บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 แม่ชีนิรนามกับอารามอเทวตา

ตอนที่ 3

แม่ชีนิรนามกับอารามอเทวตา

นอกจากวัดเส้าหลิน ถัดไปอีกสามลูกเป็นที่ตั้งของอารามอเทวตา อารามแห่งนี้ไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาแน่ชัด เนื่องจากที่ผ่านมาอารามแห่งนี้ เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับบู๊ลิ้ม มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้จักอารามแห่งนี้ ลือกันว่าในอารามมีเพียงแม่ชีเก้านางเท่านั้นเอง แต่ด้านพลังยุทธ์ถือว่าสูงสุดยอดยากตอแย โดยเฉพาะวิชาดรรชนีเทวะ กับวิชาเก้าชโลทร (ชโลทร หมายถึงห้วงน้ำ) ที่ผ่านมามีคนฝึกได้เพียงขั้นที่สี่ แต่อานุภาพสูงส่ง หากฝึกสำเร็จถึงขั้นที่เก้า คิดว่าหาคู่มือต่อกรได้ยากยิ่ง

อารามอเทวตา แม้อยู่ห่างออกไปจากวัดเส้าหลินเพียงสามลูก แต่ยี่สิบปีมานี้ไม่เคยข้องแวะไปมาหาสู่กันแม้แต่เพียงครั้งเดียว แม่ชีทุกนางล้วนแต่แต่เก็บตัวอยู่ในอาราม แต่เมื่อสำนักต่าง ๆ เริ่มมีการเคลื่อนไหว อารามแห่งนี้จึงไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน อารามอเทวตามีแม่ชีอาศัยอยู่ด้วยกันเก้านาง ผู้ก่อตั้งอารามนามชิ้วโส่วฉายานางชีเทวราช

ก่อนหน้าที่นางจะปลงผมบวชเป็นชี นางมีอีกฉายาหนึ่ง ชาวยุทธ์เรียกหาว่าเทพธิดาซินแส ด้วยสาเหตุใดยังเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกสำนักอาจารย์อเปหิออกจากสำนัก ตั้งแต่บัดนั้นนางจึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเดิมเคยเป็นคนที่มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน รักษาคุณธรรมเป็นที่รักใคร่ของผู้คน นอกจากนั้นนางยังรอบรู้ในเรื่องของการทำนายทายทัก น้อยครั้งที่นางจะพยากรณ์เรื่องราวผิดพลาด

อาจจะเป็นด้วยเหตุนี้ นางทำนายเรื่องราวหนึ่งคลาดเคลื่อน จนกระทั่งเป็นชนวนเหตุให้เกิดความบาดหมางขึ้น ระหว่างศิษย์ในสำนักและบรรดาชาวยุทธ์ เมื่อนางถูกขับไล่ออกจากสำนัก ได้ก่อความผิดมหันต์ร้ายแรงอีกครั้ง ด้วยการเข่นฆ่าชาวยุทธ์มากมายตายกลาดเกลื่อน นางถูกชาวยุทธ์ตามล่าอยู่หลายปี จึงเร้นกายบนเขาแห่งนี้ และก่อตั้งอารามออกบวชเป็นชี ก่อนปลงผมออกบวชนางลั่นวาจาว่า จะไม่ทำนายทายทัก หรือใช้วิชาความรู้เกี่ยวกับการทำนายอีกต่อไป

เมื่อออกบวชและก่อตั้งอาราม เพื่อเป็นการระบายความแค้น นางจึงตั้งชื่ออารามแห่งนี้ว่า “อเทวตา” ซึ่งความจริงแล้ว “เทวตา”หมายถึงเทพ หรือเทวดาชาวสวรรค์ ซึ่งมีหูทิพย์ ตาทิพย์ เสวยอาหารทิพย์ แท้จริงแล้วควรตั้งชื่อว่าอารามเทวตาน่าจะเหมาะกว่า ซึ่งจะหมายถึงที่อยู่ของชาวสวรรค์หรือเทพ แต่นางถูกชาวยุทธ์เหยียดหยัน จึงตั้งชื่ออารามของนางว่าไม่ใช่ที่อยู่ของชาวสวรรค์ หรือเทพนั่นเอง

ในเมื่อชาวยุทธ์ขับไสไล่ส่งนาง กล่าวหาว่านางเป็นมารยุทธภพ ดังนั้นมารกับเทพย่อมไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน หากชาวยุทธ์ทั้งหลายเป็นเทพ นางเองย่อมเป็นมาร ดังนั้นสถานที่ที่นางอาศัยย่อมไม่ใช่ที่อยู่ของเทพจึงตั้งชื่ออารามว่า อารามอเทวตา และออกกฎว่าห้ามแม่ชีทุกนางออกจากอารามแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งห้ามมิให้ชาวยุทธ์ทุกคนเหยียบย่างเข้าไปในบริเวณอารามอเทวตาเช่นกัน ที่ผ่านมานางรักษากฎนี้อย่างเคร่งครัด

กระทั่งไม่นานมานี้ มีคนของอารามอเทวตาปรากฏตัวขึ้นในยุทธภพ อีกทั้งยังทำร้ายคน นั่นย่อมแสดงว่า นางยอมกลืนน้ำลายตนเองทำลายกฎที่ตนบัญญัติไว้ ด้วยการออกจากอารามที่อยู่บนยอดเขา ซึ่งก่อนหน้านั้นได้เก็บตัวไม่ออกมายุ่งเกี่ยวถึงสิบห้าปีเต็ม หรือว่าการตายของบรรดาชาวยุทธ์ในครั้งนี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของอารามอเทวตาแล้ว

กล่าวย้อนไปครั้งก่อน เหตุการณ์ที่เฮียม่วยแซ่เฟิ่นประมือกับแม่ชีนิรนามนางหนึ่ง ด้วยสาเหตุใดที่นางต้องทำร้ายคนไม่มีผู้ใดทราบ ตอนนั้นเฟิ่นไป่ชิงซึ่งออกมาเดินเล่นพอดี บังเอิญพบเห็นเข้า นางไม่กระจ่างความนัย เห็นว่าคนกำลังถูกทำร้าย มิหนำซ้ำผู้ที่ลงมือยังเป็นผู้ทรงศีลจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ กระทั่งเกิดการต่อสู้กันขึ้นกับแม่ชีนิรนามนางนั้น แต่ทว่าด้วยพลังฝีมือแล้ว เฟิ่นไป่ชิงยังห่างชั้นกว่านางเทียบชั้นไม่ติด แม้นว่าในขณะนั้น แม่ชีนิรนามนางนั้นจะออมมือให้แล้วก็ตาม

เมื่อเฟิ่นมู่เหอพี่ชายของนางตามมา เห็นน้องสาวของตนกำลังต่อสู้กับแม่ชีนิรนามนางนั้น จึงรีบเข้าช่วยเหลืออีกแรง แต่กลับสู้แม่ชี นิรนามนางนั้นมิได้เช่นเดียวกัน เหตุการณ์คับขันเฟิ่นไปชิงจึงงัดวิชาก้นหีบออกมาใช้ เป็นอาวุธลับเข็มโปรยบุปผาร่วง เพื่อข่มขวัญแม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงวิชาอาวุธลับนางยังฝึกได้เพียงสามส่วน แต่ได้ผลแม่ชีนางนั้นชะงักและล่าถอยไป

และนั่นเป็นการสะกิดความสงสัย ให้แก่แม่ชีนิรนามนางนั้น แท้จริงแล้วนางมิได้ล่าถอยไป ดั่งเช่นเฮียม่วยแซ่เฟิ่นเข้าใจ แต่นางแอบสะกดรอยติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆ จวบจนค่ำคืนหนึ่งนางติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่นมาถึงเนินเสือดาว และได้ยินการสนทนาระหว่างเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน

เมื่อทั้งสามจากไปแล้ว นางจึงพบว่านอกจากนางแล้ว สถานที่แห่งนั้นยังมีอาคันตุกะชุดดำอีกผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่ ดังนั้นนางจึงได้ลงมือทดสอบฝีมือของคนชุดดำลึกลับ แต่ด้วยรังสีอำมหิตที่แฝงอยู่ในตัวคนผู้นั้นรุนแรง และดูออกว่าคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือไม่ควรตอแย นางจึงล่าถอย และรีบติดตามเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนไป

ทางด้านอาคันตุกะชุดดำในค่ำคืนนั้น ทราบแต่เพียงว่าผู้ลงมือใช้วิชาดรรชนีเทวะ ซึ่งเป็นวิชาของอารามอเทวตา แต่มิทราบว่าเป็นแม่ชีนางใด ชายลึกลับผู้ไม่เปิดเผยใบหน้า รีบติดตามพี่น้องแซ่เฟิ่นไปห่าง ๆ จุดประสงค์ของมัน นอกจากเบาะแสเกี่ยวกับคัมภีร์สุริยันจันทราแล้ว ยาเก้าพิษกร่อนวิญญาณ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน มอบให้เฟิ่นไป่ชิง มันต้องการได้มาครอบครองเช่นเดียวกัน

จากคำสนทนาที่แอบฟังมา ได้ยินว่าเป็นยาวิเศษแปลกพิสดารหายากในแผ่นดิน ประการอันสำคัญยังเป็นส่วนผสมกับดีงูมรกตเก้าหัว ทั้งที่มันมิทราบว่า ดีงูมรกตเก้าหัวคือสิ่งวิเศษใดก็ตาม แต่มีส่วนช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ์เท่ากับคนฝึกวรยุทธ์ถึงสามสิบปีอีกด้วย เมื่อติดตามถึงโรงเตี๊ยมเห็นเฮียม่วยแซ่เฟิ่นสั่งอาหารรับประทาน แล้วเก็บตัวเข้าห้องพัก มันจึงได้จากไป คิดว่าก่อนสางค่อยย้อนมาดูอีกที

ทางด้านหมู่ตึกกระเรียนฟ้า วันนี้หลิวซุ่นกงกงเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องในหมู่ตึกเข้าปรึกษาหารือตั้งแต่เช้า หมู่ตึกกระเรียนฟ้าสร้างเป็นอาคารสองชั้น กินเนื้อที่มากหลาย มีห้าตึกติดกัน หากมองเข้าไปจากภายนอก จะเห็นหมู่ตึกทั้งห้าหลัง คล้ายนกกระเรียนกำลังกางปีกโบยบิน

ด้านหน้าตึก มีเสาไม้ขนาดใหญ่สองต้น แกะสลักเป็นรูปขาของนกกระเรียน ที่ฐานของเสาสองต้น ยังแกะสลักเป็นอุ้งกรงเล็บของนกกระเรียน หลังคาด้านหน้าสร้างยื่นออกมาเลียนส่วนหัว และปากของนกกระเรียน ตึกที่อยู่ตรงกลางมีชื่อเรียกหาว่าตึกเทพปักษา หลิวซุ่นกงกงพำนักอยู่ภายในตัวตึกนี้ ด้านซ้ายสองหลังคือตึกหกหุน กับตึกเมฆา และสองหลังทางด้านขวา คือตึกอินทรี กับตึกคชสีห์

ห้องโถงด้านหลังตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวแปดเชี้ยะ กว้างสามเชี้ยะครึ่ง สองตัวตั้งต่อติดกัน ปูด้วยผ้าแพรสีแดงเพลิง วางเก้าอี้ไม้จันทน์แดงด้านละสี่ตัว ตรงหัวโต๊ะสองด้าน อีกด้านละตัว รวมแล้วสิบตัวไม่ขาดไม่เกิน ตัวที่อยู่หัวโต๊ะทางทิศเหนือของห้องโถง เป็นไม้จันทน์แดงบุด้วยขนเตียวอ่อนนุ่มนิ่ม(เตียว เป็นสัตว์จำพวกหนู ตัวยาวประมาณสองฟุต ขนยาวราวนิ้วครึ่งอ่อนนุ่มปุกปุย อาศัยอยู่ในป่าทางภาคเหนือ) ผนังทั้งสี่ด้านประดับประดาด้วยภาพวาดต่าง ๆ หลิวกงกงชื่นชอบภาพวาด พร้อมกันนั้น ยังโปรดปรานดนตรีการร่ายรำอีกด้วย

เมื่อจัดแจงโต๊ะเก้าอี้ และสถานที่เรียบร้อยแล้ว เด็กรับใช้หลายคนทยอยยกอาหารรสเลิศ ลำเลียงป้านสุรา ซึ่งภายในบรรจุสุราชั้นยอดอายุเกือบร้อยปีออกมา เมื่อจัดวางแล้วล่าถอยออกจากห้องโถงไปยืนอยู่มุมใกล้ ๆ กัน หลิวซุ่นกงกงเดินนำหน้าขบวนออกมา แล้วนั่งลงตรงเก้าอี้หัวโต๊ะที่บุด้วยขนเตียว ด้านขวานั่งด้วยบุคคลสี่คน เรียงจากหลิวกงกงอันได้แก่ หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย หัวหน้าตึกเมฆาฉีฝ่าน หัวหน้าตึกอินทรีต้าถง และหัวหน้าตึกคชสีห์เกาฉวน ตามลำดับ

ด้านซ้ายของหลิวกงกง นั่งด้วยบุคคลสี่คนเฉกเช่นเดียวกันเรียงจากหลิวกงกง ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบต ต่อด้วยยอดฝีมือจากเผ่าอุยกูร์นามเล่อต้าเต๋อ ถัดไปเป็นยอดฝีมือจากนอกด่านสองคน เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจียจิ้ง ที่หัวโต๊ะทางทิศใต้นั่งไว้ด้วยยอดฝีมือจากอู่เยี่ยว์นามเสิ่นซื่อสูอวี้

หลายเดือนมานี้คนของหลิวซุ่นกงกง ที่ออกไปคอยติดตามหาข่าว ได้ส่งข่าวกลับมา เกี่ยวกับการปรากฏตัวของเฮียม่วยแซ่เฟิ่น กับเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน และคนของอารามอเทวตา รวมทั้งวลีสี่ประโยคที่ปรากฏในยุทธจักร อีกทั้งข่าวที่มีคนตายภายใต้ฝ่ามือลึกลับ ในหมู่บ้านเย้ยอรุณกลางหุบเขา

บนโต๊ะอาหารต่างปรึกษาหารือถึงเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ได้ข้อสรุปว่าให้ทุกฝ่ายแยกย้ายกันทำงาน ต๊กม้อเต็กไต้ซือลามะจากทิเบต กับเสิ่นซื่อสูอวี้คอยติดตามคนของอารามอเทวตา เทวทูตซ้ายขวาเจียฮุย กับเจียจิ้ง ติดตามเฮียม่วยแซ่เฟิ่น หัวหน้าตึกหกหุนอันสุ่ย คอยแกะข่าวของวลีสี่ประโยค หัวหน้าตึกที่เหลืออีกสามคน คอยเสริมประสานสอดรับทั้งนอกใน ส่วนเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน หลิวซุ่นกงกงจะให้เจ้าสำนักต่าง ๆที่ไม่ได้เชิญมาวันนี้ ช่วยเหลืออีกแรง เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว ต่างแยกย้ายกันทำงานในทันที

เชิงเขาทางทิศใต้เป็นที่ราบ อันเป็นสถานที่ตั้งของหมู่บ้านเย้ยอรุณ หมู่บ้านแห่งนี้มีชาวบ้านอาศัยอยู่ราวสามสิบกว่าหลังคาเรือน หลังจากหลายวันก่อน มีคนแปลกหน้าหลายกลุ่มเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้หลังจากนั้นได้ออกจากหมู่บ้านไป ช่วงนี้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นในหมู่บ้านอีก ชาวบ้านจึงใช้ชีวิตกันตามปกติ มิต้องรีบร้อนปิดประตูหน้าต่าง เข้านอนแต่หัวค่ำเหมือนเมื่อก่อนอีก

บ้านหลังหนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าใดนัก ในบ้านอาศัยอยู่เพียงสองคน ป้าหนิวเป็นคนต่างถิ่น อพยพย้ายถิ่นฐานมาเมื่อสิบปีก่อน มาลงหลักปักฐานทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ที่นี้ ในตอนนั้นป้าหนิวหอบหิ้วเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบปีมาด้วยคนหนึ่ง หลังจากนั้นป้าหนิว กับเด็กน้อย ได้อาศัยอยู่บ้านหลังนี้เรื่อยมา ตอนนี้ป้าหนิวอายุล่วงเลยปาเข้าวัยหกสิบเอ็ดปีแล้ว

