บทที่ 9
เสียงหวานใสจากในสวนเรียกสติของคนเมาให้ฟื้นคืนมาสักหกส่วน คืนเดือนมืดทำให้หยางเหวินเย่มองเห็นอันใดมิค่อยชัด ทว่าก็ชัดมากพอที่จะมั่นใจได้ว่า นางสวรรค์ที่เขาเคยฝันหาได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแล้ว ความงามของนางล่อหลอกทำให้เขาขาดสติ เหวี่ยงตัวลงจากกำแพงสูง โดยมิกลัวว่าต้องเจ็บตัวเพราะพื้นที่มองไม่เห็น
หยางเหวินเย่รอดจากการกระโดด ทว่ามิรอดจากก้อนหินประดับสวน เขาชนมันและล้มหัวฟาดพื้นเสียเต็มแรง พอได้สติและเริ่มจะขยับตัวไหว นางสวรรค์ก็หายไปเสียแล้ว
เรื่องนี้จะโทษใครมิได้ นอกจากความประมาทของตนเองและสุราเกาเหลียงราคาถูก
คลับคล้ายคลับคลาว่าบ่าวสามคนช่วยประคองกลับเข้าห้องนอน เสียงก่นด่าของท่านพ่อทำให้เขามิอยากจะได้สติ พอเหลือเพียงความเงียบกับกลิ่นหอมที่ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน หยางเหวินเย่จึงทราบทันทีว่ามิได้อยู่ตามลำพัง เขารู้สึกเสียวแปลบยามรองเท้าถูกถอดออกไป ชัดแล้วว่ามิได้บาดเจ็บเพียงแค่บริเวณศีรษะ
พอเจ้าของกลิ่นหอมเคลื่อนตัวมาสัมผัสกับใบหน้า หยางเหวินเย่จึงรีบขัดขวางตามสัญชาตญาณ
‘เถียนเถียนคือภรรยาของท่านพี่’
ที่แท้ก็คือสาวน้อยที่เขามิยอมร่วมหอด้วยเมื่อห้าปีก่อน
นางสวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้า นางคือภรรยาอัปลักษณ์ของเขามิผิดแน่!
“ทำแผลเรียบร้อยแล้ว ท่านพี่อยากจะอาบน้ำไหมเจ้าคะ”
แสงตะเกียงบอกชัดว่านางกำลังยิ้มกว้าง แม้มิได้เห็นหน้า ทว่าดวงตากลมโตของเถียนเถียนสื่อออกมาเช่นนั้น
“ค่อยอาบพรุ่งนี้ นี่เจ้านอนห้องนี้มาตลอดเลยหรือ”
“พรุ่งนี้เถียนเถียนจะย้ายห้อง วันนี้คงต้องรบกวนท่านพี่อีกสักคืน” กล่าวจบนางก็จัดการปูผ้าห่มสำหรับหน้าหนาวลงบนพื้น ลักษณะท่าทางคล่องแคล่วมากกว่าห้าปีก่อนอยู่หลายส่วน
ภาพความทรงจำในวันเข้าหอกระจ่างชัดจนทำให้หยางเหวินเย่ตื่นเต็มตา คราวนั้นเขาเสียใจจนกระทำตัวไร้มารยาท โยนข้าวของบังคับให้สาวน้อยวัยเพียงสิบสี่ปีต้องนอนกับพื้น ทั้งยังกล่าวหาว่านางอัปลักษณ์ด้วยอีกข้อ
ต่อให้มันเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ควรมีมารยาทมากพอที่จะไม่ตอกย้ำนางมิใช่หรือ
ระหว่างเดินทางกลับสู่เมืองเทียนโจว หยางเหวินเย่ภาวนามิให้ภรรยาจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนเข้าหอได้ ทว่าเถียนเถียนกลับยังสวมผ้าคลุมตามที่เขาออกคำสั่งไว้เมื่อห้าปีก่อน
‘เถียนเถียน จากนี้ไปจงปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ทุกครั้งที่ข้าอยู่ด้วย เข้าใจหรือไม่’
นั่นก็แน่ชัดแล้วว่านางมิได้ลืม...
