ตอนที่ 10 การคาดการณ์ ( รีไรท์ )
ณ เรือนลำลองตำหนักใน
“ เอาล่ะ ต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านหลังใหม่ของพวกเจ้า ขาดเหลือสิ่งใดอย่าได้เกรงใจบอกข้าได้ทุกเมื่อเข้าใจหรือไม่ ”
เฟยหงลูบหัวของเด็กสาวที่อายุราวๆเดียวกันกับลูกสาวของตัวเอง ชายหนุ่มจึงเอ็นดูเสมือนบุตรสาวของตัวเอง
“ ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิ์ทรงมีเมตตาเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมบุญคุณครั้งนี้ตัวข้าหยงมู่และสามีจะไม่มีวันลืม ”
“ เรื่องเล็กน้อย เอาล่ะข้าไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของพวกเจ้าแล้ว..นี่ก็ตกเย็นแล้วข้าจะให้คนนำอาหารมาจัดเตรียมไว้ให้ ”
“ ขอบพระทัยองค์จักรพรรดิ์ โตขึ้นไปข้าจะแต่งงานกับท่าน เพราะท่านช่วยเหลือท่านพ่อท่านแม่ข้า ข้ายินดีมอบความบริสุทธิ์ของข้าให้แก่ท่าน ”
เฟยหงถึงกับสำลักน้ำที่ตัวเองกำลังดื่ม หากให้พูดกันตามตรงแล้ว อายุระหว่างเด็กสาวกับเฟยหง ที่อยู่ภายในร่างของซูเฟยเหยียน ที่อายุราวๆยี่สิบสองยี่สิบสามปี ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและช่วงอายุที่ไม่ห่างกันเกินไปก็ถือเป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้
“ นี่ เจ้าลูกแก่แดดคนนี้พูดอะไรออกมาห้ะ!!! รีบขออภัยองค์จักรพรรดิเร็วเข้า!! ”
หย่งผู่ผู้เป็นบิดาและนางหย่งมู่ผู้เป็นมารดาต่างร้อนรนในความแก่นแก้วของบุตรสาวของตัวเอง
“ ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหาความเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ อีกอย่างหนึ่งนางยังเป็นเด็ก หย่งอี้ เจ้าต้องเชื่อฟังพ่อแม่ห้ามดื้อห้ามซนต้องรู้จักขอบเขตเข้าใจไหม? หากเกิดอะไรขึ้นมาพ่อแม่จะเป็นห่วงเจ้า เพราะเจ้าก็คือดวงใจของพ่อแม่เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่? ”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างว่าง่าย กลับกันหย่งมู่และหย่งผู่ต่างเกิดความรู้สึกแปลกใจอย่างน่าประหลาดราวกับว่าไม่ใช่จักรพรรดิ์คนเดิมที่พวกตนเคยรู้จัก
............................................................
2 วันผ่านไป
ณ ห้องพักขององค์จักรพรรดิ
“ หย่งผู่ เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบไปถึงไหนแล้ว? ได้ความว่ายังไงบ้าง ”
“ เรียนท่านจักรพรรดิ์เอกสารเหล่านี้เป็นหลักฐานในการฉ้อโกงภาษีและมีการคดโกงเงินช่วยเหลือ..ความจริงแล้วเงินเหล่านั้นจำเป็นต้องซื้ออาหารเสื้อผ้าให้กับประชาชนและถูกต้องถูกจัดส่งไปที่ชายแดน แต่ทว่าเงินเหล่านั้นกลับถูกนำไปใช้ไม่ถูกทาง ”
[ ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มาล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น นายท่านจะทำอย่างไรต่อไป เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นไม่ได้เกรงกลัวท่าน แม้ท่านจะเป็นองค์จักรพรรดิ์ก็ตามที ]
“ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน เรื่องแบบนี้ก็มีอยู่ทุกที่สินะ ”
เฟยหงกล่าวพลางพร้อมกับแสดงสีหน้าและแววตาที่ต่างออกไป..
