ปล้นจูบ (150%)
“ไอ้คนทุเรศ!” เสียงหวานตวาดแว้ดเข้าให้
“ว้าว...รู้ทันซะด้วยแฮะ ว่าผมหมายความว่ายังไง” พ่อเจ้าประคุณแสร้งอุทานเสียงดังสนั่น อารดาไม่ได้ตอบโต้หากแต่เลือกที่จะเม้มปากแน่น
“ทำไมฉันต้องมาเจออีตานี่ด้วยนะ ให้ตายเถอะ!” หลังจากลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของตัวเองได้สำเร็จ หญิงสาวก็บ่นอุบอย่างหัวเสียสุดๆ
“สงสัยดวงเราจะสมพงศ์กันมั้ง” พ่อคนกวนประสาทเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ ทว่าแววตากลับไหวระริกด้วยความขบขัน ประหนึ่งการต่อปากต่อคำกับเธอเป็นเรื่องน่าอภิรมย์อย่างยิ่งยวด
“เฮอะ…ถึงคราวซวยละสิไม่ว่า” สาวแสบยอกย้อนเสียงขึ้นจมูกอย่างมีอารมณ์เต็มพิกัด จนอยากจะซัดไอ้คนกวนประสาทให้หน้าหงายยิ่งนัก
“ซวยที่ไหนกัน ผมโชคดีจะตาย ที่ได้ ‘จูบแรก’ ของคุณช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนชั่วพวกนั้น” น้ำคำที่หลุดออกมาจากปากหยักทำให้คนฟังหน้าแดงแจ๋
“คุณปล้นจูบฉันต่างหากละ ฉันไม่ได้เต็มใจช่วยคุณเลยสักนิด” อารดาแหงนหน้าเถียงคอเป็นเอ็น
“แล้วคุณอยากได้ ‘จูบ’ เป็นสินน้ำใจไหมล่ะ ผมจะตอบแทนให้ชนิดซาบซ่านถึงทรวงเชียวละ” พ่อตัวโตว่าพลางจงใจทำปากยื่นมาเฉียดเรียวปากอวบอิ่ม ทำเอาหญิงสาวถอยหลังกรูดอย่างตื่นตระหนก เรียกรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากหยักลึก เพราะนึกเอ็นดูในความไร้เดียงสาของคนตัวเล็ก
“ไปตายซะ!” เจ้าของใบหน้าถมึงทึงสาดเสียงกราดเกรี้ยว ปากคอสั่นระริกด้วยความโมโหสุดขีด เธอสมควรจะทำตัวให้สุขุมเยือกเย็น แต่ต้องไม่ใช่ในเวลาที่กำลังสติแตกเช่นนี้!
“โอ๊ะโอ๋…ปากเก่งซะด้วยแฮะ” เดเรคยกมือขึ้นลูบปลายคาง ขณะตอบโต้เสียงกลั้วหัวเราะ แม่สาวตรงหน้าทำให้เขาอารมณ์ดีได้อย่างพิลึก
“ถึงฉันจะดูเป็นผู้หญิงหน้าบ้านๆ ในสายตาคุณ แต่ปากฉันก็ไม่ได้พิการนะยะ แถมมันยังสามารถด่าคุณไปถึงเจ็ดชั่วโคตรเชียวละ” อารดาสวนกลับอย่างไม่กริ่งเกรง
“อื้อหือ…เจ๋งโคตรๆ เลยวุ้ย” ชายหนุ่มลอยหน้าล้อเลียนจนน่าหมั่นไส้
“หลีกไป ฉันจะกลับบ้าน” เสียงหวานขับไล่ด้วยท่าทางขึงขัง ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำท่ายกมือขึ้นเสมอไหล่เป็นเชิงยอมแพ้ ทว่ายังไม่วายส่งน้ำเสียงครื้นเครงตามมายั่วแหย่ให้เธอได้ของขึ้น
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับคุณผู้หญิง” อารดาหันมาค้อนควัก ก่อนจะเชิดหน้าก้าวฉับๆ เดินจากไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังสนั่นของอีกฝ่าย
“ให้มันได้อย่างนี้สิยัยดาด้า รถเสียไม่พอ ยังต้องมาเสียจูบแรกให้ไอ้บ้ากามอีก” หญิงสาวบ่นงึมงำ ขณะสาวเท้าไปข้างหน้าชนิดไม่เหลียวหลัง
“เฮ้…เบบี๋ คุณลืมพาหนะเดินทาง” เสียงทุ้มที่ดังไล่หลังมาทำให้อารดาผ่อนฝีเท้าลง อยากจะทึ้งผมตัวเองแรงๆ หรือไม่ก็กรี๊ดให้ลั่น หากแต่ทำได้เพียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อข่มกลั้นโทสะ ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของร่างสูงสง่าที่เดินตามมา