วันเวลาที่ผ่านไปสิบปี กระทั่งเด็กน้อยเติบใหญ่ อายุย่างสิบห้าปีแล้ว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งกำยำทรงพลัง แขนขายาวมือหยาบใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายได้รูป คิ้วหนาเข้มดกดำ ดวงตาคมกริบเป็นประกาย จมูกโด่งเป็นสันได้รูปรับกับใบหน้า นับว่าเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเลยทีเดียว เสียแต่ว่าอยู่ภายใต้อาภรณ์ที่ค่อนข้างเก่า มีรอยปะชุนอยู่หลายที่ มองดูจนแทบจำสีเดิมของเนื้อผ้ามิได้แล้ว ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยขยันทำงานช่วยป้าหนิวทุกอย่าง ไม่เกียจคร้านดูดาย

ตั้งแต่เด็กป้าหนิว ไม่มีเงินทองพอที่จะส่งเด็กน้อยไปร่ำเรียนเขียนหนังสือ แต่ยังนับว่าโชคดีของเด็กน้อย ซึ่งได้เพื่อนบ้านที่พอรู้หนังสืออยู่บ้าง ช่วยสอนให้เขียนอ่านตัวหนังสือต่าง ๆ ด้วยความมานะผสานกับพรสวรรค์ที่มี เด็กน้อยเรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง อีกทั้งยังมีความจำเป็นเลิศ จวบจนบัดนี้ สามารถอ่านเขียนได้คล่องแคล่วไม่ติดขัดแต่อย่างใด

ตั้งแต่เล็กเด็กน้อยเป็นคนกินจุ ป้าหนิวจึงต้องทำอาหารมากกว่าปกติทุกครั้ง ด้วยสาเหตุนี้เอง เมื่อเจริญวัยทำให้ร่างกายสูงใหญ่กำยำแข็งแรง ผนวกกับตรากตรำทำงานหนัก ทั้งขุดดิน ตักน้ำ ผ่าฟืน หรือแม้แต่ขึ้นเขาหาของป่า ล่าสัตว์ เด็กน้อยล้วนเคยกระทำมาแล้วหมดสิ้น

ตอนนี้โพล้เพล้ใกล้ค่ำ ป้าหนิวส่งเสียงกะโกนเรียกเด็กหนุ่ม หลังจากเข้าครัวปรุงอาหารสามอย่าง กับข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมน้ำแกงที่ป้าหนิว ชอบทำให้เด็กน้อยดื่มกินเป็นประจำ

“เซี่ยวจือ(จือน้อย) ล้างมือเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วมากินข้าวเร็วเข้า น้ำแกงกำลังร้อน ๆ กินอิ่มแล้วจะได้เข้านอนแต่หัวค่ำ ตั่วแป๊ะ(ลุงใหญ่) ที่อยู่บ้านหลังสุดท้าย มาบอกแม่ว่า พรุ่งนี้เช้าไหว้วานให้เจ้า ไปช่วยซ่อมหลังคาให้ท่านหน่อย นอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า”

“ข้าพเจ้าทราบแล้วท่านแม่ ท่านเองมากินพร้อมกับข้าพเจ้าด้วยสิ”

เด็กน้อยมิรอช้า ล้างมือล้างไม้ทำความสะอาดใบหน้าเสร็จ รีบวิ่งเข้าครัว ปากส่งเสียงเรียกป้าหนิว ให้มารับประทานข้าวพร้อมกับตน เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ป้าหนิวรีบตักข้าวสวย ส่งกลิ่นหอมกรุ่น พร้อมกับควันสีขาวลอยอบอวลชวนให้น้ำย่อย ในกระเพาะอาหารทำงาน ป้าหนิวเมื่อตักข้าวสวยให้เด็กน้อยแล้ว รีบนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม รับประทานอาหารเย็น ตามประสาชาวบ้านชนบท

เด็กหนุ่มกินข้าวไปถึงสามชาม หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว มิลืมที่จะทบทวนหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง จึงเป่าตะเกียงน้ำมันสน แล้วรีบล้มตัวลงนอน ก่อนจะหลับใหลไป อดนึกถึงชีวิตตอนวัยเด็กของตนขึ้นมามิได้ ตอนนั้นทราบเพียงว่าเกิดสงครามสู้รบ พอจำความได้ว่า ตนเองอาศัยอยู่กับขบวนชาวบ้าน ที่อพยพหลบหนีสงคราม ในแต่ละวันต้องร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย ๆ ไร้หลักแหล่งแน่นอน จวบจนที่สุด จากการหนีสงครามสู้รบ จึงพลัดหลงกับชาวบ้านขบวนนั้น

ตอนนั้นด้วยวัยเพียงไม่กี่ขวบปี ความหิวโหยจำต้องเก็บเศษอาหารกิน บางวันแม้แต่ข้าวสักครึ่งคำ ยังมิได้ผ่านริมฝีปากซูบซีดอิดโรย น้ำแม้หยดมิได้ไหลผ่านลำคออันแห้งผาก บางครั้งเดินผ่านป่าเขาลำเนาไพร ท่องไปตามยถากรรม กระทั่งได้มาพบกับป้าหนิว ซึ่งอพยพหนีภัยสงครามเช่นเดียวกัน เมื่อป้าหนิวพบเห็นเด็กน้อยตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตร ด้วยความเวทนาสงสาร จึงหอบหิ้วเด็กน้อยมาอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้

สิ่งของมีค่าที่พอมีติดตัว เหลือเพียงชิ้นเดียว นั่นคือหยกเหินลมชิ้นหนึ่ง สลักอักษรคำเดียวเอาไว้ ตอนแรกเด็กน้อยไม่ทราบว่า อักษรที่สลักบนหยกอ่านว่ากระไร เมื่อได้ร่ำเรียนเขียนตัวหนังสือ จึงได้ทราบว่า อักษรที่สลักอยู่บนหยกที่ตนพกพาติดตัว คือคำว่า “จ้าว” นั้นเอง

ตั้งแต่คราแรกที่พบพานกับป้าหนิว ในขณะนั้นเด็กน้อยยังไม่ทราบว่า ตนเองมีชื่อแซ่ว่ากระไร ดังนั้นป้าหนิว จึงตั้งชื่อให้กับเด็กน้อยว่า “จ่านจือ” แต่ส่วนใหญ่แล้ว ป้าหนิวมักจะติดปาก เรียกหาเขาว่าจือน้อยเสียมากกว่า ภายหลังเมื่อทราบว่า บนหยกสลักคำว่า “จ้าว” เอาไว้ ป้าหนิวจึงคิดว่า อักษรคำนั้นน่าจะมีความสำคัญกับเด็กน้อย จึงใช้ตั้งเป็นแซ่ให้กับเขา ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เด็กน้อยจึงใช้ชื่อจ้าวจ่านจือมาโดยตลอด ส่วนหยกเหินลมชิ้นนั้น เก็บไว้ไม่ห่างตัว ผ่านไปไม่เท่าใดนัก เด็กน้อยผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

หมู่บ้านเย้ยอรุณเชิงเขา วันนี้มีชายแปลกหน้าพกพากระบี่เข้ามาสามคน ดูท่าทางพวกมันไม่ใช่คนดีกระไรนัก ทั้งสามคนเหมือนกับกำลังค้นหากระไรบางอย่าง เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน ต่างรื้อค้นตามซอกมุม ต่าง ๆ คอกสัตว์ รวมทั้งบ้านทุกหลังของชาวบ้าน ใครขัดขวางพวกมันทุบตีทำร้าย ชาวบ้านหลายคน ถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ ป้าหนิวเห็นเพื่อนบ้านถูกทำร้าย รีบเข้าไปหมายช่วยเหลือ จนกระทั่งถูกคนหนึ่งในสามคน ใช้หมัดต่อยเข้าใส่ที่ท้องน้อย จนล้มไปกองอยู่กับพื้น

ช่วงเวลานั้น จ่านจือกลับมาจากไปช่วยซ่อมหลังคา ให้เพื่อนบ้านพอดี ระหว่างทางเขายังแวะเก็บฟืนติดไม้ติดมือมาให้ป้าหนิว ใช้เป็นเชื้อเพลิง สำหรับทำกับข้าวอีกด้วย เมื่อเห็นป้าหนิวแม่บุญธรรม ถูกทำร้ายกองอยู่กับพื้น เขารีบโยนมัดฟืนทิ้งโดยพลัน กระโจนเข้าประคองร่างป้าหนิว ด้วยความเป็นห่วง คนที่ต่อยป้าหนิวเมื่อครู่ เห็นเช่นนั้น ตรงเข้ามา พร้อมกับยกเท้าขวาเตะประเคนเข้าใส่ ร่างจ่านจือเต็มแรง

เสียงทึบดังหนัก ๆ เมื่อเท้าของคนผู้นั้นเตะโดนที่สีข้างของจ่านจือ ส่งผลให้ร่างของเขา เซถลากระเด็นไปตามแรง รู้สึกเจ็บแสบปวดร้อน ตรงตำแหน่งที่โดนเตะเมื่อครู่ จ่านจือถึงแม้เจ็บปวดเพียงใด กลับไม่ยอมปล่อยให้ป้าหนิว ถูกทำร้ายอีก พุ่งตรงเข้าไปใช้สองแขน กอดป้าหนิวเอาไว้แนบแน่น พร้อมกับใช้ร่างของตนเอง ปิดป้องกั้นร่างของป้าหนิวเอาไว้ ชายคนเดิมเตะซ้ำเข้ามาอีกสองเท้าติดกัน จ่านจือรีบเบี่ยงตัวเอาร่างรับสองเท้าเอาไว้ กลัวว่าจะโดนป้าหนิว แม่บุญธรรมของเขา

มาตรว่ารู้สึกเจ็บแสบปวดร้อนสักปานใด จ่านจือมิยอมเปล่งเสียงร้องออกมาจากปากแม้ครึ่งคำ เพียงกัดฟันกรอดข่มความเจ็บปวดเอาไว้ คิดเพียงอย่างเดียวว่า ป้าหนิวแม่บุญธรรมเป็นญาติสนิทเพียงผู้เดียวที่หลงเหลืออยู่ ที่ผ่านมาเรื่องราวเล็กน้อยหรือใหญ่โตปานใด

ป้าหนิวมิเคยดุด่าว่าตนแม้แต่น้อย ท่านทั้งรักทั้งเอ็นดูตนดั่งลูกแท้ ๆ ตอนที่มองเห็นคนผู้นั้น ต่อยป้าหนิวล้มลง หัวใจของจ่านจือคล้ายถูกคมมีดกรีดใส่ รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเหลือประมาณ ตนยอมตายเสียยังดีกว่า ที่จะยอมให้ผู้ใด มาทำร้ายแม่บุญธรรม

ป้าหนิว ร่างครึ่งนั่งครึ่งนอน อยู่ในอ้อมกอดของเขา ท่านเห็นจ่านจือ เอาร่างรับเท้าของคนผู้นั้นเอาไว้ เพื่อมิให้ตนเองถูกทำร้าย ความกตัญญูรู้คุณ ที่จ่านจือแสดงออกมา ทำให้ท่านลืมความเจ็บปวดที่ท้องน้อยจนหมดสิ้น รู้สึกปลาบปลื้มยินดี และตื้นตันใจเหลือประมาณ มิเสียแรง ที่เลี้ยงดูจ่านจือมาสิบกว่าปี เพียงเท่านี้ ป้าหนิวรับรู้ถึงความรักความกตัญญูของเขา ที่มีต่อตน

ป้าหนิวเอง รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวใจไม่แตกต่างจากจ่านจือ เมื่อเห็นเขาถูกทำร้าย ตั้งแต่เล็กมาท่านไม่เคยตีจ่านจือแม้เพียงครั้ง ทุกคราที่ท่านเห็นเด็กน้อย ออกไปเล่นซุกซนได้บาดแผลกลับมา ป้าหนิวจะรีบหาหยูกยา มาทารักษาบาดแผลให้ โดยไม่เคยดุด่าว่ากล่าว

สองคนที่อยู่ห่างออกไป เดินเข้ามาสมทบ พร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ในมือไปมา หนึ่งในสองคนที่เดินเข้ามาใหม่ กล่าวกับคนที่ลงมือเตะจ่านจือว่า

“เจ้าโง่ มัวชักช้าเสียเวลา รีบจัดการเจ้าโสโครกนั้นเร็วเข้า ส่วนอีกคนเป็นแค่หญิงชาวบ้าน คิดกระไรให้มากความ ยังมีอีกหลายหลัง ที่เรายังมิได้ค้นหา เจ้าจัดการหญิงชราผู้นั้น เดี๋ยวพวกข้าสองคนจัดการเด็กน้อยโสโครกนี้เอง”

กล่าวจบ คนผู้นั้นตรงเข้าคว้าตัวป้าหนิวเอาไว้ อีกสองคนตรงเข้าคว้าจับแขนสองข้างของจ่านจือ ที่โอบกอดป้าหนิวอยู่มิยอมปล่อย เมื่อเห็นเขามิยอมปล่อยมือ ที่กอดร่างป้าหนิวเอาไว้ หนึ่งในสองคน จึงใช้หมัดขวา ต่อยเข้าใส่ใบหน้าของจ่านจือเต็มแรง และเป็นช่วงจังหวะที่อีกคนหนึ่ง ออกแรงกระชากแขนของเขา ทำให้ร่างของจ่านจือ กับป้าหนิว แยกออกจากกันในทันที

คนผู้นั้น เมื่อกระชากร่างจ่านจือมา มิรอช้ายกเข่ากระทุ้งเข้าใส่ที่ท้องน้อยของเขา เสียงทึบหนัก ๆ เมื่อเข่าของคนผู้นั้น สัมผัสกับท้องน้อยของเขา จ่านจืองอร่างลงตามแรงกระทุ้ง มีความรู้สึกว่า อาหาร และน้ำย่อย ในกระเพาะ และลำไส้ จะพุ่งทะลักย้อนกลับออกมาก็มิปาน แต่ถึงจะเจ็บปวดสักปานใด จ่านจือกลับมิสนใจ เป็นห่วงเพียงแต่ป้าหนิวแม่บุญธรรมเท่านั้น

คนที่ดึงร่างของป้าหนิวไป ยกฝ่ามือซ้ายที่ไม่มีกระบี่ ตบเข้าที่กกหูของป้าหนิวดังเพี๊ยะ จนร่างของป้าหนิว เซถลาไปด้านข้าง จ่านจือเห็นเช่นนั้น รู้สึกปวดร้าวใจสุดทนทาน ในช่วงเวลานั้น ไม่คิดกระไรอีกแล้วนอกจากจะช่วยแม่บุญธรรม จึงรวบรวมพละกำลังทั้งหมด สลัดหลุดจากคนทั้งสอง พุ่งร่างเข้าหาคนที่ใช้ฝ่ามือตบป้าหนิว แล้วใช้สองมือผลักคนผู้นั้น จนร่างมันเซถอยไปสองสามก้าว

“เด็กน้อยโสโครก สมควรตาย เจ้าอย่าอยู่เลย!”

คนผู้ที่ถูกจ่านจือ ใช้สองฝ่ามือผลักเซไปเมื่อครู่ ตะโกนขึ้น พร้อมกับเสือกกระบี่ในมือ แทงพุ่งตรงเข้าใส่ร่างเขา เวลานั้นจ่านจือเองทำกระไรไม่ถูก ปลายกระบี่อยู่พ้นร่าง ห่างไม่ถึงสามฝ่ามือ

“สวบ โอ๊ย!”