“ ในเมื่อไม่รักตัวกลัวตาย ก็ส่งมือสังหารไปฆ่าปิดปากพวกมันทั้งหมด เรื่องนี้ข้าต้องฝากท่านแล้วหย่งผู่ ”
หย่งมู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างพร้อมกับแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่ก็ไม่ได้กล่าวถามสิ่งใด
“ รับบัญชาพะย่ะค่ะองค์จักรพรรดิ์ ”
หลังจากนั้นหย่งผู่ก็รีบไปดำเนินการในทันที
[ นายท่าน ทำไมอยู่ๆท่านถึงส่งมือสังหารออกไป ทั้งๆที่เพียงแค่ตัวนายท่านเองก็สามารถสังหารพวกนั้นได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ ]
“ ความจริงแล้วข้าก็ไม่อยากใช้วิธีนี้สักเท่าไหร่แต่ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านข้าตรวจสอบเอกสารการเบิกจ่ายงบประมาณเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นการทุจริตเกือบทั้งสิ้น อีกอย่างหนึ่งแผนงานที่ข้าได้มอบหมายก็ต่างเงียบหายไร้วี่แววการรายงาน เพราะแบบนี้ข้าจะทำความสะอาดระบบขุนนางใหม่ทั้งหมด การสอบที่จัดขึ้นข้าจะเป็นคนพิจจารณาด้วยตัวเอง!!!! ”
เฟยหงกำลังคิดวางแผนงานที่เร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือประชาชนของตัวเองเกือบจะเสร็จสิ้นขณะนั้น
“ ออกไปดูเด็กน้อยทั้งสามคนนั้นบ้างดีกว่า ข้าในฐานะอาจารย์ก็จะละทิ้งเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน ”
[ นายท่านแล้วภายในห้องหากเกิดท่านหายไป ]
“ ไม่มีปัญหานั้นอีกต่อไป ซีโร่ตำรายุทธที่ข้าศึกษาไปก่อนหน้านี้เจ้าคงจะจำได้ใช่ไหม? ”
เฟยหงกล่าวขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนจะสร้างร่างแยกของตัวเองขึ้นจากกลุ่มก้อนพลังลมปราณที่ถูกบีบอัดจนมีรูปร่างหน้าตาลักษณะคล้ายกับเฟยหงทุกประการ!!
“ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ข้าสั่งเจ้าห้ามไปไหนนั่งอยู่แต่ในนี้ หากมีใครมารายงานอะไรให้ติดต่อข้ามาทันที ”
ร่างแยกเงาพยักหน้าก่อนที่จะนั่งลงคล้ายกับตรวจเอกสาร
[ นายท่านฉลาดหลักแหลม แต่ท่านอย่าลืมว่าระยะเวลาของร่างแยกมีจำกัด เพียง2ชั่วยามร่างแยกนี้จะเลือนหายไปในทันที เนื่องจากไม่มีพลังหล่อเลี้ยงในการคงสภาพ ]
“ ข้ารู้ เพราะแบบนั้นข้าจะรีบไปรีบกลับ ”
เฟยหงกล่าวตอบซีโร่จบก็ปลอมตัวเป็นจอมยุทธ์พเนจรและหนีออกจากวังมุ่งหน้าเข้าไปในป่าลึกทันที
...............................................................