“รถฉันอยู่ในอู่ซ่อมหน้าปากซอยโน่นย่ะ” หญิงสาวโต้ตอบเสียงแข็ง ก่อนจะกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างเซ็งจับจิต เธอกำลังจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์ชวนปวดหัวอยู่แล้ว แต่เขายังไม่วายรั้งเอาไว้อีก
“ผมหมายถึง…นี่ต่างหากละ” น้ำเสียงครื้นเครงสวนกลับ ขณะชูรองเท้าในมือขึ้น
“เอารองเท้าฉันคืนมา” คนตัวเล็กว่าพลางแบมือไปข้างหน้า
“แหม…ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าซินเดอเรลล่าปี 2014 ไม่สวมรองเท้าแก้วแล้ว แถมยังคิดจะทิ้งรองเท้าตั้งสองข้างให้คนธรรมดาแต่หล่อโคตรอย่างผมไว้ดูต่างหน้าอีกด้วยแฮะ เอ๊ะ…แบบนี้เขาเรียกว่า ‘อ่อย’ หรือเปล่านะ” ท้ายประโยคเหมือนเขาพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ แต่มันช่างแสลงหูคนฟังยิ่งนัก
“หยุดกวนประสาทฉัน แล้วส่งรองเท้ามา มันจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันเสียที” เจ้าของใบหน้าเรียบตึงกดเสียงต่ำคล้ายออกคำสั่งระคนเหน็บแนม ทว่าแทนที่จะโกรธเดเรคกลับคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเย้าอย่างอารมณ์ดีเกินควร
“ชุดสีพาสเทล แต่รองเท้าและจีสตริงสีแดง สรุปว่าคุณ ‘อินดี้’ โคตรๆ ผมนับถือจริงๆ ให้ตายสิ!” วาจาที่หลุดออกมาจากเรียวปากร้ายกาจทำให้อารดาหน้าแดงก่ำ ทั้งโกรธและอับอายระคนกัน
“ไอ้คนกวนประสาท ตายซะเถอะ!” ครั้นตั้งท่าจะกระโจนเข้าไปประทุษร้ายเขาให้สาแก่ใจ เธอกลับต้องเป็นฝ่ายอุทานลั่น เพราะเกิดสะดุดขาตัวเองจนเสียหลักเซถลาไปข้างหน้า เสี้ยววินาทีถัดมาดวงตากลมโตพลันเบิกกว้าง เมื่อริมฝีปากอวบอิ่มประกบเข้ากับเรียวปากร้ายกาจอย่างพอดิบพอดี
‘ปากชนปากมีค่าเท่ากับจูบ ตายแล้วยัยดาด้า!’ แม่สาวซุ่มซ่ามคิดอย่างกระดากอาย ทันทีที่ตั้งสติได้เธอก็รีบดันกายออกจากร่างทรงพลังด้วยกิริยาลนลานจนน่าขัน
“ว้าว…ไม่นึกว่าผู้หญิงหน้าบ้านๆ อย่างคุณจะชอบเป็นฝ่ายจู่โจมแบบนี้”
“อย่ามาปรักปรำฉันนะ มันเป็นอุบัติเหตุต่างหากละ”
“โอเคๆ ผมเข้าใจหรอกน่าว่าคุณอาย แต่คราวหน้าถ้าอยากจะจูบผมก็บอกกันดีๆ ก็ได้เบบี๋ เล่นทีเผลอแบบนี้มันไม่เร้าใจรู้ไหม จูบมันต้องมีอารมณ์ร่วมทั้งสองฝ่ายสิมันถึงจะเจ๋ง” วาจาล้อเลียนทำให้ใบหน้ากระจ่างใสร้อนวาบและมีริ้วแดงๆ แต่งแต้มที่พวงแก้มทั้งสองข้าง
“ไอ้…” ยังไม่ทันที่น้ำคำผรุสวาทจะเล็ดลอดออกมาจากเรียวปากสีกุหลาบ เขาก็โพล่งขึ้นมาดักคอเสียก่อน
“โว้ๆๆ หยุดเลยจ้ะเบบี๋ หุบปากที่คุณใช้ ‘ปล้นจูบ’ ผมด่วนเลย เพราะเมื่อกี้คุณเป็นฝ่ายกระโจนเข้ามาจูบผมเองนะ ฉะนั้นผมจึงไม่ผิด และคุณก็ไม่มีสิทธิ์มาประณามผม” เส้นเอ็นตรงข้างขมับของผู้ที่ถูกใส่ความถึงกับตึงเปรี๊ยะขึ้นมาทันควัน พร้อมกันนั้นดวงตาสีนิลก็ฉายแววกราดเกรี้ยวด้วยแรงอารมณ์เต็มพิกัด
