บทที่ 4 หน้าที่กับความรัก 1.1
ขบวนเกี้ยวจากสำนักราชวังโดยคำสั่งของฮองเฮาจิวหยวนมาหยุดหน้าบ้านจางเฟย โดยมีเจ้าของบ้านมายืนต้อนรับ ก่อนที่จางเฟยจะให้พ่อบ้านหวังไปตามบุตรสาวคนที่สี่มาขึ้นเกี้ยว เพื่อเดินทางไปเมืองหลวง ไปทำหน้าที่พระสนมตามที่ฮองเฮาต้องการ
ภายในห้องส่วนตัวของว่าที่พระสนม จางม่านอวี้กำลังนั่งอยู่หน้ากระจก นางมองดูใบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยความเศร้ามากกว่าความสุขที่ตนเองกำลังจะได้เป็นพระสนม สถานะที่ผู้คนจะยกย่องและให้เกียรติ แต่นางรู้ดีว่า เบื้องหลังของตำแหน่งนี้มีความทุกข์ซ่อนอยู่ พระสนมของฮ่องเต้จูหมิงมีนับร้อย ถูกหมางเมินเกินครึ่ง คนที่ถูกเมินเฉย ฮ่องเต้ไม่ให้ความสนใจก็ไม่ใช่ว่าจะสุขสบาย เพราะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในวัง ข้าทาสบริวารก็ไม่ได้มีมาก มีแค่คนสองคนไว้คอยรับใช้ เรือนที่พักก็ไม่ใช่ว่าจะกว้างใหญ่
ต่างกับพระสนมที่อยู่ในพระเนตรฮ่องเต้ จะได้รับการดูแลอย่างดี สถานที่พักกว้างขวาง มีนางในรับใช้สูงศักดิ์ส่วนตัวหลายคน ทุกอย่างที่พระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ได้รับ ตรงกันข้ามกับพระสนมนอกสายตาอย่างสิ้นเชิง จางม่านอวี้คิดว่า ตนเองก็คงเป็นพระสนมอย่างหลัง ที่จะอยู่นอกพระเนตรฮ่องเต้จูหมิงตลอดกาล ทว่านางกลับมองว่า มันเป็นเรื่องดี เพราะนางเองก็ไม่ต้องการเป็นเมียคนแก่คราวพ่อ นางจะตั้งใจทำงานให้เสร็จสิ้น เพื่อที่ตนจะได้รับอิสระ ไม่ต้องติดอยู่ในกรงทองอันใหญ่โต
“วันนี้คุณหนูสวยจังค่ะ” หลินหลินชมจากใจ
“ข้าไม่สวยมากไปกว่าที่เป็นอยู่หรอกหลินหลิน ที่สวยขึ้นอาจเป็นเพราะชุด เครื่องประดับผมและเครื่องแต่งหน้าที่ช่วยส่งเสริม แล้วข้าก็ไม่อยากสวย ข้าอยากเป็นจางม่านอวี้คนเดิมมากกว่า” จางม่านอวี้เอ่ยเสียงเศร้า “เจ้าให้คนไปดูต้าเหว่ย ได้เรื่องว่าไงบ้าง”
“ข้าให้จ้าเตียวไปดูแล้วเจ้าค่ะ” หลินหลินตอบ สงสารเจ้านายสาวยิ่งนัก
“ต้าเหว่ยคงยังไม่กลับมาแน่ๆ ถ้ามาเขาต้องมาหาข้าเป็นคนแรก”
ว่าที่พระสนมพูดเหมือนรู้ว่า นางจะไม่ได้พบหน้าเพื่อนสนิทก่อนเข้าวัง หลินหลินไม่มีคำใดเอ่ย นอกจากความสงสารที่มีให้จางม่านอวี้จับใจ
“คุณหนูสี่ขอรับ” เสียงเรียกหน้าประตูห้องที่หลินหลินจำได้ดีว่าเป็นเสียงของใคร นางรีบเดินไปเปิดเพื่อฟังข่าวที่ให้ไปไว้วาน
“ได้เรื่องว่าไงจ้าเตียว” หลินหลินถาม
“ท่านรองแม่ทัพยังไม่กลับ” คนถามหน้าเศร้า พยักหน้ารับรู้ ก่อนปิดประตูแล้วเดินกลับมาหาคุณหนูสี่
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านรองแม่ทัพยังไม่กลับเจ้าค่ะ”
เหมือนมีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของจางม่านอวี้ มีไม่กี่คนที่นางอยากล่ำลาก่อนเข้าวัง หนึ่งในบุคคลเหล่านั้นคือ รองแม่ทัพเฉินต้าเหว่ย ทว่าตอนนี้ความหวังของนางคงหมดลงแล้ว เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น
“คุณหนูขอรับ เกี้ยวมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านหวังยืนเรียกคุณหนูสี่หน้าประตูห้อง
หลินหลินประคองจางม่านอวี้ให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่นางจะเดินไปเปิดประตูให้คุณหนูสี่ ที่ต้องบอกว่าหากใครเห็นจางม่านอวี้ตอนนี้ คงรู้ได้ว่า นางรู้สึกอย่างไรกับการไปเป็นพระสนมฮ่องเต้
ขบวนเกี้ยวเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านจางเฟย โดยมีชาวบ้านที่ให้ความสนใจมายืนดูขบวนเกี้ยวที่พวกเขาไม่ได้เห็นกันบ่อยนักด้วยความตื่นเต้น หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า จางม่านอวี้ไม่เหมาะที่เป็นพระสนม เนื่องจากความงามไม่โดดเด่น เนื่องจากทุกคนต่างรู้ดีว่า พระสนมของฮ่องเต้จูหมิงมีความงดงามทั้งสิ้น บางคนมีความงามมากยังไม่เป็นที่พอพระทัย แล้วหน้าตาแบบจางม่านอวี้ ฮ่องเต้คงไม่เหลียวมองแน่นอน ซึ่งจางม่านอวี้ก็หวังว่าให้เป็นเช่นนั้น
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
เฉินต้าเหว่ยควบม้าคู่ใจด้วยใจอันร้อนรน การขี่ม้าครั้งนี้ถือว่าเร็วที่สุดในชีวิต เร็วกว่าตอนออกศึกรบเสียอีก ทว่าความเร็วของม้ายังไม่เพียงพอ เขาอยากให้มันเร็วกว่านี้เพื่อที่จะได้ตามทันขบวนเกี้ยวที่มารับจางม่านอวี้เข้าวัง แต่ความเร็วของม้าทำได้เพียงแค่นี้ ช้ากว่าใจเฉินต้าเหว่ยเป็นร้อยเท่า
ทันทีที่แม่ทัพหนุ่มกลับมาจากส่งสารสำคัญจากต่างเมือง เขาได้รับข่าวร้ายจากบิดาเรื่องจางม่านอวี้ ตอนนั้นเฉินต้าเหว่ยรู้สึกงงงวย ความไม่เข้าใจแฝงในความรู้สึกที่อยู่ๆ จางม่านอวี้ได้เป็นพระสนม นางกำลังจะเป็นของชายอื่น ซึ่งผู้ชายคนนั้นถือว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนทั้งแคว้น รองแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรไม่รู้ที่มาที่ไปของการเข้าวังของนาง ในใจของเขาตอนนี้รู้เพียงว่า ต้องตามนางให้ทัน เขาจึงรีบควบม้าตามขบวนเกี้ยวอย่างไม่ลดละ
ระยะทางจากเมืองหลานหยูไปเมืองหลวงมีระยะทางหลายร้อยลี้ ขบวนเกี้ยวที่มารับจึงใช้ม้าในการลากเกี้ยวแทนคนแบกหาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้การเดินทางเร็วขึ้น เนื่องจากม้าเดินไม่ได้วิ่ง ส่งผลให้แรงอาชาไนยของรองแม่ทัพหนุ่มนำพาเขามาทันขบวนเกี้ยวที่มองเห็นในระยะสายตาเฉินต้าเหว่ยรีบเร่งม้าคู่ใจให้วิ่งเร็วขึ้น เพื่อจะถึงขบวนเกี้ยวเร็วๆ
“ม่านอวี้ จางม่านอวี้”
เฉินต้าเหว่ยตะโกนเรียกแม่นางในดวงใจ หลีกงกงที่มารับตัวว่าที่พระสนมหยุดม้าที่ตนนั่งอยู่ พร้อมกับยกมือให้คนบังคับเกี้ยวหยุดตาม หันมามองต้นเสียงที่ควบม้าเข้ามาใกล้ จางม่านอวี้ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวได้ยินเสียงเรียกชื่อจากน้ำเสียงที่คุ้นหู นางรีบเปิดผ้าม่าน เยี่ยมหน้าออกไปด้านนอก เมื่อเห็นว่าใครควบม้ามาหยุดข้างเกี้ยว นางถึงกับยิ้มทั้งน้ำตา
“ต้าเหว่ย” จางม่านอวี้เรียกชื่อเพื่อนสนิท ยื่นมือออกนอกตัวเกี้ยว เฉินต้าเหว่ยที่รักแม่นางขี้เหล่สุดหัวใจ กำลังจะยื่นมือไปจับเรียวมือสวยของนาง ทว่าเสียงของหลีกงกงได้ห้ามไว้เสียก่อน
“ท่านรองแม่ทัพ ท่านจะทำอย่างนี้ไม่ได้ จางม่านอวี้คือคนของฮ่องเต้ นางคือนางต้องห้าม ชายใดมิอาจต้องตัวได้” หลีกงกงบอกเสียงเรียบ
“ต้าเหว่ยเป็นเพื่อนข้าทำไมจะจับมือข้าไม่ได้ อีกอย่างข้ายังไม่ได้เป็นพระสนม ข้าจับมือเพื่อนข้าได้” จางม่านอวี้รีบพูด
“ข้าขอเวลาชั่วครู่ท่านกงกง ข้าขอกล่าวลานาง”
หลีกงกงมองหน้าเฉินต้าเหว่ยเพียงแวบเดียว ก็บังคับม้าให้ไปอยู่หน้าขบวนเกี้ยว เปิดทางให้แม่ทัพหนุ่มล่ำลาจางม่านอวี้เฉินต้าเหว่ยเดินไปหยุดข้างเกี้ยว มองใบหน้าจางม่านอวี้ที่วันนี้นางสวยกว่าทุกครั้งที่เขาเห็น
“ทำไมข้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน อยู่ๆ เจ้าเป็นพระสนมได้ยังไง”
“เจ้ากลับไปถามท่านพ่อของข้า ท่านพ่อจะตอบคำถามเจ้าเอง” นางตอบกลับ น้ำตาคลอเบ้า คำภาวนาของจางม่านอวี้เป็นผล นางพร่ำขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เจอเขาก่อนเข้าวัง “ทำไมเจ้ามาช้าจัง ข้ารอบอกลาเจ้าหลายวัน วันนี้ข้านึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าเจ้าก่อนเข้าวังเสียอีก ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า”
“ข้าก็ดีใจที่ได้เจอเจ้า เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีก”
หากวันนี้เขาไม่ได้พบหน้าจางม่านอวี้ การพบเจอคงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเขาต้องออกศึกปราบกบฏที่ยังคงก่อความวุ่นวายอยู่เนืองๆ และตอนนี้แคว้นฉานอยู่กำลังขยายอำนาจ คิดการใหญ่ชิงแคว้นจ้านมาเป็นของตัวเอง เฉินต้าเหว่ยในฐานะหนึ่งในรองแม่ทัพใหญ่จึงต้องออกสู้ศึกรักษาบ้านเมือง แล้วคราวนี้คงออกรบนานกว่าทุกครั้ง อาจกินเวลานานครึ่งปี
“เมื่อเจ้าไม่อยู่ ต่อจากนี้ไปข้าคงไม่ได้ทำหมั่นโถวอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะทำให้ใครกิน”
ความเศร้าแฝงอยู่ในดวงตาเฉินต้าเหว่ย ที่ดูดีๆ จะรู้ว่า ความแข็งแกร่งของเขากำลังมลาย แต่ถึงกระนั้นก็มีความรู้สึกที่เรียกว่ารัก เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ความเสียใจรุกเร้าในหัวใจของชายยอดนักรบ
“เจ้าเอาไปให้ข้ากินที่วังสิ ข้าเป็นพระสนมนะไม่ได้ตายจากเจ้าไป เจ้าถึงได้ไปหาไม่ได้”
“ข้าต้องออกศึกเป็นศึกใหญ่ด้วย ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาทำหมั่นโถวให้เจ้ากินเมื่อไหร่” เฉินต้าเหว่ยไม่ละสายตาจากดวงหน้าจางม่านอวี้ “ข้าไม่รู้ว่า อีกนานแค่ไหนจะได้พบเจ้า ข้าคงคิดถึงเจ้ามาก”
ทุกถ้อยคำของเฉินต้าเหว่ย ทำร้ายหัวใจจางม่านอวี้อย่างบอกไม่ถูก เมื่อก่อนนางไม่คิดว่า การจากลาของตนกับเฉินต้าเหว่ยจะนำพาความทุกข์ทรมานใจ ความรู้สึกที่นางมีต่อเขายามออกรบคือความเป็นห่วง แต่ก็มีความเชื่อมั่นว่า เขาต้องกลับมาหาตน นำชัยชนะสู่บ้านเมือง ทว่าการจากลาครั้งนี้ เสมือนมีหนามแหลมคมทิ่มแทงดวงใจ เส้นทางของทั้งสองห่างขึ้นเรื่อยๆ มีกำแพงหลายชั้นกั้นเราสอง ใจหายกับการจากลาครั้งนี้
“ข้าก็คงคิดถึงเจ้าเช่นกัน เสร็จศึกเจ้าต้องรีบไปหาข้านะ ข้าจะรอเจ้า”
“ข้าไปหาเจ้าแน่ ข้าต้องไปหาหัวใจของข้า”
เฉินต้าเหว่ยเปิดเผยความในใจของตนให้จางม่านอวี้รับรู้ แต่ก่อนเขาไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึก เพราะกลัวว่า จางม่านอวี้จะโกรธที่คิดกับนางเกินเพื่อน ทว่าตอนนี้เขาต้องบอกให้นางรับรู้ เขาไม่ล่วงรู้อนาคตว่า การออกศึกครั้งนี้ตนเองจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่ บอกให้นางรู้ตอนนี้ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก
“ท่านรองแม่ทัพ ข้าต้องไปกันแล้ว” เสียงหลีกงกงกล่าวเตือน รองแม่ทัพหนุ่มจึงรีบพูดประโยคต่อมา
“ข้ารักเจ้าจางม่านอวี้ ข้าอยากบอกเจ้านานแล้วแต่ไม่กล้า ถ้าข้าบอกเจ้าเร็วกว่านี้ เจ้าคงไม่ได้เป็นพระสนมฮ่องเต้ แต่เป็นเมียข้าแทน ในเมื่อชะตาฟ้าลิขิตให้เป็นเช่นนี้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ และขอรักเจ้าไปจนตาย”
จางม่านอวี้น้ำตาร่วง ยิ้มทั้งน้ำตา นางดีใจที่ได้ยินคำบอกรักจากปากเฉินต้าเหว่ย ยังรู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา หากเขาเปิดปากบอกรักนางเร็วกว่านี้ นางอาจได้เป็นเมียท่านรองแม่ทัพ หาใช่พระสนมฮ่องเต้ และคงจะมีความสุขมากกว่านี้
“แม่นางจาง เราต้องเร่งเดินทางกันแล้ว” หลีกงกงเตือนอีกรอบ
“ข้าดีใจที่ได้ยินคำนี้ ข้าจะเก็บความรักของเจ้าไว้ในใจข้า ลาก่อนต้าเหว่ย” จางม่านอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าที่ปักเป็นอักษรชื่อยื่นให้เฉินต้าเหว่ย “เก็บมันไว้แทนตัวข้า ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ข้าจะรอเจ้านะต้าเหว่ย รอเจ้าไปหาข้า”
เฉินต้าเหว่ยยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ชั่วขณะที่ยื่นมือไปรับของแทนตัวสาวยอดดวงใจ เกี้ยวม้าได้เคลื่อนตัวเพื่อเดินทางต่อ ปลายนิ้วของทั้งคู่สัมผัสกัน นัยน์ตาสองหนุ่มสาวนิ่งมอง สื่อความหมายของความรู้สึกให้แก่กัน
จางม่านอวี้เป็นฝ่ายละสายตาจากรองแม่ทัพหนุ่ม นางจับผ้าม่านขบวนเกี้ยวให้กลับอยู่ในสภาพเดิม นางนั่งร้องไห้อยู่ภายในเกี้ยวด้วยความรู้สึกเสียใจที่มากกว่าความเสียใจในครั้งใดๆ ของชีวิต นางไม่คิดว่าการล่ำลามันจะเจ็บปวด เจ็บราวกับมีหอกแหลมคมนับหมื่นพุ่งใส่หัวใจ เจ็บกับความโง่ของตัวเองที่ไม่เฉลียวใจสักนิดว่า เฉินต้าเหว่ยคิดกับตัวเองเกินเพื่อน จางม่านอวี้น่าจะคิดได้เพราะหลายครั้งที่รองแม่ทัพหนุ่มเปิดเผยความรู้สึกให้ทราบ แต่เป็นนางเองที่ไม่ทันคิดหรือสังเกตพฤติกรรม แต่พอรู้ทุกอย่างก็สายเกินไป
แม้ว่าขบวนเกี้ยวจะห่างออกไป ทว่ารองแม่ทัพแห่งแคว้นจ้านยังคงอยู่ที่เดิม เขาก้มมองดูผ้าเช็ดหน้าสีหวานที่ปักชื่อจางม่านอวี้ด้วยแววตาเศร้าโศก น้ำตาหยดไหลลงสู่ผ้าเนื้อดีผืนเล็กในมือ ก่อนที่เขาจะพับมันเป็นสี่ทบแล้วนำมันมาแนบตรงหัวใจ
“เจ้าเป็นหญิงเดียวในดวงใจข้า และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป”
เฉินต้าเหว่ยเป็นคนรักมั่น ความรักของเขามีเพียงครั้งเดียว เมื่อรักใครแล้วก็จะรักตลอดไป แม้ว่าจางม่านอวี้จะเป็นของชายอื่นที่สูงศักดิ์ ซึ่งเขามิอาจแย่งนางมาครอบครองได้ ความรักเขาก็มิมีวันเปลี่ยนแปลง รักมั่นดังขุนเขา กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ตราบจนชีวาวาย ความรักจึงมลายจากหัวใจ