ณ ตำหนักเทพโอสถ
ผู้อาวุโสทั้งสี่และเจ้าสำนักตำหนักเทพโอสถคนต่างแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
“ เป็นเรื่องจริงอย่างงั้นรึ ที่จักรพรรดิซูเฟยเหยียน ทำลายจุดบ่มเพาะพลังจนไม่สามารถฝึกวรยุทธได้อีกต่อไป หากเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลากเป็นอย่างมากเพราะจักรพรรดิซูเฟยเหยียนไม่สามารถใช้ลมปราณได้ตั้งแต่กำเนิด แล้วมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!! ”
หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย
“ ผู้อาวุโสหนึ่ง เรื่องนี้ข้าว่าเป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะข้าก็เห็นเหตุการณ์นั้นกับตา ถึงมันจะไม่สมเหตุสมผล แต่มันคือเรื่องจริงจักรพรรดิซูเฟยเหยียนมีบางอย่างแปลกไป ”
“ งั้นอย่าบอกนะว่า จักรพรรดิผู้นั้นใช้ลมปราณได้แล้วอีกทั้งยังแข็งแกร่ง หากเป็นแบบนี้มันจะไม่แย่สำหรับเราอย่างงันหรือ? ”
ตึง!!!
เจ้าสำนักเทพโอสถปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมาจนสี่ผู้อาวุโสต่างแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวออกมาจากแรงกดดันนี้
“ ทะ..ท่านเจ้าสำนักโปรดให้อภัย ”
“ พวกเจ้าทั้งหมดเงียบได้แล้ว สิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้ข้าอยากจะให้พวกท่านพิจารณาบางอย่างจากสิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าวต่อไปนี้ ”
เจ้าสำนักเทพโอสถกล่าวจบก็สลายแรงกดดันทั้งหมด ทำให้สี่ผู้อาวุโสต่างหายใจหอบหนัก
“ เชิญท่านเจ้าสำนักว่ามาพวกข้ายินดี วิเคราะห์ให้ได้ข้อกระจ่างในเรื่องที่ท่านสงสัย ”
“ พวกข้ายินดี เชิญท่านเจ้าสำนัก ”
ผู้อาวุโสทั้งสี่คนต่างแสดงทีท่าเกรงกลัวต่อเจ้าสำนักโอสถ แม้ภายนอกจะดูเป็นคนจิตใจดี แต่ลับหลังเป็นพวกเผด็จและมักจะใช้พละกำลังที่เหนือกว่าสะกดข่มคู่ต่อสู้
“ พลังที่ซูเฟยเหยียนใช้ไม่ใช่ลมปราณ แต่คล้ายกับว่าพลังงานธรรมชาติโดยรอบฟังคำสั่งของซูเฟยเหยียน ตรงช่วงหนึ่งเกิดกำแพงลมขึ้น ทั้งๆที่ไม่มีใครในที่นั้นเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาวายุ แต่ลมธรรมชาติกลับกลายเป็นพลังให้กับซูเฟยเหยียน!! ”
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องไปแค่ต้นเรื่องผู้อาวุโสทั้งสี่คนต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ ไม่มีทาง!!! ”
ผู้อาวุโสทั้งสี่กล่าวขึ้นมาพร้อมกัน เจ้าสำนักโอสถเองก็คิดเช่นนั้นในคราแรกแต่ทว่า
“ ข้าก็คิดเหมือนพวกท่าน การควบคุมพลังธรรมชาติไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะทำได้ แต่เส้นลมปราณเป็นพลังที่ใครหลายๆคนต่างมีมาตั้งแต่กำเนิด และต้องผ่านพิธีการปลุกเส้นลมปราณ หลังจากนั้นจึงทำการฝึกฝน เราดึงพลังธรรมชาติมาเสริมการฝึกและเพิ่มระดับพลังของเราได้ แต่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ มนุษย์ไม่มีทางทำแบบนั้นได้แน่ เว้นก็แต่ว่า.. ”
ขณะนั้นเองหนึ่งในผู้อาวุโสก็กล่าวขึ้น
“ ที่ข้าคิดไว้ก็คือ เทพเซียนจำแลงร่างเข้ามาสถิตย์อยู่กับซูเฟยเหยียน หรือไม่ก็จักรพรรดิ์ซูเฟยเหยียนอาจจะไม่ใช่มนุษย์!!! ”
จบตอน