“ถ้าวันนี้ฉันไม่ได้ฆ่าไอ้ผู้ชายเฮงซวยอย่างคุณ อย่ามาเรียกฉันว่าอารดาเลย!” หลังจากประกาศกร้าวเธอก็ปรี่เข้าหาเขาอีกรอบ แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวพ่อคนช่างยั่วหญิงสาวก็ต้องร้องลั่น
“โอ๊ย…เท้าฉัน!” นัยน์ตากลมโตเบนลงไปมองยังเท้าบอบบางของตัวเอง แล้วเบ้หน้านิดๆ ไอ้ตอนที่เมาเดินเท้าเปล่าก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอสร่างเมานี่สิ…มันเจ็บจี๊ดๆ น่าดู
จากนั้นเจ้าของร่างเพรียวระหงก็เดินกะเผลกไปตรงริมถนน แล้วค่อยๆ นั่งลงบนพื้นคอนกรีต เพื่อตรวจดูสภาพความเสียหายของเท้าทั้งสองข้างอย่างไม่นึกอายแต่อย่างใด เพราะในวินาทีนี้คงไม่มีอะไรน่าขายหน้าไปกว่าการทำกระโปรงเปิดจนเขาเห็นจีสตริงสีแดงอีกแล้ว
“เฮ้อ…พยศจนได้เรื่อง” ชายหนุ่มส่ายหัวและบ่นงึมงำคล้ายเอือมระอา ขณะสาวเท้าก้าวเอื่อยๆ ตามเธอมา
จากนั้นเขาก็ทรุดกายลงนั่งต่อหน้าสาวเจ้า วางรองเท้าของเธอลงบนพื้นถนน แล้วถือวิสาสะคว้าหมับเข้าที่ข้อเท้ากลมกลึง
“ไหน ขอผมดูหน่อย” วินาทีถัดมาเดเรคก็นิ่วหน้าและทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจกับอีแค่เห็นแผลเล็กๆ ที่เท้าของผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ด้วย ให้ตายเถอะ!
“ไม่ต้องมายุ่ง ปล่อย!” อารดาร้องลั่น มองเขาตาโตด้วยความตระหนก พลางพยายามชักเท้ากลับ
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า” เสียงขรึมเอ็ดเบาๆ ก่อนจะล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ยี่ห้อดัง
“เฮ้ย…คุณจะทำอะไรน่ะ อย่านะ ปล่อยเท้าฉันเดี๋ยวนี้ ปล่อย!” คนตัวเล็กร้องห้ามปรามเสียงหลง ขณะพยายามตีมืออีกฝ่ายพัลวัน
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกน่า ก็แค่จะปิดปลาสเตอร์ให้” เขาว่าพร้อมกับชูปลาสเตอร์ขึ้น เนื่องจากเมื่อตอนเด็กๆ เดเรคมักจะมีเรื่องชกต่อยและทะเลาะวิวาทเป็นประจำ ซึ่งทุกครั้งก็จะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยื่นปลาสเตอร์ให้ แถมยังบอกให้เขาพกมันติดตัวเอาไว้ จนเมื่อเธอหายไปจากชีวิต ถึงแม้ว่าปัจจุบันเขาจะจำชื่อและหน้าตาของเธอไม่ได้แล้ว แต่เดเรคก็ติดนิสัยพกปลาสเตอร์ไปโดยปริยาย
“นี่คุณ…”
“ใช่ ผมชอบพกปลาสเตอร์ติดตัว แต่อย่าหัวเราะผมเชียวนะ ไม่งั้นคุณโดนจูบจนปากเปื่อยแน่” ในตอนต้นเขาพูดราวกับรู้เท่าทันว่าเธอจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา ตบท้ายด้วยการคาดโทษ จากนั้นเจ้าของใบหน้าแดงก่ำก็ทำทีก้มลงสำรวจแผลตรงเท้าของอีกฝ่ายเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย ที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างเขามีมุมประหลาดเช่นนี้
ส่วนอารดานั้นก็ถึงขั้นอ้าปากค้าง เพราะหนุ่มหล่อตรงหน้าชอบพกปลาสเตอร์เหมือนเธอเปี๊ยบเลย มันเหมือนกันมากจนทำให้เธออดนึกถึงใครบางคนที่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำไม่ได้ ก่อนจะสะบัดศีรษะขับไล่ความฟุ้งซ่าน แล้วพุ่งสายตาสีนิลโฟกัสไปที่ใบหน้าหล่อลากไส้
‘ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายมาดกวนคนนี้จะพกปลาสเตอร์ด้วย น่ารักจังเลย’ ความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในความกร้าวกระด้างนั้นทำให้หญิงสาวเผลอนึกเอ็นดู และแอบอมยิ้มน้อยๆ อย่างไม่รู้ตัว
“ยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้ แอบ ‘คิดลึก’ กับผมอยู่หรือเปล่าเนี่ยยาหยี” เสียงทุ้มนุ่มหูที่เอ่ยสัพยอกอย่างรื่นรมย์ชิดหน้าผากมน ทำให้อารดาตัวเกร็งและหน้าแดงซ่าน พร้อมกันนั้นสติของเธอก็กลับมาอีกครา
“บ้า!” คนโดนล้อค้อนจนตาคว่ำ แล้วก้มหน้างุด
จากนั้นมืออบอุ่นที่สัมผัสบริเวณฝ่าเท้าบอบบางอย่างอ่อนโยนระคนทะนุถนอมก็ทำให้อารดารู้สึกเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สุดท้ายก็เคลิ้มไป
“ถึงแม้จะปิดปลาสเตอร์ตอนแผลไม่สะอาด แต่มันก็ยังดีกว่าที่จะเสี่ยงให้เชื้อโรคเข้าแผลเพิ่มมากขึ้น พอกลับถึงบ้านคุณก็รีบเอามันออก แล้วทำความสะอาดแผลให้ดีก็แล้วกัน อ้อ…และที่สำคัญอย่าลืมทายาด้วยละ” พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ปิดปลาสเตอร์ลงที่แผลของเธอเรียบร้อยแล้ว
“เอ่อ…ขอบคุณนะ” อารดาช้อนดวงตากลมโตขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลา พร้อมกล่าวออกมาอย่างเก้อเขิน ก่อนจะพยุงกายลุกขึ้น ส่วนเขาก็ผุดลุกยืนเต็มความสูง โดยไม่ลืมเกี่ยวรองเท้าสีแดงติดมือขึ้นมาด้วย
“ความจริงแล้วเท้าคุณก็บวมอยู่เหมือนกัน แต่ผมว่าคุณทนใส่รองเท้าไปให้ถึงบ้านก็ดีนะ แผลจะได้ไม่อักเสบเพราะฝืนเดินเท้าเปล่า เอ๊ะ…หรือว่าจะให้ผมอุ้มไปส่งที่บ้าน แต่ผมคิดค่าบริการแพงหน่อยนะยาหยี มันอาจจะเป็นจูบ หรือไม่ก็…” เธอเกือบจะเคลิ้มไปกับความน่ารักและมีน้ำใจของเขาจนตลอดรอดฝั่งอยู่แล้ว ถ้าในตอนท้ายพ่อเจ้าประคุณไม่วายปากเสียชวนหน้ามืดขึ้นมาอีกครา
“พอๆๆ หยุดพล่าม แล้วส่งรองเท้ามาให้ฉันเสียที ถ้าคุณอยากให้ฉันใส่มันกลับบ้านอย่างที่พูดจริงๆ” หญิงสาวพยายามสะกดโทสะอย่างสุดความสามารถ แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนแรกเธอคิดว่าจะไม่สนใจไยดีรองเท้าแล้ว แต่ในเวลานี้อารดากลับต้องการมันมากเหลือเกิน นั่นก็เพราะเธอไม่ต้องการให้เท้าสวยๆ มีรอยราคีมากไปกว่านี้ เธอเป็นห่วงตัวเองหรอกนะ ไม่ใช่เพราะคำพูด ‘เหมือนจะ’ ดูดีแต่สอดไส้ความร้ายกาจของเขา
“โอเค ก็ไม่อยากได้สักหน่อย เพราะผมไม่นิยมใส่รองเท้าผู้หญิงอยู่แล้ว ถ้าช่วยถอดก่อนจะขึ้นเตียงทำกิจกรรมเข้าจังหวะก็ว่าไปอย่าง” เขาพูดพลางยื่นรองเท้าให้
“ฉันคงไม่จำเป็นต้อง ‘ขอบคุณ’ หรอกมั้ง” คนตัวเล็กเอ่ยเสียงขึ้นจมูก ขณะยื่นมือไปกระชากรองเท้าจากเขาอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงยักไหล่เบาๆ
“ไม่เป็นไร เพราะผมก็พอจะเข้าใจว่า ‘เด็ก’ สมัยนี้มักจะไม่ค่อยมีมารยาท” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากพ่อหนุ่มร่างยักษ์ทำให้คนฟังถึงกับหน้าม้าน
“ฉันไม่ใช่เด็ก!” คราวนี้อารดาแผดเสียงเถียงคอเป็นเอ็น เรียกรอยยิ้มขบขันให้ผุดพรายขึ้นที่มุมปากหยัก เดเรคไม่นึกเลยว่าแม่สาว ‘หน่อมแน้ม’ จะร้ายใช่เล่น ดูเหมือนเขาจะประเมินเธอต่ำไปหลายอย่างเลยทีเดียว
“แต่พฤติกรรมของคุณมันบ่งบอกว่ายังเด็ก” พ่อตัวโตพยายามไล่ต้อนให้อารดาจนมุม ยิ่งเห็นเธอออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเขาก็ยิ่งนึกคึกคะนองเป็นเท่าทวี
“เอ๊ะ…คุณนี่มันยังไงนะ กวนประสาทฉันอยู่ได้” คนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘ยังเด็ก’ ชักสีหน้า พร้อมยกมือขึ้นเท้าสะเอว แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้ระบบควบคุมตัวเองของเธอพังยับเยินจนไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว
“เด็กหนอเด็ก เถียงไม่สู้ก็โวยวายซะงั้น” เดเรคว่าอย่างยิ้มๆ แต่กระนั้นก็ยังทำให้อารดากำหมัดตัวสั่นเทิ้ม นึกอยากจะซัดไอ้ผู้ชาย ‘เฮงซวย’ ให้เลือดกลบปากนัก
“สรุปคือ คุณจะยืนลอยหน้ายียวนฉันอยู่แบบนี้ทั้งคืนใช่ไหม” หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างข่มกลั้นอารมณ์เต็มอัตรา หญิงสาวก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าประกายตากลับวาวโรจน์ บ่งบอกให้รู้ว่าเธอพร้อมจะกระโจนเข้าเล่นงานเขาทุกขณะจิต
“แล้วคุณว่าไงล่ะ” คำถามที่ฟังดูใสซื่อราวกับไม่ได้ตั้งใจกวนโมโหนั้น ทำเอาอารดาถึงกับกัดฟันกรอดและหน้ามืดไปวูบหนึ่ง ก่อนจะพยายามอดทนอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ
“ฉันไม่พิสมัยการต่อปากต่อคำกับคนกวนประสาทอย่างคุณ ฉะนั้นทางใครทางมัน โอเค?” ท้ายประโยคเจ้าของใบหน้าเรียบตึงจงใจขึ้นเสียงสูง พลางเชิดหน้าคอแข็ง
“โอเค…ผมไปก่อนนะเด็กน้อย ใจจริงก็อยากจะไปส่งให้ถึงประตูบ้านอยู่หรอก แต่วันนี้มันดึกมากแล้ว แถมผมมีนัดกับสาวสวยเซ็กซี่ซะด้วยสิ อ้อ…ลืมบอกไปอีกอย่าง ปากคุณหวานเป็นบ้า ว่างๆ ผมจะหาเวลาแวะมาจูบใหม่ก็แล้วกันนะ” ท้ายประโยคพ่อหนุ่มขี้เล่นจับจ้องกลีบปากอิ่มที่เขารู้ดีว่าหวานล้ำมากเพียงใด พร้อมหลิ่วตาหว่านเสน่ห์ให้ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋ายิ้มเผล่จากไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนอ้าปากค้าง
“ไอ้คนทุเรศ ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้จอมฉกฉวย ไอ้คนหล่อจอมชีกอ ไปตายซะ!” ครั้นได้สติอารดาก็แผดเสียงด่าทอไล่หลังอย่างคับข้องใจเหลือคณา ก่อนจะยกหลังมือเกลี้ยงเกลาขึ้นถูไถริมฝีปากอวบอิ่มที่โดนเรียวปากร้ายกาจประทับตีตราแรงๆ จนแสบร้อนไปหมด
“ฮึ่ย…ฉันจะถือว่านี่เป็นประสงค์ของพระเจ้าก็แล้วกัน” หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เจ้าของใบหน้างอง้ำก็พยายามคิดบวก เพื่อให้ตัวเองไม่สติแตกมากไปกว่านั้น หากแต่ยังไม่วายก้มลงสวมรองเท้าด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดก่อนจะเดินโขยกเขยกกลับบ้านที่อยู่สุดซอย