เสียงคมกระบี่ชำแรกผ่านผิวเนื้อ พร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยากบรรยาย ปลายกระบี่จมลึกทะลุเข้าไปเหนือลิ้นปี่ เกือบครึ่งเล่ม โลหิตสีแดงสด พุ่งกระฉูดสวนทางคมกระบี่ออกมา ร่างของผู้ที่ถูกแทง สั่นระริกรัวค่อย ๆ ทรุดตัวลงกับพื้น ปากพยายามส่งเสียง

“เซี่ยวจือ รีบหนีไปลูก ไม่ต้องห่วงมารดา หนีไปเร็วเข้าลูกแม่”

เป็นเสียงของป้าหนิว ท่านบอกให้จ่านจือรีบหนีไป ในจังหวะที่คนผู้นั้น แทงกระบี่ใส่ร่างของเขา เมื่อท่านเห็นจ่านจือยืนทำกระไรไม่ถูก ก่อนที่ปลายกระบี่ จะบรรลุถึงร่างของเขา ท่านอาศัยพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด พุ่งตรงไปใช้สองมือผลักร่างจ่านจือห่างออกมา พร้อมกับใช้ร่างของตนเอง เข้ารับกระบี่แทน

จ่านจือเห็นร่างป้าหนิว ทรุดลงกับพื้น พร้อมกับโลหิตไหลทะลักออกมาดั่งน้ำพุ น้ำตาลูกผู้ชายแตกพรั่งพรู จนนองใบหน้า แทนที่จ่านจือ จะวิ่งหนีไป ตามคำบอกของป้าหนิว เขากลับวิ่งเข้าไปหาป้าหนิว ปากส่งเสียงร่ำร้องวุ่นวาย

“ท่านแม่ ข้าพเจ้าไม่หนี ท่านแม่อย่าตายนะ ข้าพเจ้าจะช่วยท่านแม่ หากต้องตาย ข้าพเจ้าขอตายพร้อมกับท่านแม่”

คนที่ใช้กระบี่แทงป้าหนิวเมื่อครู่ เงื้อกระบี่ตรงเข้าหาจ่านจืออีกครั้ง ป้าหนิวรวบรวมกำลัง คว้าสองขาของคนผู้นั้นไว้ พร้อมกะโกนต่อจ่านจือด้วยน้ำตาว่า

“เซี่ยวจือหนีไป อย่าได้ห่วงมารดา มารดาแก่แล้ว ตายไปไม่เสียดาย เจ้าหนีไปเร็วเข้า”

ป้าหนิวเลี้ยงจ่านจือมา รักและเอ็นดูทะนุถนอมเหมือนลูกในไส้ ครั้งนี้รู้แน่ว่า ไม่อาจรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ปากส่งเสียงให้เขารีบหนีไป เด็กหนุ่มน้ำตาไหลหลั่งเป็นทาง ด้วยความสงสารป้าหนิว ปากยังเสียงต่อ ป้าหนิวว่า

“ท่านแม่ ข้าพเจ้าจะไม่ไปไหน ข้าพเจ้าจะตายกับท่านแม่ ไม่มีท่านแม่แล้ว ข้าพเจ้าจะอยู่ได้เช่นไร?”

ทั้งน้ำตานองหน้า จ่านจือโผเข้าหาร่าง ที่ชุ่มไปด้วยโลหิตของแม่บุญธรรม คนผู้นั้นถูกป้าหนิวใช้สองมือ คว้าจับสองขาไว้ ขยับมิได้ จึงเงื้อกระบี่ในมือ ฟันฉับเข้ากลางหลังป้าหนิว ซึ่งนอนอยู่ที่พื้นเต็มแรง โลหิตคำโต พุ่งกระฉูดออกจากปากป้าหนิว สายตาเพ่งจับจ้องยังใบหน้าเขา สองมือพยายามไขว่คว้าอากาศวุ่นวาย ก่อนที่จะสิ้นใจอยู่กับพื้นตรงนั้นโดยที่สองตายังคงเบิกโพลง จับจ้องมายังร่างของจ่านจือ ด้วยความเป็นห่วง

จ่านจือไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว คิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสามคนนั้น พุ่งร่างเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด สองหมัดต่อยสะเปะสะปะวุ่นวาย ไม่จำแนกแยกแยะทิศทาง คนผู้นั้นยกเท้าข้างหนึ่งถีบเข้ามาเต็มแรง จนร่างของเด็กหนุ่ม กระเด็นล้มตึงลงกับพื้น

“เด็กน้อยโสโครก เบื่อการมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่? พวกเรารุมสับร่างมันเป็นชิ้น ๆ”

กล่าวจบ กระบี่สามเล่ม แยกย้ายจู่โจมใส่ยังร่างเด็กหนุ่ม ที่กองอยู่กับพื้นพร้อมเพรียงกัน โดยมิต้องนัดหมาย

“ซี่ ซี่ ซี่”

เสียงซี่พอดัง กระบี่สามเล่ม กระเด็นกระดอนหลุดจากมือ ของคนทั้งสาม เงาร่างสายหนึ่งปรากฏกายขึ้น พร้อมกับซัดก้อนหินสามก้อนกระแทกกระบี่ทั้งสามเล่มปลิวกระเด็น กระบวนท่าที่ใช้ ทั้งรวดเร็วทั้งแม่นยำดั่งจับวาง เฟิ่นไป่ชิง เป็นนางเอง พี่ชายของนาง เฟิ่นมู่เหอ ก็มาด้วย ทั้งสามคนเห็นเช่นนั้น ทราบว่าเป็นยอดฝีมือ รีบก้มลงเก็บกระบี่ แล้วพากันกระโจนหนีจนสุดกำลัง

จ่านจือมิรอช้า ตรงเข้ากอดร่างไร้วิญญาณของป้าหนิวเอาไว้ พร้อมกับร่ำไห้คร่ำครวญ น้ำตาไหลนองหน้าเปียกชุ่ม เฮียม่วยแซ่เฟิ่นเห็นแล้วเวทนาสงสารเป็นที่สุด รีบตรงเข้าไปประคองช่วยเหลือ

หลังจากจัดการฝังศพป้าหนิวแล้ว จ่านจือนั่งซึมเซาเศร้าโศกไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอยู่เป็นเวลานาน ญาติสนิทคนสุดท้ายที่มีมาตายจาก เด็กน้อยไม่เหลือผู้ใดอีกแล้ว หลังจากเฮียม่วยแซ่เฟิ่นปรึกษาหารือกัน เห็นว่าสมควรจะช่วยเหลือเขาสักครั้ง หากปล่อยทิ้งไป สามคนชั่วนั้นย้อนกลับมา เขาคงต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน จึงเห็นพ้องกันว่า จะพาเขาไปฝาก ให้เจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียนช่วยดูแล หลังจากนั้นอีกสองวัน คนทั้งสามจึงออกเดินทาง ไปยังสถานที่ ซึ่งเจ้าโอสถสายรุ้งเส้าเยี๊ยะเทียน ทิ้งไว้ให้

เมื่อออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณเป็นเวลาครึ่งวัน สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นพาจ่านจือตัดผ่านเส้นทาง อันเป็นเส้นทางมุ่งตรงสู่เมืองหลวงลั่วหยาง ตั้งแต่เด็กเขาไม่เคยเหยียบย่าง ออกจากหมู่บ้านเย้ยอรุณ ดังนั้นจึงไม่รู้จักเส้นทางที่กำลังก้าวเดิน เห็นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เดินพลางสนทนากันไปพลาง จ่านจือมิกล้าชักช้า รีบก้าวเท้าติดตามไป

เดินทางมาอีกระยะหนึ่ง จ่านจือเห็นผู้คนพลุกพล่านเดินสวนกันไปมา ทุกคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สะอาดสะอ้าน อีกทั้งใบหน้าของทุกคนยังดูหมดจดสดใส บางคนขี่ม้าควบขับเหยาะย่างวิ่งผ่านไป จ่านจืออดมิได้ที่จะเหลียวหลังมองผู้คนเหล่านั้น บางขบวนมีจำนวนหลายคน บางครั้งเห็นคนแบกหามเกี้ยวดูหรูหรา ผ่านไปอีกหลายขบวน บางคนพกพากระบี่ จ่านจือคาดเดาว่าคนเหล่านั้น หากมิใช่ชาวยุทธ์ อาจเป็นอันธพาล ชีวิตของคนในเมืองช่างดูสับสนวุ่นวายเสียนี่กระไร จ่านจือ กล่าวกับตนเอง

ใกล้มืดค่ำ สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น จึงมุ่งตรงสู่ตัวเมืองแห่งหนึ่ง เพื่อหาโรงเตี๊ยมพักแรม ไม่นานเท่าใดนัก แลเห็นโรงเตี๊ยมที่หนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกล ทั้งสามจึงตรงเข้าไปติดต่อเถ้าแก่ เพื่อจองห้องพัก แต่ได้รับคำตอบจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมว่า

“ค่ำคืนนี้มีคนจองห้องพักเต็มหมดแล้วทุกห้อง รบกวนพวกท่านทั้งสาม เสาะหาสถานที่อื่นเถิด”

“จองเต็มหมดทุกห้องเชียวรึ? ข้าพเจ้ามิเห็นว่า จะมีคนพักอาศัยอยู่สักกี่คน เถ้าแก่ท่านล้อเล่นกับพวกเราใช่หรือไม่?”

เฟิ่นมู่เหอ ส่งเสียงกล่าวถามขึ้น เมื่อมองเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเงียบเชียบไร้ผู้คน จะมีเพียงไม่กี่คน ที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ชั้นล่าง

“ข้าพเจ้ามิได้ล้อเล่น ทุกห้องถูกจับจองไว้เต็มแล้วจริง ๆ พวกท่านเดินทางห่างจากที่นี้ ไปทางตะวันตกราวครึ่งลี้ มีโรงเตี๊ยมอีกที่หนึ่ง พวกท่านไปพักยังที่นั่นเถิด”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยม ส่งเสียงกล่าวยืนยัน พร้อมกับแนะนำให้ทั้งสามไปหาโรงเตี๊ยมอีกที่หนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไปทางตะวันตกอีกครึ่งลี้

“เถ้าแก่ แต่ข้าพเจ้ายังสงสัยว่า โรงเตี๊ยมของท่าน ถูกจองเต็มแล้ว แต่ไฉน? จึงไม่เห็นมีคนอยู่ภายในโรงเตี๊ยมมากมายเลย มีเพียงไม่กี่คน ที่นั่งรับประทานอาหารเท่านั้นเอง”

เฟิ่นไป่ชิง ส่งเสียงกล่าวถามขึ้นบ้าง ด้วยความสงสัย

เถ้าแก่โรงเตี๊ยม มองซ้ายแลขวา ทำท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนที่จะกล่าวตอบ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“ข้าพเจ้าขอเรียนตามตรง ถูกต้องแล้ว ในโรงเตี๊ยมไม่มีคนพักอาศัยอยู่แม้แต่ผู้เดียว แต่ทุกห้องถูกจับจองเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่าย ผู้ที่มาจับจอง ได้จ่ายค่าห้องไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังกำชับไว้อีกว่า ห้ามมิให้แขกผู้อื่นเข้าพักอาศัยเป็นอันขาด มิเช่นนั้นแล้ว จะถล่มโรงเตี๊ยมของข้าพเจ้าให้ราบคาบเป็นหน้ากลอง”

สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น หันสบตากัน ต่างพากันสงสัยว่า ผู้ที่เถ้าแก่กล่าวถึง เป็นผู้ใดกันแน่ ไฉนจึงเหมาโรงเตี๊ยมทั้งหลัง โดยห้ามมิให้แขกอื่นเข้าพักอาศัย จ่านจือเองสงสัยด้วยเช่นกัน แต่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะเขายังไม่ทราบ ว่าในยุทธภพมีเรื่องราวซับซ้อนมากมาย เขาเองอาศัยอยู่แต่หมู่บ้านเชิงเขา จึงมิทราบว่ายุทธภพ มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น

“เถ้าแก่ ท่านพอจะบอกได้หรือไม่? ผู้ใดที่เหมาโรงเตี๊ยมของท่าน”

เฟิ่นมู่เหอ ส่งเสียงกล่าวถามเถ้าแก่โรงเตี๊ยม

“ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ว่าเป็นผู้ใด? ทราบแต่เพียง มีดรุณีอ่อนวัยสองนาง เป็นผู้มาติดต่อ นางทั้งสองกล่าวว่า นายน้อยของพวกนาง เป็นผู้ให้มาติดต่อขอเช่าห้องพักทั้งหมด แถมก่อนจากไป พวกนางทั้งสอง ยังซัดอาวุธลับเป็นรูปหัวกะโหลกปีศาจ ปักไว้ตรงด้านหน้าโรงเตี๊ยมอีกด้วย หากไม่เชื่อถือคำพูดข้าพเจ้า พวกท่านลองเดินไปดูให้เห็นกับตาเถิด”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยม บอกกล่าวเรื่องราวจบ พลางชี้มือไปยังเสาต้นหนึ่ง ด้านหน้าโรงเตี๊ยม บอกให้ทั้งสามเดินไปดูอาวุธลับ ซึ่งดรุณีสองนาง ซัดขว้างปักเอาไว้ ทั้งสามจึงรีบวิ่งไปยังทิศทาง ที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมกล่าวบอก

เมื่อไปถึง ทั้งสามกลับไม่เห็นอาวุธลับแม้แต่ชิ้นเดียว แต่ใกล้ ๆกันนั้น บนม้านั่งตัวหนึ่ง นั่งอยู่ด้วยบุคคลผู้หนึ่ง คนผู้นั้นนั่งหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง จึงมองไม่เห็นใบหน้า ก่อนที่ทั้งสามจะคิดทำประการใด บุคคลผู้นั้น ชูมือข้างหนึ่งขึ้น ในมือถือวัตถุสองชิ้น พร้อมกับส่งเสียงกล่าว โดยไม่หันหน้ามามองว่า

“พวกท่าน กำลังมองหา อาวุธลับสองชิ้นนี้ใช่หรือไม่?”

คนผู้นั้นส่งเสียงห้าวหาญ ฟังแล้วทราบได้ว่าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง เถ้าแก่โรงเตี๊ยม ได้ยินเช่นนั้น รีบวิ่งตรงมา แล้วส่งเสียงละล่ำละลักต่อบุคคลผู้นั้นว่า

“ท่าน...ท่านเป็นใคร? ทราบหรือไม่? ว่าท่านสร้างความเดือดร้อนให้กับข้าพเจ้าแล้ว อาวุธลับสองชิ้นในมือท่าน ผู้ที่จับจองโรงเตี๊ยม สั่งกำชับว่า ห้ามมิให้ผู้ใดดึงออก หากข้าพเจ้าดูแลไม่ดี มีคนดึงออกมา ศีรษะข้าพเจ้าจะหลุดจากบ่า ท่านรีบนำกลับไปปักไว้ที่เดิมเร็วเข้า”

“เถ้าแก่ ดูท่านหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ฟังจากที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ ผู้ที่จับจองโรงเตี๊ยม เป็นเพียงดรุณีอ่อนเยาว์สองนาง โรงเตี๊ยมของท่าน ออกจะกว้างใหญ่ ใช่มีห้องหับมากมายหลายห้อง? ข้าพเจ้าเองเดินทางผ่านมาเหน็ดเหนื่อย ต้องการพักผ่อนหลับนอนสร้างเรี่ยวแรง พอดีเหลือบเห็นอาวุธสองชิ้นนี้ ปักอยู่ตรงทางเข้า ดูแล้วเกะกะสายตายิ่งนัก จึงดึงออกมา หากผู้เป็นเจ้าของอาวุธ จะเอาเรื่องให้มาหาข้าพเจ้า แต่มิว่าเช่นไร? ค่ำคืนนี้ ข้าพเจ้าจะต้องได้ห้องพัก มิเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะถล่มโรงเตี๊ยมของท่าน ให้ราบคาบไม่เหลือซากเช่นเดียวกัน”

คนผู้นั้นกล่าวจบ พร้อมกับลุกขึ้นยืน แล้วหันหน้ามา พอเห็นชัดเจน เป็นบุรุษอายุราวสิบสี่สิบห้าปีผู้หนึ่ง หน้าตาหมดจดสำอาง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง พร้อมกันนั้น มือข้างที่กำอาวุธลับเอาไว้ ออกแรงเกร็งลมปราณ พริบตาเดียว อาวุธสองชิ้นในมือแหลกละเอียดไม่เหลือชิ้นส่วน อีกทั้งมืออีกข้าง กระแทกขึ้นใส่แผ่นกระเบื้องหลังคา โดยที่มิได้หันมอง ส่งผลให้กระเบื้องแผ่นนั้น ทะลุเป็นช่องขนาดเท่าชามข้าว

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สร้างความตกใจแก่จ่านจือยิ่ง แต่สำหรับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ทั้งสองกลับไม่แสดงอาการตกใจแต่อย่างใด เฟิ่นไป่ชิงหันมากระซิบ กล่าวกับจ่านจือว่า

“ท่านตกใจใช่หรือไม่? ท่านมิต้องกลัวไป ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวสนุกสนานให้ชมดูอีกแล้ว อยู่ใกล้ ๆ เราทั้งสองเอาไว้อย่าได้ห่าง ในยุทธภพไม่คล้ายในหมู่บ้านเย้ยอรุณ ที่ท่านอยู่อาศัย อีกทั้งไม่เหมือนผาเร้นลับที่ข้าพเจ้า กับพี่ชายอยู่อาศัยเช่นกัน ข้าพเจ้าเองเพิ่งออกมาท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก รู้สึกแปลกประหลาด และตื่นเต้นนัก แต่ได้ฟังท่านเจ้าผา กับพี่ชายบอกเล่าอยู่บ่อย ๆ จึงไม่รู้สึกตกใจกระไรนัก ท่านเองจะต้องเรียนรู้เอาไว้ ต่อไปจะได้เอาตัวรอด”