“หลายปีมานี้ เจ้าสบายดีหรือไม่” หยางเหวินเย่ถามพลางลุกขึ้นนั่ง เขาแตะที่ข้อเท้าของตนเบา ๆ มันค่อนข้างจะบวมแดง แต่ก็คงไม่ถึงกับหัก
“ท่านพี่เจ็บข้อเท้าหรือเจ้าคะ”
เจ้าของน้ำเสียงร้อนรนคว้าตะเกียงขยับเข้าใกล้ ดวงตากลมโตวูบไหว แสดงความห่วงใยออกมาอย่างชัดเจน ทว่าสิ่งที่ทำให้คนมองต้องตกตะลึง กลับมิใช่การขยับตัวเข้าใกล้ของภรรยาอัปลักษณ์
ดวงตาสีน้ำผึ้งของนางงดงามยิ่งนัก!
“เล็กน้อยเท่านั้น”
ทว่าเถียนเถียนมิยอมฟัง หายตัวไปเพียงครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถังน้ำสะอาด นางค่อย ๆ ทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง ทั้งข้อเท้าข้างที่เจ็บและไม่เจ็บ ล้วนทะนุถนอมดูแลดีมิต่างกัน
หลังจากนั้นก็ทายาบรรเทาอาการบวมช้ำอย่างเบามือ ลืมนึกไปว่าอาการเจ็บปวดเพียงน้อยนิด คงมิได้ระคายความรู้สึกของท่านแม่ทัพที่ผ่านศึกสงครามมา
“เอาไว้มะรืนนี้ค่อยประคบร้อนเพื่อลดบวม ท่านพี่อดทนหน่อยนะเจ้าคะ”
“มิเจ็บมากนัก...”
“เจ็บน้อย เจ็บมาก ก็คือเจ็บ ท่านพี่พักผ่อนเถิดนะเจ้าคะ เถียนเถียนจะคอยดูแลท่านพี่เอง”
ดวงตาของนางปริ่มคล้ายว่าจะร้องไห้เต็มทีแล้ว ตั้งแต่หยางเหวินเย่เกิดมายังมิเคยได้รับการเอาใจใส่ดูแลเช่นนี้มาก่อน ก็ให้รู้สึกชุ่มฉ่ำในหัวใจมากอยู่เหมือนกัน
ทว่าก็ยังรู้สึกขัดใจที่นางมิใช่หญิงงาม คงจะเติมเต็มความปรารถนาทางกายให้เขามิได้
ต่อให้ดวงตาคู่นั้นจะมีเสน่ห์อย่างมากก็ตามที
“เถียนเถียน”
“เจ้าคะ ท่านพี่” นางรีบผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง หลังจากล้มตัวนอนไปได้เพียงหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที)
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถาม หลายปีมานี้ สบายดีหรือไม่”
“เถียนเถียนสบายดี ท่านพ่อท่านแม่เมตตาข้าและจางฉวนมาก มิต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว”
“จางฉวนคือผู้ใดกัน” หยางเหวินเย่มิเข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องตวัดเสียงใส่นาง โชคดีที่ดับตะเกียงไปแล้ว มิเช่นนั้นภรรยาคงจะคิดไปว่าสามีกำลังแสดงอารมณ์หึงหวงไม่พอใจอยู่
“บ่าวที่อยู่ในกระโจมแม่ทัพกับเถียนเถียนตั้งแต่ต้น ท่านพี่พอจะจำได้หรือไม่” นางกล่าวเสียงใส แสดงออกชัดเจนว่าสนิทสนมกับบ่าวคนที่ว่าค่อนข้างมาก
“จำได้ เจ้านอนเถิด วันพรุ่งนี้เราค่อยสนทนากันต่อ”
