บทที่ 3 เข้าใจผิด
Rr…
“ว่า?”
ผมกรอกน้ำเสียงอย่างปกติเมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใครพร้อมกับยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก็แน่ล่ะตอนนี้เราสองคนเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว ตั้งแต่ไอ้เพื่อนทั้งสามคนมันมีเมียเป็นตัวเป็นตนไปหมด
[ไปฟันสาวกันเปล่าวะ?]
น้ำเสียงที่ค่อนข้างเซงๆ พูดขึ้นเสียงดังที่ปลายสาย
“ที่?”
ไม่ต้องถามว่าผมจะตกลงไปไหมเพราะยังไงก็ไม่พลาดไปกับเพื่อนรักอย่างไอ้รูธทั้งที
ความสนุกรอเพียบแน่
[ไหนก็ได้กูตามใจมึงไอ้แวน]
“มันต้องอย่างนี้สิ ไอ้รูธว่าแต่มึงพึงออกเวรหรือวะ?”
[เออ ก็เลยอยากพักผ่อนบ้างคลายเครียดตามประสาคนโสด]
“หึ... แล้วเจอกัน”
ไม่ต้องพูดกันให้มันมากความเพราะว่าผมเข้าใจที่ไอ้รูธมันพูดดี ผมเข้าไปจัดการอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อออกไปด้านนอกทันทีโดยที่ไม่สนว่าจะเวลาเท่าไหร่
VENDEN: TALK END
เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม ณ คลับแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีผู้คนคับคั่งอย่างล้นหลามจนต้องเบียดเสียดร่างกายเบียดกันอย่างมากมาย
มันค่อนข้างทึบและอึดอัดมากเป็นพิเศษ แบบนี้ฉันไม่ชอบเลยด้วยซ้ำแต่ดันไปรับปากเพื่อนๆ นักดื่มไว้จึงจำเป็นต้องมาโดยที่ไม่เต็มใจสักนิดเดียว
“เอ้าๆ ดื่มๆ ชนๆ”
เสียงของนาเดียร์ดังขึ้นจนถึงขั้นแสบแก้วหูทำไมเสียงถึงกังวานแบบนี้ก็ไม่รู้ทั้งที่คลับแห่งนี้ก็เปิดเพลงดังพอสมควร
“ยกสิยัยนิน ฉันไม่ได้พาแกมานั่งเป็นเจ้าที่ ที่นี่นะเว้ย”
“เออๆ รู้แล้วๆ”
นาเดียร์พูดขึ้นทำให้คนในกลุ่มหันมาจ้องหน้าฉันอย่างเป็นจุดศูนย์รวมจึงทำให้ฉันจำใจยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วไม่รู้ว่าเหล้าที่ดื่มไปมันมีฤทธิ์มากหรือน้อยด้วยซ้ำ
จะเมาตายไหมวะ
ถ้ามีอีกแก้วคงต้องแค่จิบๆ แล้ว
ฉันขอแนะนำตัวเลยแล้วกันว่าฉันชื่อญานินเป็นลูกจ้างประจำร้านเค้กแห่งหนึ่งในเมืองหลวงนี่แหละ
การศึกษาไม่ต้องถามปริญญายังไม่ได้เรียนด้วยซ้ำทั้งๆ ที่อายุย่างเข้าจะยี่สิบสองแล้ว เหตุก็เพราะว่าจนเป็นเหตุผลหลัก ยิ่งในยุคที่ข้าวของแพงแบบนี้เลี้ยงตัวและส่งเงินให้ปู่กับย่าที่อยู่บ้านนอกยังไม่พอใช้เลยด้วยซ้ำ
ถ้ายังเสือกเรียนอีกก็ไม่ต้องมีชีวิตแล้ว
“เออพวกแกฉันขอตัวกลับก่อนนะพรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้าตรู่”
“เดี๋ยวๆ เฮ้ย! ญานิน”
ยังไม่ได้ฟังเสียงของเพื่อนๆ สักนิดฉันก็ลุกขึ้นและก้าวออกมาทั้งที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อซ้ำๆ
แต่ฉันก็ไม่กลับไปแล้วแหละ
ฉันเลือกออกทางด้านหลังร้านทันที ถ้าเกิดว่าฉันหันไปฟังคำพูดของเพื่อน บอกเลยว่าเช้าก็ยังไม่ได้กลับด้วยซ้ำอีกทั้งตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกมึนๆ ยังไงชอบกล
“อ๊ะเบาๆ หน่อยสิคะ น้ำไม่ไหวแล้ว โอ้...แวน..”
เท้าฉันหยุดชักงักทันทีก่อนที่จะมองไปยังหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังซุกไซ้กันอย่างเมามันอยู่ที่กำแพงในมุมมืด
ช่างกล้าเนาะ
“น่าไม่อาย”
ฉันเลือกพูดขึ้นอย่างดังโดยไม่กลัวว่าสองชายหญิงนั้นจะได้ยินจนหยุดกิจกรรมดังกล่าวก่อนที่ฝ่ายหญิงจะมองมาทางฉันด้วยสายตาที่ไม่พอใจเท่าไหร่นัก
ฉันไม่ผิดเพราะถ้าพวกนั้นไม่สนใจคำพูดฉันก็สามารถทำอะไรกันต่อได้อย่างสบาย ฉันก็ไม่ได้เข้าไปดึงหรือผลักพวกเขาสักหน่อย
“ชอบแส่นักหรือคะ?”
ผู้หญิงคนนั้นเดินมาและพูดขึ้น
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะเพียงแต่ไม่อยากเห็นหมาเดือนสิบสองผสมพันธุ์กันเฉยๆ มันเป็นเสนียดสายตา”
“แก แก...”
“เอ๊ะ! จุ๊ๆ อย่ากรี๊ดนะคะเป็นสุภาพสตรีหน่อยเดี๋ยวผู้ชายจะเบื่อเอา”
กึก!
“เธอไม่ผ่านการเป็นผู้หญิงของฉันเสียใจด้วย ฉันไม่ชอบให้คนขัดจังหวะ”
เสียงผู้ชายดังกล่าวเดินเข้ามาทำให้ฉันตะลึงมากยิ่งกว่าเจอดาราที่ว่าหน้าตาดีแล้วนะแต่...
เทียบไม่ได้กับผู้ชายคนนี้
เขาตัวสูงโปร่ง ช่วงขายาวยิ่งกว่านายแบบบางคน ผิวขาวราวหิมะจะเรืองแสงหรือไงพ่อคุณ สีผมสีน้ำตาลตัดสั้นจนเข้ากับรูปใบหน้าหวานแต่นิสัยคงไม่หวานอย่างที่คิดเมื่อเขาปฏิเสธสาวที่ฉันพึ่งด่าไปเมื่อกี้อย่างไร้เยื้อใยสิ้นดีคงเป็น Playboy ตัวพ่อสินะ