จ่านจือ แม้ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เข้าใจในคำพูดของเฟิ่นไป่ชิง นางหมายความถึงยุทธภพซับซ้อนอันตราย เปรียบมิได้กับหมู่บ้านเย้ยอรุณ กับผาเร้นลับ ซึ่งนางกับพี่ชายนางอยู่อาศัย จ่านจือพยักหน้ารับทราบ ถูกต้องแล้ว แม้แต่หมู่บ้านเย้ยอรุณที่สงบเงียบ ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับยุทธภพ ยังถูกคนชั่วช้าสามคน บุกเข้าไปทำร้ายสังหารมารดาบุญธรรม ไปต่อหน้าต่อตาเขา

ดังนั้นเขาเองจะต้องเรียนรู้โลกภายนอกเอาไว้ให้มาก ตลอดทางที่ทั้งสามเดินทางผ่านมา สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ได้เล่าเรื่องราวมากมาย ซึ่งจ่านจือมิเคยทราบมาก่อน ให้เขาได้รับรู้ ดังนั้นแม้จะตกใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้า แต่เขาต้องปรับตัวตามสถานการณ์

เถ้าแก่โรงเตี๊ยม ตกใจจนหน้าถอดสี กระทำสิ่งใดไม่ถูก ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าโรงเตี๊ยม ทุกคนรีบหันไปมองยังต้นเสียงเป็นตาเดียว ยกเว้นบุรุษสำอางผู้นั้น ดูมันไม่ค่อยสนใจต่อเสียงกล่าวนั้นเท่าใดนัก

“เถ้าแก่ ข้าพเจ้าให้คนมาเหมาโรงเตี๊ยมเอาไว้ ในเมื่อข้าพเจ้าชำระค่าโรงเตี๊ยมหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังสั่งกำชับเอาไว้ว่า มิให้ผู้ใดเข้ามาวุ่นวาย เรื่องง่าย ๆ เพียงนี้ ท่านยังจัดการให้กับข้าพเจ้ามิได้ เห็นทีลำคอของท่าน คงมิต้องการให้ศีรษะท่านตั้งอยู่เป็นแน่?”

พอสิ้นเสียงกล่าววาจานั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง แบกหามเกี้ยวเข้ามา ด้านหน้าขบวน ก้าวเดินด้วยดรุณีสองนางซ้ายขวา ดรุณีคนขวาโอบอุ้มปี่แป้(กีร์ต้าจีน) ดรุณีคนซ้ายประคองพิณอย่างละตัว ด้านหลังเกี้ยวติดตามด้วยคนอีกสิบกว่าคน ทุกคนมีอาวุธพกพาติดตัว ท่าทางมีวิชามิต่ำช้าเลวทราม

พอคนแบกหามเกี้ยว วางเกี้ยวลงแล้ว คนผู้หนึ่งแหวกผ้าคลุมเกี้ยว ดีดกายพุ่งออกมา พอเห็นชัดถนัดตา เป็นบุรุษชุดขาวผู้หนึ่ง ในมือถือพัดจีบกวัดแกว่ง ระหว่างเอวเหน็บขลุ่ยเงินด้ามหนึ่ง แต่ที่ชวนสงสัยใบหน้ากลับสวมทับด้วยหน้ากากปีศาจ จนกระทั่งไม่สามารถคาดเดาหน้าตาได้ ดูจากลักษณะภายนอก เป็นบุรุษวัยเยาว์ผู้หนึ่ง

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมตกใจจนเหงื่อไหลโซมกาย รีบประสานมือกล่าวตอบ บุรุษชุดขาวสวมหน้ากากปีศาจว่า

“ข้าพเจ้า รับเงินท่านแล้ว ย่อมต้องปฏิบัติตาม เพียงแต่ว่าจอมยุทธ์น้อยท่านนี้ มิทราบว่ามาจากสถานที่ใด? นอกจากทำลายอาวุธสองชิ้นของท่านแล้ว ยังข่มขู่จะเอาห้องพักให้ได้ ข้าพเจ้าเองได้แจ้งแก่จอมยุทธ์ท่านนี้ไปแล้วว่า โรงเตี๊ยมข้าพเจ้าถูกเหมาหมดสิ้นแล้ว แต่จอมยุทธ์น้อยท่านนี้ ยังมิยอมเลิกรา เรื่องนี้ข้าพเจ้าว่าพวกท่าน จัดการกันเองจะไม่ดีกว่าหรอกรึ? ส่วนสามท่านนี้ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่? พวกเขาเพียงแวะเข้ามาถามหาโรงเตี๊ยม ที่อยู่ถัดไปเท่านั้นเอง”

“ไฉนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง? มิว่าผู้ใด? ที่อยู่สถานที่นี้ ล้วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น หากข้าพเจ้ามิกล่าวอนุญาตให้จากไป ไม่ว่าผู้ใดอย่าหมายจากไป โดยมีลมหายใจ”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจตวาดก้อง พร้อมกับชำเลืองมองมาทางด้านจ่านจือ กับสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ทั้งสามก่อนออกเดินทาง แต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่เป็นที่สะดุดตา ทั้งนี้เนื่องจากสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่นถูกเจ้าผาของทั้งสอง สั่งกำชับ มิให้แสดงวิชาฝีมือ ให้ชาวยุทธ์สงสัย ดังนั้นสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น จึงไม่แสดงออก ว่าทั้งสองมีวิชาฝีมือติดตัว ให้ผู้ใดสังเกตเห็น

“ถูกต้อง ที่เถ้าแก่กล่าวเมื่อครู่มิผิด เราทั้งสามเดินทางผ่านมา เพียงแวะหาโรงเตี๊ยมพักผ่อนหลับนอนเท่านั้น เมื่อเถ้าแก่แจ้งว่าโรงเตี๊ยมเต็มหมดแล้ว พวกเราทั้งสาม จึงจะเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ถัดไปอีกครึ่งลี้ พวกเราสามคนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่ทราบเรื่องราวยุทธภพ มิทราบว่าจะปล่อยพวกเราสามคนไปได้แล้วหรือไม่?”

เฟิ่นมู่เหอ กล่าวต่อบุรุษสวมหน้ากากปีศาจ เฟิ่นไป่ชิงเองนางรับปากกับพี่ชายว่า จะไม่ก่อเรื่องราวอีก ดังนั้นไม่แสดงอาการใด ให้เป็นที่สงสัยว่ามีวิชาฝีมือติดตัว

ส่วนบุรุษหน้าตาสำอาง สวมใส่เสื้อผ้าราคาแพง ที่มาก่อนหน้านั้น เห็นทั้งหมดสนทนากัน ไม่มีข้อสรุปเสียที จึงส่งเสียงกล่าวสวนสอดขึ้นกลางคันว่า

“ที่แท้ เป็นปีศาจโสโครกตนหนึ่ง? ท่านนี้เองที่เหมาโรงเตี๊ยม ใบหน้าปีศาจของท่าน คงน่าเกลียดน่ากลัวมากสินะ? จึงต้องสวมใส่หน้ากากปีศาจ ปกปิดอำพรางเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องการห้องพักห้องหนึ่งสำหรับค่ำคืนนี้ ที่สำคัญจะต้องเป็นสถานที่นี้เท่านั้น ดูจากลักษณะของท่านแล้ว สมควรจะพอมีฝีมือติดตัวอยู่บ้าง เสียดายอยู่เพียงประการหนึ่ง?”

“มีอันใด? ประการหนึ่งของท่าน หมายถึงสิ่งใด? ท่านรีบกล่าวออกมาให้กระจ่าง”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจ ตะคอกกล่าวต่อบุรุษสำอาง บุรุษสำอางแสดงท่าทางยั่วยวน แล้วกล่าววาจาตอบว่า

“เสียดายที่ขี้ขลาด ทำตัวคล้ายดั่งลูกเต่าหดหัว หาใช่ผู้กล้าชายชาตรีไม่? ท่านใช้พวกมากเดินทาง หากท่านเป็นบุรุษผู้กล้าแท้จริง ท่านกล้าประลองตัวต่อตัว กับข้าพเจ้าหรือไม่?”

“ประลองอันใด?”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจกล่าวสวน

“ประลองฝีมือ ถือว่าข้าพเจ้าเสียเปรียบท่าน ท่านขี้ขลาดปานนี้เห็นอยู่ว่า พกพาคนมามากมาย หากประลองกันตัวต่อตัว ข้าพเจ้าหาได้เกรงกลัวท่านไม่? แต่พวกท่านใช้คนมาก จะเชื่อถือได้เช่นไร? ว่าจะมิใช้วิธีหมาหมู่ในภายหลัง หากข้าพเจ้าเอาชนะท่านแล้ว พวกท่านย่อมต้องใช้พวกมากต่อข้าพเจ้าอยู่ดี ดังนั้นข้าพเจ้าขอถามท่าน ท่านใช่ชื่นชอบดนตรีศิลปะถูกต้องหรือไม่?”

บุรุษสำอางกล่าวถาม

“นับว่าสายตาของท่าน ยังพอใช้การได้บ้างเช่นกัน สายตาท่านมิได้เลวทรามต่ำช้าเสียทีเดียว ดนตรีศิลปะถือเป็นความสามารถอันดับสอง รองจากวิทยายุทธ์ ที่ข้าพเจ้าพอมีติดตัวอยู่บ้าง ฟังจากวาจาของท่าน กล่าววาจาเล่นลิ้นปลิ้นปล้อน คงพอจะมีความรอบรู้ เรื่องบทกลอนกวีอยู่บ้างสินะ?”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจตอบคำ พร้อมกับกล่าวถามย้อนคืนบ้าง

“หูปีศาจโสโครกของท่านยังใช้การได้เช่นกัน มิได้พิกลพิการแต่ประการใด? บทกลอนกวีถือเป็นความสามารถอันสอง รองจากวิทยายุทธ์ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบ ดังนั้นท่านบรรเลงดนตรีออกมา ส่วนข้าพเจ้าจะร่ายบทกลอน หากผิดเพี้ยนแม้แต่ท่อนเดียว ถือว่าข้าพเจ้าพ่ายแพ้ปีศาจท่าน แต่ทว่าหากภายในสามเพลง ท่านยังด้อยสามารถ ฝีมือมิเอาอ่าวให้ขายหน้าล้มข้าพเจ้ามิได้ ถือว่าค่ำคืนนี้ข้าพเจ้า ย่อมพักอาศัยในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้โดยปลอดโปร่ง อีกทั้งมิต้องจ่ายเงินแม้แต่อีแปะเดียว”

บุรุษสำอางกล่าวตอบ แล้วบอกเงื่อนไขการประลอง ปฏิกิริยาท่าทางยังคงยียวนกวนโทสะ วาจายังกล่าวด่าเสียดสีไม่เกรงอกเกรงใจ

“ตกลงตามนั้น ก่อนประลองขอทราบชื่อท่าน”

บุรุษสวมหน้ากากปีศาจ ตอบตกลง แล้วเอ่ยถามชื่อของบุรุษหน้าสำอาง

“ชื่ออันสูงส่งของข้าพเจ้า มิบอกกล่าวต่อปีศาจต่ำช้า ที่ไม่เปิดเผยใบหน้าอันแท้จริง หากปีศาจท่านต้องการทราบชื่อแซ่ จงรีบถอดหน้ากากปีศาจชั่วช้าของท่านออกมาก่อน ส่วนชื่อแซ่ และหัวนอนปลายเท้าของปีศาจท่าน ข้าพเจ้าไม่ต้องการได้ยินให้ระคายหู อีกทั้งมิต้องการสิ้นเปลืองสมองต้องจดจำ ท่านจะว่าเช่นไร? จะถอดหน้ากากปีศาจโสโครกของท่านออกหรือไม่?”

บุรุษสำอางท่าทางเจ้าเล่ห์ ทุกคำพูดที่กล่าววาจาออกมา มิยอมแพ้ให้กับบุรุษสวมหน้ากากปีศาจแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนบุรุษสวมหน้ากากปีศาจผู้นั้น คล้ายมันมิต้องการเปิดเผยใบหน้าแท้จริงเช่นกัน ดังนั้นจึงจนมุม มิอาจบังคับให้บุรุษสำอางบอกกล่าวชื่อแซ่ ออกมาต่อมันได้

ในขณะโต้เถียงกัน ระหว่างสองบุรุษหน้าการปีศาจ กับบุรุษท่าทางสำรวยสำอาง สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น มิต้องการให้ร่องรอยถูกเปิดเผยเช่นกัน ดังนั้นวางแผนการขึ้นในใจ ทั้งสองอาศัยช่วงจังหวะ ที่สองบุรุษเริ่มประลองกัน วางแผนการที่จะสลัดหลุดออกมาจากโรงเตี๊ยมแห่งนั้น เห็นท่าแล้วว่ามิง่ายดายนักที่จะออกมาโดยปลอดโปร่งไร้เรื่องราว หากเป็นเช่นนั้น จะต้องแสดงวิชาฝีมือประจำสำนักออกไป นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้

จ่านจือได้ยินสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น ปรึกษาหารือแผนการรับมือกันเบา ๆ ว่า

“พี่ชาย ข้าพเจ้าคิดออกแล้วว่า พวกเราจะกระทำเช่นไร? ถึงจะสลัดจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไปได้”

เฟิ่นไป่ชิง กล่าวต่อพี่ชายนาง

“วิเศษ ไหนเจ้าลองบอกกล่าวออกมา ให้พี่ชายของเจ้าได้รับทราบอย่าได้ชักช้า”

เฟิ่นมู่เหอ กระซิบกระซาบตอบต่อเฟิ่นไป่ชิง

“พี่ชายลืมเลือนไปแล้วกระมัง? เราทั้งสองได้รับการถ่ายทอดวิชาค่ายกล จากท่านเจ้าผามาตั้งแต่เล็ก ก่อนที่เราจะเข้ามายังโรงเตี๊ยม ข้าพเจ้าล้วนเห็นด้านหน้าเป็นชัยภูมิเหมาะยิ่ง ที่พวกเราจะสร้างค่ายกล อาศัยจังหวะนี้ ที่ทั้งสองประลองติดพัน มิอาจแบ่งแยกสมาธิ เพียงเท่านี้พวกเราทั้งสาม ย่อมจากไปไกลโขแล้ว”

จ่านจือ แม้ไม่เข้าใจที่สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น สนทนากัน แต่ยังพอจับใจความได้ว่า ทั้งสองกำลังจะหาทางหลบหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ จ่านจือลอบมองบุรุษทั้งสอง ซึ่งกำลังประลองดนตรี กับบทกวีกันอยู่อย่างไม่ลดราวาศอก บุรุษสำอางท่าทางเจ้าเล่ห์แสนกล ส่วนบุรุษสวมหน้ากากปีศาจ ดูท่าทางอำมหิตโหดเหี้ยม หากทั้งสองร่วมมือกันแล้ว ต่อให้สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น แสดงวิชาฝีมือออกไป ไม่แน่นักว่าจะรอดพ้นไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้

จ่านจือ พิศมองใบหน้าบุรุษสำอางวูบหนึ่ง เขามีความรู้สึกว่าบุรุษผู้นี้ดูท่าทางแปลก ๆ ผิดปกติเช่นไร ปฏิกิริยาท่าทีชอบกลอยู่บ้าง แต่มิทราบว่าผิดปกติเช่นไร มิรีรอชักช้า สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น เริ่มแผนการจัดวางตำแหน่งค่ายกลทันที ตามที่ได้ร่ำเรียนมา ค่ายกลที่ใช้มีชื่อว่า “ย้ายทิศ ปิดเส้นทาง”

สองบุรุษซึ่งกำลังติดพันประลองกัน รู้ตัวอีกทีว่า สองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น มิใช่ชาวบ้านธรรมดา นับว่าสายไปเสียแล้ว ทั้งสองประลองติดพันพร้อมกับแบ่งแยกสมาธิ ติดตามสองเฮียม่วยแซ่เฟิ่น และจ่านจือมา แต่ทว่าค่ายกลที่ใช้พิสดารเกินกว่า ที่ทั้งสองจะฝ่าได้ง่ายดาย อีกทั้งทั้งสองยังมิเคยพบพานค่ายกลพิสดารเช่นนี้มาก่อน มิทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานปานใด ที่ทราบได้ ทั้งสามเดินทางล่วงเลยโรงเตี๊ยมแห่งนั้นมาหลายลี้แล้วนั้นเอง

หยกเหินลม/ชล ชโลทร

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel