บท
ตั้งค่า

6

“สะเดาะเคราะห์?” ปิ่นมณีทวนคำพูดของเขาเชิงไม่เข้าใจ ย่นคิ้วจ้องใบหน้าที่ครึ้มไปด้วยเคราสีเข้มของเขาเชิงขบคิด

“พอดีว่าจำเป็นต้องไถ่ชีวิตโคกระบือ แต่ช่วงนี้มันขาดตลาด ต้องรอไปสักพัก...” หญิงสาวพยักหน้าเชิงเหมือนจะเข้าใจ

“คุณก็เลย มาไถ่ชีวิตคนไปพลางๆ ก่อนอย่างนั้นเหรอ?” แม้จะยังไม่เข้าใจว่าถึงจะไถ่ชีวิตคน แล้วทำไมต้องเป็นตัวเธอด้วยนั้น แต่เธอก็ขอลองเดาไปก่อน

เกริกหล้าส่ายหน้าทันทีเชิงปฏิเสธ จนเธอแทบจะเอามือเกาศีรษะแกรกๆ

“เขาให้ไถ่โคกระบือก็ต้องโคกระบือ คนไม่ได้” คำอธิบายตามตรงเชิงจริงจังและเชื่อเรื่องพวกนี้แบบอยู่ในสายเลือดของเขา ทำเอาเธอยิ่งงงหนัก

“อ้าว ในเมื่อใช้วิธีไถ่ชีวิตคนไม่ได้แล้วทำไมคุณถึงจับฉันมาล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทำไมต้องเป็นฉัน? ฉันไม่ได้กำลังจะตายซะหน่อย มาไถ่ชีวิตฉันทำไม?” เมื่อได้โอกาสก็รีบรัวคำถาม เพราะยิ่งฟังคำอธิบายของเขา ก็รู้สึกยุ่งเหยิงเสียยิ่งกว่าเส้นผมที่ไม่ได้หวีติดกันมา 10 วันอีก!

“ใจเย็นแม่คุณ” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นเชิงห้าม พร้อมติดไปทางรำคาญเล็กน้อย

“สาบาน ว่าไม่ได้กำลังจะตาย ร้องไห้จนใจจะขาดขนาดนั้น อีกนิดเดียวนี่ตายได้เลยนะ” ปิ่นมณีสะดุดกึก ยิ่งไม่เข้าใจหนักว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร

“และถ้าเป็นคนจริงๆ เขาไม่ไปนั่งร้องไห้กอดขาขอร้องให้ใครอยู่ในชีวิตหรอก โง่เง่าขนาดนั้นไม่น่าจะเรียกคนได้” และประโยคต่อมาของเขาก็ทำเอาเธอถึงบางอ้อ

ดวงตารียาวลุกวาวขึ้นเชิงโกรธและตกใจ

“นี่คุณเห็นฉันตอนนั้นอย่างนั้นเหรอ?”

“คนเขาเห็นกันทั้งบาง ดีนะไม่โดนแอบถ่ายเอาไปประจาน ทำอะไรแล้วไม่คิดหน้าคิดหลังได้ขนาดนั้น ก็ต้องโคกระบือแล้วแหละ” แววตาหม่นของคนที่เหมือนจะเรียบร้อยอ่อนหวาน วาวโรธขึ้นจนเขาเองก็ยังตกใจ

“นี่มันจะมากไปแล้วนะ!” เธอตะโกนออกมาจนก้องไปทั้งห้องโถง มือกำหมัดแน่น

ไม่ใช่แค่โกรธแค่เขา รู้สึกโกรธเหตุการณ์เมื่อวานด้วย และโกรธที่สุดก็คงจะเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เธอตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชขนาดนั้น จนต้องถูกจับตัวมา!

‘แต่เรียนเก่งแค่ไหน...สุดท้ายก็ไปเลือกคณะที่หางานยาก แล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่การงานที่มั่นคงทำได้เลยด้วย คิดผิดจริงๆ ว่ะ ที่ทนคบมาตั้ง 9 ปี!’ ประโยคนี้ก้องสะท้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้งเชิงตอกย้ำ ว่าเธอโง่เง่าแค่ไหน

เธอเจ็บใจที่ทนอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่าของตัวเองมาตั้ง 9 ปี เธอยอมรับว่าตัวเองโง่จริงๆ นั่นแหละ...แต่ก็ไม่อยากจะยอมรับไง!

ยิ่งเขามาตอกย้ำว่าเธอเป็นโคกระบือแบบนี้ มันยิ่งทำให้เธอเจ็บปวด เจ็บแต่จะไม่ทนว้อย!

และเมื่อความโกรธได้เข้าครอบงำ หญิงสาวที่เหมือนจะไม่มีพิษมีภัย ก็มองไปยังแจกันใบขนาดกลางที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง คว้ามันพร้อมหมายจะเขวี้ยงไปใส่ผู้ชายหน้าหนวด ปากเสียที่นั่งอยู่

“อย่าค่ะ อย่า!!!” ผู้มาเห็นเข้าพอดี รีบร้องห้ามพร้อมมายื้อแย่งสิ่งของในมือของเธอเอาไว้ได้ทัน ตามมาติดๆ ด้วยคณะผู้ติดตามของเขา ที่ตกใจกันถ้วนหน้า

เพราะไม่คิดว่าจะมีใครทำแบบนี้กับหัวหน้าตระกูลเจ้าพ่อ

“พวกคุณเป็นใคร อย่าบอกนะ...ว่าเป็นพวกเดียวกับอีตาหน้าหนวดนี่!” เธอถอยหลังอย่างระวังตัวทันที มองไปยังคนทั้งหมดด้วยแววตาที่ไม่ไว้วางใจ

“นั่งลง” เกริกหล้าเอ่ยเสียงเรียบ ดูไม่ทุกข์ร้อนหรือตกใจกับกิริยาของเธอเลยแม้แต่น้อย จนเจนนี่ผู้รีบกอดแจกันไว้ในมือเชิงหวงแหนนั้นประหลาดใจเข้าไปใหญ่

ปกติคนอย่างเจ้านายตนจะต้องควักปืนออกมายิงคนที่มันกำเริบเสิบสานกับตนไปแล้ว แต่นี่อะไรโดนเรียกว่าไอ้หน้าหนวดแถมยังจะทุ่มแจกันใส่ ยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!

“บอกให้นั่งลง” แววตาคมดุวาวโรธขึ้น พร้อมจ้องไปที่ใบหน้าของคนเริ่มสั่น ความโกรธของเธอดูเหมือนจะไม่คงทน...และผ่อนปรนลงมาก

“ฉันจะกลับบ้าน” เธอยืนกราน แม้จะยอมนั่งลงตามที่เขาบอกก็ตาม

“โกรธทำไม” เขาถามสบายๆ พร้อมยืดตัวขึ้น แต่สายตายังไม่ยอมละออกจากใจหน้าของคนที่เริ่มจะหวาดหวั่น เพราะตอนนี้บอดี้การ์ดตัวยักษ์ของเขา เริ่มพากันเดินเข้ามาจนเต็มพื้นที่

“ลองถูกด่าว่าเป็นโคกระบือดูบ้างไหมล่ะ”

“ทีเมื่อวานโดนด่าแสบกว่านี้ ไม่เห็นจะหยิบก้อนหินหรือว่าขี้หมาปาใส่หน้ามันบ้างเลย” หญิงสาวค้อนขวับไปยังเขาทันที ใบหน้าหักพับเข้าพร้อมเม้มริมฝีปาก

“หูดีขนาดนี้ ไม่ใช่น่าหูคน...น่าจะเป็นหูหมามากกว่า”

“คุณพระ!” เจนนี่อุทานเชิงตกใจ พร้อมเอามือปิดปากตัวเองทันที องอาจผู้ตกใจไม่แพ้กันหันไปกระซิบข้างหู

“ตกใจที่เขากล้าด่าท่านใช่มั้ย”

“เปล่า...เมื่อวานพี่ก็ได้ยินชัดแจ๋วเหมือนท่านเลย ก็เลยรู้สึกเจ็บเป็นพิเศษ” องอาจถอนหายใจใส่พร้อมส่ายหน้า และหันไปดูสถานการณ์ต่อ

“ซินแสเชิญทางนี้หน่อย” คนที่ถูกด่ายังคงนิ่งได้ แถมเหมือนมุมปากจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นนิดๆ เชิงไม่ได้ถือสา

ปิ่นมณีหันไปมองยังชายชราผู้มีหนวดยาวเฟื้อยสีเทาอย่างรู้สึกระวัง เมื่อเขาเดินมาตามคำเรียกของผู้ชายหน้าหนวดด้วยทีท่าสงบและเคารพอย่างหาที่สุดไม่ได้

“ครับท่าน”

“ตรวจโหงวเฮ้งผู้หญิงคนนี้ให้หน่อย ชาตินี้จะได้ตายดีมั้ย ถึงฆาตรึยัง” คำตอบของเขาทำเอาแต่ละคนที่ได้ยินต้องพากันกลั้นยิ้ม คงมีแต่หญิงสาวที่ยิ้มไม่ออกกับใครเขา แถมยังทำหน้าหักเข้ากว่าเดิม

“หน้าหนวดไม่พอ ใจยังหนวดอีกนะคุณเนี่ย!” คิ้วเข้มขมวดเข้าอัตโนมัติ เมื่อไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอสื่อ...

“ใจหนวดเป็นยังไง”

“ก็ใจที่มีขนปกคลุมไง!” เธอดูสะใจมากกับคำด่านี้ จนทำให้เขายิ่งงงหนัก

“ไม่เข้าใจอยู่ดี” เขาทำท่าขบคิดหนัก แบบคิดหนักจริงๆ จนเหล่าขบวนติดตามต้องพากันหันไปแอบขำใหญ่

“คืองี้ ปกติคนมีหนวดเนี่ย มันดูสกปรกใช่มั้ย หน้าหนวดๆ มันดูไม่รื่นตา แล้วใจที่หนวดก็เหมือนกันไง มันดูสกปรกเหมือนกัน มันไม่น่าดูอะ ใจมันหยาบ แล้วก็ระคายเคืองไปหมด” คำพยายามอธิบายของเธอ ยิ่งทำให้เจนนี่หัวเราะออกมาดังกว่าใคร จนผู้เป็นเจ้านายยังต้องหันไปมอง

นั่นแหละรายนั้นถึงได้ทำตัวลีบหลบไปยังหลังองอาจ

“อะๆ เข้าใจให้ก็ได้” เขาทำเป็นพยักหน้าไปอย่างนั้นเหมือนยอมเด็กช่างพูด เพราะแท้จริงหากตัดตำแหน่งหน้าที่ออกไป เกริกหล้าก็เป็นผู้ชายอารมณ์ดีคนหนึ่ง ที่แสดงออกไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพพจน์ ให้น่าเกรงขาม

“นี่คุณ อย่าทำเป็นเหมือนสิ่งที่ฉันพูดมันเข้าใจยากได้ปะ ใจหนวดก็คือใจดำ ใจหยาบช้า ระคายเคือง เหมือนเวลาหนวดมาถูแก้มอะไรแบบนี้ไง แล้วมันก็เคืองๆ อ่ะ แสบๆ เจ็บๆ มันเข้าใจยากตรงไหน?” และเธอก็ดึงดันที่จะอธิบาย จนซินแสผู้นิ่งขรึมยังหลุดยิ้มออกมาในที่สุด

“โถแม่คุณ ไม่ยอมใครง่ายๆ ซะด้วย...อธิบายด้วยความซื่อใสอีกนะ” เจนนี่กระซิบองอาจอีกครั้งเชิงเอ็นดู และกลั้นขำ

“ผมว่างานนี้สนุกล่ะพี่” องอาจว่าเชิงชอบใจ ที่ได้เห็นคนมาทำให้เจ้านายของตนมีชีวิตชีวาขึ้นมา แม้จะเชิงปวดหัวหน่อยก็ตาม

“มันไม่ระคายเคืองเสมอไปหรอก มันคันๆ ชวนจักจี้นี่แหละ ไปเจอประสบการณ์แย่ๆ อะไรมา ถึงได้ฝังใจขนาดนั้น” เขาว่าพร้อมลูบหนวดและเคราของตัวเองไปมา เชิงปกป้อง

“ไม่จริง จักจี้ไม่มีหรอก มีแต่เจ็บ ไม่เชื่อก็ลองเอาหนวดถูแขนตัวเองดูสิ”

“เธอนั่นแหละเอาหน้ามา จะลองถูให้ดู ว่าจักจี้มันเป็นยังไง” เขาว่าพร้อมลุกจะยื่นหน้าเข้าไปหาเธอพร้อมหัวเราะไปด้วย แต่นึกขึ้นได้ว่ามีลูกน้องยืนอยู่เต็มห้องโถง...

นั่นแหละถึงได้ชะงักกลางอากาศและถอยกลับไปนั่งที่เดิม แบบไม่ยอมหันไปมองหน้าใคร

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงฉันก็จะกลับบ้านแล้ว กรุณาไปหาโคกระบือมาสะเดาะเคราะห์แทนฉันได้เลย เพราะฉันเป็นคน ไม่ใช่โคกระบือ!”

“ว่าไงซินแส พอจะเอาคนโง่กว่าโคกระบือ มาสะเดาะเคราะห์แทนกันได้หรือเปล่า” เขาทำเป็นไม่สนใจเธอและปรึกษาซินแสเชิงจริงจัง จนฮ้อคงต้องส่ายหน้า

“อันที่จริงมันก็ได้นะ เป็นการช่วยเหลือเหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจ...มันก็อาจจะไม่เป็นผล เพราะการสะเดาะเคราะห์ประเภทการไถ่ชีวิต คือต้องทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น เขาต้องพึงพอใจ เหมือนโคกระบือที่เราเอามาก็จะต้องเลี้ยงอย่างดี จนสิ้นอายุขัยไปเอง” ซินแสว่าไปตามหลักการจนคนรับฟังต้องพยักหน้า

“แล้วโคกระบือที่ว่าขาดตลาด จะถูกส่งมาอีกทีเมื่อไหร่”

“จากที่ดูให้ตอนนี้ เดือนหน้าเลยครับท่าน” ได้ยินดังนั้นปิ่นมณีก็ยิ่งตกใจ เพราะบ้านของเธอเลี้ยงวัวและควายมานาน ไม่เคยเห็นสัตว์จำพวกนี้ขาดตลาดมาก่อน

“ไม่น่าจะทันการณ์ การเจรจานอกรอบกำลังจะมีเร็วๆ นี้ รอไม่ได้หรอก” ทีท่าจริงจังของเกริกหล้า ทำเอาคนที่จะคัดค้านเรื่องโคกระบือขาดตลาดจำต้องยับยั้งพลั้งปากเอาไว้ก่อน

และเขาก็หันมามองหน้าเธออีกครั้ง จนหญิงสาวสะดุ้ง

“ฉันเป็นโคกระบือให้ไม่ได้หรอกนะ ฉันเรียนจบม.ปลายด้วยเกรด 4.00 มหาวิทยาลัยก็เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ฉันไม่ได้โง่นะ ฉันมีการศึกษาและก็ไม่ได้ตกทุกข์ได้ยาก จนถึงขนาดจะต้องได้รับการไถ่ชีวิตช่วยเหลือด้วย”

“อธิบายเก่ง คอนี่ขึ้นเป็นเอ็นเลย...” ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแต่ติดเล่นได้บ่อยหน ว่าพลางส่ายหน้า ยอมใจในความเป็นเธอที่แตกต่างจากที่เขาคาดเดาเอาไว้

“ก็มันจริงนี่ ปล่อยฉันกลับไปได้แล้ว...นะคะซินแส ช่วยพูดกับเจ้านายหน้าหนวดของซินแสให้หน่อยนะคะ” เธอว่าพร้อมยกมือไหว้ท่าน ผู้น่าเคารพและมีเหตุผลที่สุดในที่แห่งนี้แบบพร้อมจะกราบกราน

“กลับไปแล้วจะกลับไปทำอะไร เดินเตะฝุ่นเล่นงี้เหรอ?” คำพูดของเขาทำเอาเธอชะงักการแทบจะกราบกรานซินแสฮ้อคงเอาไว้ก่อน พร้อมหันไปมองหน้าเขาเชิงระวัง

“อย่าบอกนะ...ว่าคุณสืบเรื่องฉันมาหมดแล้วน่ะ?”

“อือฮึ ละเอียดทุกซอกมุม จะให้พูดมุมไหนบ้างล่ะ” ความรู้สึกของการถูกละเมิดสิทธิทำเอาเธอหน้าง้ำเข้า เจนนี่ผู้รู้เรื่องของเธอมาเป็นอย่างดีพร้อมๆ กับทุกคน เพราะก่อนที่เธอจะมาถึงที่นี่เกริกหล้าได้ทำการประชุมให้ทุกคนได้รับทราบเหมือนกับตนแล้ว

“คุณท่านขา...พี่เจนนี่ขออนุญาตพูดกับคุณน้องเขาแทนให้ไหมคะ เพราะว่าเป็นผู้หญิงเหมือนกัน น่าจะคุยกันได้สะดวกกว่า”

“เอาสิ ลองดู เขาน่าจะฟังภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่อง ใช้ล่ามหน่อยก็ดี” คำต่อล้อที่เหมือนจะไม่ยอมเธอของเกริกหล้าทำให้ขนาดทนายที่ว่าตึงยิ่งกว่าซินแสแล้ว ยังต้องหลุดขำออกมา

“นี่คุณ! ว่าฉันเป็นควายเหรอ?”

“เธอสิ ว่าพี่เจนนี่เขาเป็นควาย” เจนนี่หันขวับไปมองยังเจ้านาย เชิงไม่เข้าใจว่าตกลงใครว่าเธอกันแน่

“นี่พี่คิดผิดใช่ไหมคะ ที่ลากตัวเองมาเจ็บเล่นเนี่ย” ปิ่นมณีรีบยกมือไหว้เชิงขอโทษผู้ไม่ได้เกี่ยวข้อง หากเธอจะโกรธใครในที่แห่งนี้เธอขอโกรธคนอย่างเขาคนเดียวก็พอ!

“คืออย่างนี้นะคะคุณน้อง ลองคิดดูให้ดีนะ...ตัดคำว่าโคกระบืออะไรที่ฟังแล้วไม่รื่นหูออกไป คุณน้องก็จะได้พบว่าการโดนไถ่ชีวิตในความหมายของคุณท่านเนี่ย

คือการที่คุณน้องจะได้อยู่อย่างสุขสบายที่นี่ มีห้องสวยๆ อยู่ มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ มีอาหารอร่อยๆ ทุกมื้อ...ยกตัวอย่างเช่นที่ไปชุบตัวมานี่ไงคะ ไม่ชอบเหรอ ไหนๆ ก็ยังหางานใหม่ไม่ได้แล้ว ก็ถือว่าคว้าโอกาสนี้เอาไว้ซะเลย ไม่ดีกว่าเหรอคะ?”

ได้ยินดังนั้นปิ่นมณีก็รีบส่ายหน้า

“แต่แลกกับการไม่มีอิสระ เป็นควายในคอกทองที่ไม่ต่างอะไรกับนกน้อยในกรงทองเลยสักนิด”

“แหมๆ เข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วค่ะ ใครว่าไม่มีอิสระ อยากจะไปเที่ยวไหน อยากจะกินอะไร อยากจะซื้ออะไร ทำได้หมดเลยนะคะ เพราะตามที่ซินแสท่านว่าเลยค่ะ ไถ่ชีวิตคือทำชีวิตให้ดีขึ้น...คุณน้องจะได้รับทุกอย่างที่คุณน้องต้องการและมีความสุขที่สุด เท่าที่จะมีมาในชีวิตเก่าของตัวเองค่ะ นี่ค่ะความหมายมันเป็นแบบนี้...ใช่ไหมคะซินแส!” เจนนี่รีบโบ้ยไปให้คนที่นั่งยิ้มไม่ยอมช่วยพูดเสริมอะไรเลย อย่างเชิงตะคอกเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ว่าอยู่ที่นี่แล้วจะถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว” เมื่อซินแสผู้น่าเคารพได้ว่ามาอย่างนั้น แววตาดื้อรั้นของเธอก็ค่อยๆ ทอแสงอ่อนลง แต่ก็ยังมิวายหันไปมองหน้าคนที่มองจ้องตัวเองอยู่ก่อน

“อือ อยากได้อะไรก็จะให้หมดนั่นแหละ...แม่โคกระบือน้อย” แต่พอเขาตอบมาแบบนั้น เธอก็แทบจะยิงเขี้ยวใส่

“คิดดูให้ดีดีนะคะ โอกาสแบบนี้จะมีอีกเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปทนทำงานประจำให้เขาโขลกสับ ไม่ต้องไปรับงานพิเศษจนไม่มีเวลานอน ที่สำคัญ...มีเงินส่งให้ที่บ้านง่ายๆ ด้วยนะ ขอคุณท่านเลยจ้ะ ท่านให้ได้หมดนั่นแหละ เนอะคุณท่านเนอะ” คนจอมชงผู้คอยเป็นปากให้เกริกหล้ามาเสมอ ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนองอาจต้องแอบยกนิ้วโป้งส่งมาให้

“นี่สืบกันยังไงคะเนี่ย รู้ลึกรู้จริงยิ่งกว่าสำนักข่าวบางสำนักอีก” เธอตอบเสียงอ่อน ใจเริ่มเขวไปมากแล้ว แต่ก็ยังมีทิฐิอยู่

“ตกลงเอาไง สนใจมั้ย...รีบด่วนนะ เพราะมีจำนวนจำกัด” ผู้เป็นใหญ่เอ่ยขึ้นอีกครั้งเชิงเร่ง จนเธอต้องยืดตัวขึ้นเชิงตัดสินใจได้แล้ว

“ก็ได้...ฉันยอมอยู่ที่นี่ก็ได้”

“เย้!!!” เจนนี่ลุกขึ้นกระโดดเชิงดีใจ จนถูกซินแสมองปราม แต่คนที่ทำตัวกระโดกกระเดกมาแต่ไหนรีบวิ่งกลับไปหาองอาจทันที

“ทำไมต้องดีใจขนาดนั้นด้วยพี่” องอาจรีบถามทันทีแบบกระซิบสุดๆ

“ลืมไปแล้วเหรอ ถ้าฉันเจรจางานไหนสำเร็จ...เจ้านายจะได้ให้โบนัสพิเศษเดือนนั้นกับพี่สามเท่าของเงินเดือน” องอาจพยักหน้าพร้อมเอากำปั้นชนกัน เชิงแสดงความยินดี

“แต่คุณต้องห้ามเรียกฉันว่าโคกระบือ หรือใดๆ ที่สื่อว่าฉันโง่อีก”

“ไม่ได้หรอก”

“ถ้าไม่ได้ฉันก็จะไม่อยู่ที่นี่”

“เลือกเอาว่าจะอยู่ดีดีหรือให้จับใส่คอกจริงๆ”

“นี่คุณขู่ฉันเหรอ!”

“จะทำจริงให้ดูด้วย” เท่านั้นแหละคนที่รู้ว่าคนอย่างเขาน่าจะทำได้ทุกอย่าง ดูจากเหล่าลูกน้องและความมีอิทธิพลแล้ว

“ก็ได้ อยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป ฉันก็จะเรียกคุณแบบที่อยากจะเรียกเหมือนกัน”

“เรียกว่า” เสียงเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย จนเธอต้องเผยรอยยิ้มยวนขึ้น

“ไอ้หน้าหนวด!”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel