บทที่ 2 (1.1)
ตอนเช้าของวันใหม่จวนของจางเฟยมีแขกกลุ่มหนึ่งมาเยือน ซึ่งเจ้าของบ้านต้อนรับขับสู้อย่างดี ก่อนจะพากันเข้าไปนั่งคุยในห้องส่วนตัว เพราะเรื่องที่ทั้งหมดจะสนทนากันนั้นเป็นความลับ
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงรึถางเจียน”
เจ้าบ้านถามถางเจียน ขุนนางฝ่ายในที่กำลังจะส่องสุมอำนาจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอำมาตย์
“มันเป็นวิธีเดียวที่เราจะรู้เขารู้เรา หากเราไม่ส่งคนเข้าไปสอดแนมในวังได้ งานของเราก็จะล้มไม่เป็นท่า” ถางเจียนยกชาขึ้นจิบ ตวัดสายตามองคู่สนทนา “ตอนนี้พระสนมมู่กำลังขยายอำนาจ เราต้องคานอำนาจนางให้ได้ ไม่เช่นนั้นแคว้นจ้านก็คงเหลือแค่ชื่อ และข้าก็ได้ข่าวมาว่า แคว้นเซียงซี่กำลังรวบรวมทหารนับพันนาย มันไม่น่าไว้ใจนะ”
“แต่ข้ากลัวว่า ม่านอวี้จะทำงานนี้ไม่ได้ และไม่คิดว่าฮ่องเต้จะรับนางไว้เป็นสนม”
จางเฟยบอกเรื่องที่ตัวเองเป็นกังวล พระสนมแต่ละคนของฮ่องเต้ เลื่องลือเรื่องความงาม ที่ล้วนแต่เป็นสาวงามจากเมืองต่างๆ รวมทั้งแคว้นใกล้เคียงที่ส่งมากระชับสันติไมตรี จางม่านอวี้มีความงามไม่ถึงครึ่งของเหล่าพระสนม การที่จะให้ฮ่องเต้ชายตาแลและหลงใหล จึงเป็นไปได้ยาก
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอกท่านจางเฟย อย่าลืมสิว่า อำนาจที่แต่งตั้งพระสนมอยู่ในมือใคร” หลี่เซ้าเถียนขุนนางฝ่ายทหารเอ่ยขึ้น “ข้ากับถางเจียนจัดการทุกอย่างไว้แล้ว เหลือเพียงเจ้าไปบอกม่านอวี้เท่านั้น”
“ฮองเฮารู้เรื่องนี้ด้วยรึ” จางเฟยถาม ถางเจียนพยักหน้า
“ฮองเฮาเห็นด้วยที่จะให้ม่านอวี้มาเป็นพระสนม”
“ข้าขอเหตุผลได้หรือไม่ ว่าทำไมฮองเฮาจึงคิดเช่นนั้น”
“ข้าตอบตรงๆ เจ้าอย่างเคืองโกรธข้านะ” ถางเจียนออกตัว และเมื่อจางเฟยพยักหน้า ถางเจียนจึงตอบคำถามของคนต้องการรู้คำตอบ “อย่างที่เรารู้กันว่า ฮ่องเต้จูหมิงหลงใหลอิสตรีที่มีความงดงาม และเมื่อมีพระสนมคนใหม่ที่มีความงามเกินหน้าเกินตาพระสนมมู่ พระสนมมู่ก็จะจัดการให้พ้นทาง กีดกันไม่ให้ฮ่องเต้เข้าใกล้พระสนมคนนั้นๆ ซึ่งพระสนมหลายคนที่ถูกกำจัดเป็นคนของฮองเฮา ฮองเฮาจึงเปลี่ยนแผนใหม่ ให้ส่งพระสนมที่มีหน้าตาไม่ดีเข้าไปอยู่ในวัง เพื่อให้สนมคนนี้ซึ่งก็คือม่านอวี้ เข้าไปดูความเคลื่อนไหวของพระสนมมู่ที่แน่นอนว่า พระสนมมู่ต้องไม่ระแวงม่านอวี้ อาจมองข้ามไปเลยก็ได้ และนั่นก็จะทำให้งานของเราง่ายขึ้น”
พระสนมมู่เซียนเป็นธิดาคนรองของมู่ม้านเชียงแคว้นเซียงซี่ ที่ส่งบุตรสาวมาเป็นบรรณาการแก่ฮ่องเต้จูหมิง ถือเป็นการสวามิภักดิ์แก่แคว้นจ้านไปในที และสงบศึกที่ยืดเยื้อมากกว่าสิบปี ความงดงามของมู่เซียน ต้องตาต้องใจฮ่องเต้จูหมิงตั้งแต่แรกเห็น จนกระทั่งถึงวันนี้ความลุ่มหลงนั้นยังมิจางหาย แล้วยังมีพระโอรสให้ฮ่องเต้จูหมิงหนึ่งคน พระธิดาอีกหนึ่งคน และนั่นทำให้อำนาจของพระสนมมีเพิ่มมากขึ้น ฮองเฮาจิวหยวนจึงต้องคานอำนาจมู่เซียน ด้วยการดึงเหล่าอำมาตย์และขุนนางมาเป็นพวก เพราะหากปล่อยให้มู่เซียนมีอำนาจมากกว่านี้ ต่อไปภายภาคหน้าอาจไม่มีแคว้นจ้าน และตำแหน่งของนางอาจสั่นคลอน
“ม่านอวี้ต้องทำยังไงบ้าง” จางเฟยเอ่ยถามหลังเข้าใจเหตุผล
“ทำตามนี้...”
ถางเจียนบอกเรื่องที่จางม่านอวี้ต้องทำให้จางเฟยรับรู้ จางเฟยมีสีหน้าหนักใจกับเรื่องที่บุตรสาวต้องทำ นั่นไม่ร้ายเท่าเขาจะทำอย่างไรให้จางม่านอวี้ยอมเป็นพระสนมของฮ่องเต้ที่แก่คราวพ่อ
ภายในตลาดในเมืองหลานหยูที่เต็มไปด้วยร้านค้าเต็มสองข้างทาง มีร้านค้าไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านขายของชำและสินค้าอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในอาคารไม้สองชั้นอีกนับสิบร้าน หากเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นท่าเรือ ที่มีระบบขนส่งครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือโดยสาร ท่าเรือเพื่อการค้าขาย
หนึ่งในเรือหลายลำที่แล่นมาจอดเทียบท่า เป็นเรือไม้กลางเก่ากลางใหม่ มีผู้โดยสารมาสามคน และเมื่อเรือจอดสนิท บุรุษทั้งสามได้ก้าวลงมาจากเรือ บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตารูปงาม ท่าทางมีอำนาจวาสนาน่าเกรงขาม ผิวพรรณดูดีราวกับเป็นบุตรคนมีตระกูล ซึ่งก็น่าใช่ ดูได้จากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ต่างกับชาวบ้านทั่วไป เขาสะบัดพัดในมือแล้วโบกเข้าตัวช้าๆ
“เมืองนี้ใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ” องค์รัชทายาทบอกจวนจูเหลียงกับติงเสี่ยว องครักษ์และเป็นเพื่อนรักของตน “เจ้าสองคนอย่าลืมที่ข้าสั่งนะ ห้ามเรียกข้าว่า องค์รัชทายาทเด็ดขาด และให้พูดกับข้าเป็นภาษาชาวบ้านด้วย”
การเดินทางมาต่างเมืองแบบส่วนตัวในครั้งนี้ องค์รัชทายาทไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เขาต้องการท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ เยี่ยงบุคคลธรรมดา หากเขามาในฐานะองค์รัชทายาท การเที่ยวก็จะไม่มีอรรถรส และเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะจะมีเหล่าเจ้าเมืองและขุนนางประจำเมืองนั้นล้อมหน้าล้อมหลัง ซึ่งเขาไม่มีความชอบเลยสักนิดเดียว
บุรุษทั้งสามเดินเข้าไปในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายรองลงมาจากเมืองหลวง ซึ่งของที่ขายก็ไม่ต่างอะไรกับเมืองหลวง หรือเมืองอื่นๆ ที่เขาเคยไป แต่ที่จะต่างก็คงจะเป็นผ้าแพรสินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้ เขายังจำได้ว่า เจ้าเมืองหลานหยูส่งเสื้อคลุมทองคำให้บิดาเป็นของกำนัล บิดาโปรดเสื้อคลุมตัวนั้นมาก มักใส่ว่าราชการบ่อยครั้ง
ระหว่างที่สามหนุ่มกำลังเดินดูข้าวของตามร้านต่างๆ และวิถีชีวิตของชาวบ้าน จางม่านอวี้กับหลินหลิน สาวใช้คนสนิทกำลังเดินอยู่ในตลาด ก่อนจะแวะร้านขายซาลาเปาและหมั่นโถวริมข้างทาง
“คุณหนูสี่รับอะไรดีขอรับ” คนขายถามจางม่านอวี้อย่างคุ้นเคย
“เอาซาลาเปาสามลูก” สั่งเสร็จ จางม่านอวี้ก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ลูกค้านั่ง หลินหลินรินน้ำชาใส่จอก แล้วจัดวางไว้ตรงหน้าเจ้านายสาว
“คุณหนูสั่งมาทำไมตั้งสามลูกเจ้าคะ เรามากันสองคนนะเจ้าคะ คนละลูกก็พอ หรือไม่ก็สั่งซาลาเปาสองลูกกับหมั่นโถวหนึ่งลูกก็ได้เจ้าค่ะ”
“ข้าหิวนี่นา ข้ากินสองลูก เจ้ากินหนึ่งลูกไง แล้วที่ข้าไม่สั่งหมั่นโถว เพราะไม่มีหมั่นโถวที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือต้าเหว่ย ในเมื่อกินแล้วไม่อร่อยข้าจะสั่งมากินทำไม”
การพูดคุยของแม่นางทั้งสองหยุดลง เมื่อคนขายนำซาลาเปาที่สั่งมาให้ สองสาวลงมือกินซาลาเปา ขณะกินอยู่นั้น เสียงเอะอะก็ดังขึ้น ไม่นานนักชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งมาทางร้านขายซาลาเปา พร้อมกับเสียงตะโกนของพ่อค้าขายปลา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยจับขโมยที มันขโมยปลาข้ามา”
จางม่านอวี้หันไปมองต้นเสียง แล้วเห็นชายหนุ่มคนนั้นวิ่งหนีมา นางจึงยื่นขาออกไปตรงทางเดิน หัวขโมยไม่ได้วิ่งดูทางจึงสะดุดขาจางม่านอวี้ล้มหัวคะมำไปวัดพื้น ชาวบ้านที่อยู่ใกล้จึงพากันมารุมล้อมหัวขโมย และจับตัวไว้ องค์รัชทายาทที่ยืนอยู่ใกล้ร้านซาลาเปาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เขาจึงเดินไปยังร้านขายซาลาเปา
“เจ้าฉลาดจังที่ยืนขาไปสกัดหัวขโมย” จางม่านอวี้หันมองเจ้าของเสียงที่เดินมายืนไม่ห่างนัก นางมองหน้าคนแปลกหน้าที่เข้ามาทักทาย
“แน่นอนอยู่แล้ว เมืองนี้ข้าฉลาดที่สุด” นางได้ทีคุยโวตัวเอง พร้อมกับยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
องค์รัชทายาทนิ่งไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของสาวตรงหน้า นางไม่ใช่คนสวยจนต้องเหลียวมอง นางสวยไม่ได้ครึ่งของหญิงสาวที่ตนเคยเห็น นางกำนัลหรือนางในรับใช้บางคนยังสวยกว่านางเสียอีก แต่ที่ทำให้ถึงกับอึ้งคือรอยยิ้มของนางต่างหาก ขณะองค์รัชทายาทเห็นรอยยิ้มนของนาง เขารู้สึกว่าความทุกข์ ความเคร่งเครียดในจิตใจหายฉับพลัน เสมือนมีพลังดึงดูดมหาศาลให้เพ่งมองริมฝีปากคู่นั้นที่กำลังคลี่ยิ้ม เขาอมยิ้มเมื่อเห็นเศษซาลาเปาติดอยู่บนเรียวปากนางแล้วการที่มองเจ้าของรอยยิ้มนานเกินไป ทำให้คนถูกมองเริ่มรู้สึกไม่ดี
“เจ้ามองอะไรข้านานอย่างนี้ หน้าข้ามีอะไรติดอยู่เหรอ”
“ปากเจ้าน่าอร่อยจัง” องค์รัชทายาทตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ
“เจ้าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เจ้าจะมาทำท่าทางทะลึ่งกับข้างั้นหรือ”จางม่านอวี้ยั้วใส่
“เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า ที่ข้าบอกว่าปากเจ้าน่าอร่อย เพราะตอนนี้มีเศษซาลาเปาติดอยู่ตรงปากของเจ้าไงล่ะ” คนได้รับคำตอบอึ้งไป รีบหันไปหาสาวใช้
“จริงเหรอหลินหลิน มีเศษซาลาเปาติดอยู่ที่ปากข้าจริงหรือ”
“จริงเจ้าค่ะคุณหนู” หลินหลินตอบตามจริง จางม่านอวี้รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปาก
“เจ้าไม่ใช่คนเมืองนี้นี่ มาจากไหนล่ะ”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าไม่ใช่คนเมืองนี้” องค์รัชทายาทถาม
“ข้ารู้จักคนเมืองนี้ดี เจ้าไม่ใช่คนเมืองนี้แน่ๆ เจ้าเป็นพ่อค้าต่างเมืองใช่ไหม”
องค์รัชทายาทเลิกคิ้ว นางมองเขาเป็นพ่อค้า รูปร่างหน้าตาเขาออกจะหล่อเหลา แต่งตัวด้วยผ้าแพรชั้นดี นางมองเขาเป็นพ่อค้าได้อย่างไร
“ใช่ ข้าเป็นพ่อค้า” ไหลตามน้ำ “ข้าเอาสินค้ามาลงที่ท่าเรือ ระหว่างรอขนย้ายข้าก็มาเดินเที่ยวในตลาด แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร มาค้าขายหรือว่าอยู่ที่นี่”
“ข้าเป็น...” จางม่านอวี้ยังไม่ทันตอบจบ พ่อบ้านหวังเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ
“คุณหนูสี่ขอรับ คุณท่านให้มาตามคุณหนูไปพบขอรับ” พ่อบ้านหวังทำตามหน้าที่
“ท่านพ่อมีเรื่องด่วนอะไรถึงได้ให้ท่านมาตามข้า” คุณหนูสี่สงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้ครับ คุณหนูรีบไปเถอะครับ ท่าทางท่านจะมีเรื่องสำคัญคุยกับคุณหนู”
“ได้สิ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
จางม่านอวี้ลืมเรื่องตอบคำถามชายแปลกหน้า นางหมุนตัวเดินกลับไปยังบ้านโดยมีหลินหลินกับพ่อบ้านหวังเดินตามไป องค์รัชทายาทไม่ได้รั้งตัวจางม่านอวี้เพื่อหวังคำตอบ เขาสะบัดพัดในมือ โบกเข้าตัวช้าๆ นัยน์ตาสีนิลมองร่างสาวแปลกหน้าที่รู้สึกพอใจตั้งแต่แรกเห็น นางเป็นคนไม่สวยแต่เป็นคนที่มีเสน่ห์เหลือเกิน เขาเองก็ไม่คิดว่า คนอย่างองค์รัชทายาทแห่งแคว้นจ้านที่มีสาวงามล้อมหน้าล้อมหลัง แต่กลับเปิดประตูหัวใจให้สาวคนนี้ เจ้าของรอยยิ้มงดงามดุจแสงจันทร์ที่ส่องสว่างยามราตรี
ความพอใจจะเปลี่ยนเป็นความรักในไม่ช้านี้