ่อนแอตวัดสายตาขุ่นมองเขา ขบเม้มริมฝีปากบางแล้วใช้มือพยุงร่างกายตนเองลุกขึ้นช้า ๆ
ทว่ากลางกายที่เขารังแกมาทั้งคืนยามนี้บวมช้ำเสียจนแทบจะหุบขามิได้ ยามที่ลุกขึ้นยืนจึงไม่อาจทรงตัวได้จำต้องใช้สองมือยึดเสาเตียงเป็นหลักพักพิงเอาไว้รัชทายาทหนุ่มยกยิ้มก่อนจะก้าวขาไปยังร่างบาง มือหนาช้อนตัวพระชายาขึ้นอุ้ม โดยที่ไม่ให้นางได้ตั้งตัว ฟางหลินเบิกตากว้าง ก่อนจะต่อต้านดิ้นรน
“ปล่อยข้านะ อย่ามาถูกตัวข้า”เหลียงเฟิงไห่ขมวดคิ้วหนา เมื่อคนในอ้อมแขนทั้งทุบทั้งข่วน เมื่อเห็นว่ามือของนางทำอันตรายเขาไม่ได้ นางก็ใช้ปากเล็กๆ กัดลงมาที่บ่าเขาจนสุดแรง
“โอ๊ย!” เหลียงเฟิงไห่ร้องลั่น ทว่ากลับไม่ยอมปล่อยคน สองขาก้าวเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ก่อนจะปล่อยร่างบางที่ดิ้นรนในอ้อมแขนของตนสู่อ่างน้ำ
ตู้ม! เสียงร่างกายของจ้าวฟางหลินกระแทกลงในน้ำ ก่อนจะจมลงไปด้านล่าง น้ำในอ่างกระฉอกล้นออกมากว่าครึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะโผล่หน้าขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อสูดอากาศหายใจ
“เจ้า...ไอ้รัชทายาทป่าเถื่อน รังแกแม้กระทั่งสตรี เช่นนั้นไม่เอาอาภรณ์ของข้าไปสวมเสียเลยเล่า”เสียงใสตวาดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด เหลียงเฟิงไห่ยกมือขึ้นชี้หน้าคนในอ่างน้ำ ดวงตาคมจดจ้องดุดัน
“พระชายาระวังปากของเจ้าเอาไว้บ้าง หาไม่แล้วข้าจะทำให้เจ้าไม่อาจเอ่ยวาจาร้ายกาจออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ แล้วถึงเวลานั้นคำว่าป่าเถื่อนที่เจ้ากล่าวอ้าง ก็คงจะเล็กน้อยกับสิ่งที่เจ้าจะต้องเจอ หรือที่ด่าข้าตลอดเวลาเช่นนั้น เพียงเพราะหวังจะได้รับความป่าเถื่อนของข้าเช่นดังยามราตรี”
จ้าวฟางหลินหุบปากลงพร้อมกับพยายามระงับโทสะที่เอ่อล้น ไม่ใช่ว่านางจะยอมแพ้แก่เขา ทว่าตอนนี้ร่างกายนางไม่อาจต่อกรอันใดกับเขาต่อไปได้อีก ร่างอรชรทำได้เพียงแค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตนเองเพียงเท่านั้น เหลียงเฟิงไห่เห็นว่าพระชายาแสนพยศไม่ต่อปากกับเขาแล้วก็ยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจ
“รีบอาบน้ำเสียที่ตำหนักของข้าตั้งสำรับเป็นเวลา หากเลยเวลาแล้วจะไม่มีการนำออกมาจากโรงครัวเป็นอันขาด พระชายาจงรักษาเวลาด้วย หึ!!!”
จ้าวฟางหลินตวัดสายตากลับไปมองใบหน้าสวามีอย่างไม่พอใจอีกครั้งวังรัชทายาทออกจะยิ่งใหญ่แค่เพียงอาหารยังต้องจำกัดกันด้วยหรือ แน่นอนว่านางรู้ดีว่าคนตัวโตตรงหน้าต้องการจะกลั่นแกล้งนาง แต่กลั่นแกล้งด้วยการอดอาหารเช่นนี้ ดูจะเป็นการรังแกคนอย่างโหดเหี้ยมนัก
“เข้าใจหรือไม่” เสียงเข้มถามขึ้นมาอีกหนึ่งคำ ใบหน้าหล่อเหลาแลดูร้ายกาจ
“เข้าใจแล้ว!!! เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปเสียที บุรุษเช่นเจ้าคงไม่นิยมแอบมองสตรีอาบน้ำกระมัง เอ๋...หรือความจริงแล้วเจ้าเป็นพวกบ้าตัณหา แอบดูผู้อื่นอาบน้ำอยู่เป็นนิจ” เสียงใสเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่คนฟังย่อมรู้ดีว่านางกำลังประชดเขาอยู่ องค์รัชทายาทหนุ่มยกมือขึ้นกอดอก และหันหน้าไปหานางคิ้วหนายกขึ้นอย่างท้าทาย
“เจ้าอายหรือ ยังมีสิ่งใดหลงเหลือให้อายอีกเล่า ทุกส่วนในตัวเจ้าข้าล้วนเห็นและสัมผัสมาหมดสิ้น ร่างกายเสมือนเด็กไม่โตมีสิ่งใดน่าดูกัน”
“เจ้า...” จ้าวฟางหลินสูดลมหายใจเข้าปอดจนหน้าอกกระเพื่อม นางเหนื่อยเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับคนหน้าหนาเช่นเขาแล้ว ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้เช่นนั้นลองไม้อ่อนดูบ้างเป็นอย่างไร นางลอบถอนหายใจออกมาเสียงเบา ก่อนจะกระแอมออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดจาเสียงอ่อนหวานอีกประโยค
“ออกไปก่อนได้หรือไม่เพคะ หม่อมฉันขอเวลาส่วนตัวสักครู่ไม่ได้หรือ” สายตาหวานของพระชายาจ้องมองตรงไปยังร่างหนาที่ยืนอยู่กลางห้องอาบน้ำ และยิ่งได้ยินเสียงอ่อนหวานของพระชายาเอ่ยออกมาเช่นนี้ องค์รัชทายาทหนุ่มถึงกับทำอันใดไม่ถูก ร่างหนาสะบัดหน้าเดินออกไปทันที
จ้าวฟางหลินถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย นี่เพียงแค่วันแรกที่ก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทนางยังแทบจะเอาชีวิตไม่รอด และวันต่อไปนางจะต้องทำเช่นไร นางจะอยู่ร่วมกับคนป่าเถื่อนเช่นเหลียงเฟิงไห่ได้จริงหรือ คิดอย่างไรก็คิดไม่ตกจริง ๆ