บท
ตั้งค่า

chapter8-2

“ว่าแต่ประทานโทษเถอะแม่คุณ ทำไมไม่กลับไปล่ะ” นี่มันก็ร่วมสามทุ่มเข้าไปแล้วแต่ถึงแบบนั้นแม่สาวนักดนตรีก็ยังไม่ยอมกลับบ้านหลังจากที่เธอเปลี่ยนจากชุดเมดเป็นชุดธรรมดาเรียบร้อยแล้วเธอก็ตามติดเขามาตลอด

“เล่นไวโอลีนให้ฉันฟังหน่อยสิ” เป็นคำขอที่สุดแสนคุ้นหูเพราะตลอดระยะเวลาหลังเลิกงานที่ร้านอาหารของเขาแม่สาวคนนี้ก็มักจะมาอ้อนแบบนี้อยู่เป็นประจำและไม่เคยยอมแพ้ตามที่เจ้าตัวว่าเอาไว้เลยตริงๆแต่แน่นอนเขาตอบของเขาก็ย่อมต้องเป็น

“ขอปฏิเสธ ยังไม่มีอารมณ์เล่น” ยังคงเหมือนเดิมเพราะทุกครั้งที่เธอออกปากขอร้องเขาในเรื่องนี้นั้นเขาก็มักจะออกปากปฏิเสธไปเสียทุกครั้งและมักจะจบลงด้วยสีหน้ามุ่ยๆของเธอแต่ในวันนี้มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

“อะไรกัน ฉันอุตส่าห์ทำอาหารให้นายแล้วทั้งทีนะ แค่เพลงเดียวก็ยังดี น้า” วันนี้เธอกลับตื้อมากผิดปกติมือทั้งสองข้างเขย่าแขนของเขาไปด้วยดวงตาสีอำพันคู่นั้นฉายแววออดอ้อนราวกับเด็กเล็กๆที่มาขอขนมไม่มีผิด

อันที่จริงแล้วถ้าอยากฟังดนตรีของเขาจริงๆยังมีวิธีอยู่อีกอย่างหนึ่งคือขอให้พี่ไรอาหรือเรเดียมาบอกว่าอยากฟังก็ได้เพราะหากเป็นพี่สาวกับน้องสาวของเขาแล้วล่ะก็เขายินดีเล่นให้ฟังเสมอ หากแต่ด้วยความที่เรเดียนั้นเป็นคนโกหกคนไม่เป็นดังนั้นคงหวังพึ่งเรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่วนพี่ไรอานั้นเคารพในการตัดสินใจของเขาจึงไม่ยอมยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ

“รอให้พี่ไรอาหรือไม่ก็เรเดียอยากฟังแล้วฉันจะเล่นให้เธอฟังก็แล้วกัน ตกลงไหม?” ด้วยความที่เขาอยากให้เธอปล่อยแขนเสื้อของเขาเสียทีจึงจำต้องพูดไปแบบนั้นเพราะหากรอในโอกาสนั้นเธอคงมีโอกาสจะได้ฟังจริงๆนั่นแหละ

“ไม่เอา ฉันไม่อยากฟังดนตรีที่นายเล่นให้คนอื่น ฉันอยากฟังดนตรีที่นายบรรเลงออกมาเพื่อฉันมากกว่า” แต่ทางด้านของแม่สาวนักดนตรีกลับส่ายหัวเบาๆราวกับไม่พอใจทำเอาเรย์นั้นอดที่จะขมวดคิ้วออกมาไม่ได้

“ดนตรีที่ฉันได้ฟังในวันนั้นน่ะเป็นดนตรีที่เล่นเพื่อพี่สาวกับน้องสาวนายเท่านั้น แต่ฉันอยากจะฟังดนตรีที่นายบรรเลงให้กับฉัน ดนตรีที่บรรเลงให้กับคนผู้นั้นจากใจจริงนี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะได้ยินที่สุด” ...เป็นคำพูดที่ไม่ได้ยินมานานโขเลยทีเดียวสำหรับเรื่องแบบนี้แม้จะไม่เหมือนกับเสียทีเดียวก็ตามแต่เขาแน่ใจว่ามันใช่สิ่งที่เขาคิดอย่างแน่นอน เขาก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนในตอนที่เพิ่งเริ่มเล่นดนตรีกับคุณแม่แต่ในตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่จนกระทั่งได้มาจับเครื่องดนตรีอย่างจริงจังและได้รับรู้เรื่องนี้จากเขาบอกเล่าของท่านอาจารย์

“อย่าฝันลมๆ แล้งๆ หน่อยเลยแม่คุณ วันนั้นน่ะจะมาถึงหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” แน่นอนเขาเข้าใจความหมายของดนตรีแบบนั้นดีแต่เขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่าแม่สาวคนนี้จะรู้ถึงความหมายของการเล่นดนตรีแบบนั้นให้ฟังหรือเปล่า

“อีกอย่างนะเธอก็น่าจะรู้ว่าการเล่นดนตรีน่ะมันต้องใช้อารมณ์ในช่วงนั้นไม่ใช่การมาบังคับ เธอคิดจริงๆเรอะว่ามาตื้อแบบนี้ฉันจะมีอารมณ์เล่นให้ฟังน่ะ” แน่นอนว่าดนตรีแบบนั้นต้องหลายปัจจัยและแน่นอนอารมณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากหากอยู่ในอารมณ์ไม่อยากเล่นไม่ต้องพูดเลยว่าจะเล่นดนตรีแบบนั้นให้ฟังได้หรือเปล่า

“ลองตื้อดูเผื่อฟลุกน่ะ พอดีเซร่าบอกมาว่าตื้อเท่านั้นที่ครองโลก” เจ้าตัวหัวเราะแห้งเพราะอันที่จริงเธอก็คิดเอาไว้เหมือนกันว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผลกับชายผู้นี้ ส่วนทางด้านของเรย์ขมวดคิ้วนิดหน่อยเพราะเขาชักมีปัญหาถึงคำแนะนำจากผู้หญิงที่ชื่อเซร่านิดๆแล้ว

“แต่เอาเถอะวันนี้จะเป็นกรณีพิเศษ ถึงจะเล่นไวโอลีนให้เธอฟังไม่ได้แต่ฉันจะให้เธอเข้าไปในห้องนั้นเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน” อันที่จริงนี่เป็นสิ่งที่เขาคิดมานานแล้วว่าควรจะทำหรือไม่แต่ในเมื่อเธอเป็นคนที่รักดนตรีจากใจจริงก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธเธอ

ทางด้านของแม่สาวนักดนตรีนั้นแม้จะงุนงงนิดหน่อยแต่เธอก็ก้าวขาตามเขาไปแต่โดยดีแม้จะไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอขึ้นมาด้านบนของบ้านเพราะอะไรก็ตามแต่เธอคิดว่าเขาไม่มีทางคิดร้ายกับเธอแน่นอนเป็นความรู้สึกแปลกๆที่ไม่มีเหตุผลแต่เธอกลับเชื่อมั่นในความรู้สึกนั้น

เสียงเปิดประตูห้องๆหนึ่งก่อนที่เขาจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องนั้นอย่างรวดเร็วแน่นอนว่าคานาเดะนั้นย่อมไม่คิดว่าเขาจะพาเธอมาเที่ยวห้องของตัวเองอย่างแน่นอนเพราะเรเดียเคยแอบพาเธอมายังห้องของเขาแล้วและมันไม่ใช่ห้องที่เธอกำลังเข้าไปนี้ด้วย

“พี่ไรอากับเรเดียไม่เคยยุ่งกับของในห้องนี้เลย อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ห้ามทั้งสองคนหรอกแต่ดูเหมือนสองคนนั้นเขาจะให้ความเคารพในสิทธิส่วนบุคคลของคุณแม่น่ะ” เขาไม่คิดหรอกว่าถ้าสองคนนั้นเข้ามาแล้วจะทำให้ของในนี้เสียหายแต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะไม่ได้เข้ามาในห้องนี้เลย

ตัวห้องนั้นเป็นเพียงห้องเรียบๆไม่ได้มีอะไรมากนักที่มุมห้องนั้นมีที่เก็บแผ่นเสียงเป็นจำนวนมากและยังมีเครื่องดนตรีขนาดใหญ่อย่างไวโอลีนสีขาวอยู่ตัวหนึ่งหากแต่มันถูกผ้าคลุมทับเอาไว้ อีกทั้งยังมีไวโอลีนอยู่สามตัวที่ถูกจัดวางเอาไว้ในตู้โชว์ด้วย

“นี่มัน...” ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้นรูปภาพที่อยู่ภายในตัวห้องยังมีรูปของผู้หญิงคนนึงเธอคนนั้นมีเรือนผมสีทองที่ถูกปล่อยยาวสยายถึงกลางหลัง แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือดวงตาสีฟ้างดงามคู่นั้นที่มันแลดูคล้ายกับเรย์เป็นอย่างมาก

“ก็อย่างที่เธอคิด ของทั้งหมดในห้องนี้ เป็นของคุณแม่ของฉันเอง” เขาคิดอยู่แล้วว่าเธอจะต้องรู้เพราะนอกจากเครื่องดนตรีแล้วภายในห้องยังมีรูปคุณแม่อีกทั้งยังแผ่นเสียงของคุณแม่อยู่เต็มไปหมดหากแม่สาวคนนี้ไม่รู้จะเป็นเรื่องแปลกมากกว่า

“อ้า!! ใช่จริงๆด้วยนั่นน่ะเป็นแผ่นเสียงในการแสดงครั้งแรกสุดของคุณเครอาเลยนะ ฉันหาซื้อตามตลาดมืดตั้งนานแน่ะกว่าจะได้มา แถมยังมีอีกตั้งหลายครั้งด้วย” ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณแม่ของเขาตัวจริงเลยทีเดียวเพราะเธอสามารถบอกได้หมดเลยว่าแผ่นเสียงทั้งหมดนั้นเป็นแผ่นเสียงอะไรบ้าง

แม้ในยุคนี้จะมีเทคโนโลยีที่สามารถส่งข้อมูลผ่านทางดาวเทียมได้แล้วก็ตามแต่ถึงแบบนั้นในวงการดนตรีคลาสสิคก็ยังมีคนหลายประเภทที่ยังนิยมการใช้แผ่นเสียงรุ่นดั้งเดิมในการบันทึกเพลงเอาไว้แ แม้จะบอกว่ารุ่นดั้งเดิมแต่ก็ได้รับการพัฒนาให้มีคุณภาพอีกทั้งขนาดเล็กลงเท่าแผ่นซีดีเพียงแต่ว่ามันค่อนข้างแข็งถึงขนาดที่ว่าเอามีดสับก็คงจะไม่เกิดรอย(หากคุณบ้าพอสามารถใช้แผ่นเปล่าไปปาหัวหมาแถวบ้าได้เลยโดยที่มันอาจไม่เป็นไรด้วย)

“บางแผ่นฉันไม่มีด้วย นายนี่น่าอิจฉาจังเลย” แผ่นเสียงของคุณเครอานั้นเธอสะสมเอาไว้เป็นสมบัติคู่ชีพแทบจะเทียบเท่ากับไวโอลีนตัวโปรดที่ได้มาจากพี่สาวคนนั้นเลยทีเดียวดวงตาสีอำพันของเธอเป็นประกายวิบวับเมื่อได้เห็นของพวกนี้

“ว่าแต่แผ่นพวกนี้มันอะไรเหรอ?” เธออดแปลกใจเล็กๆไม่ได้เมื่อพบว่าด้านข้างแผ่นเสียงของคุณเครอานั้นยังมีแผ่นเสียงจำนวนนึงวางเอาไว้อยู่ด้วยมันมีเพียงแค่กระดาษสติกเกอร์แผ่นเล็กๆที่เขียนวันที่ลงไปแปะตัวแผ่นเอาไว้เท่านั้น

“อ๋อ พวกนั้นเป็นเพลงที่คุณแม่เขาบันทึกเอาไว้เองในโอกาสสำคัญต่างๆน่ะ เป็นเพลงที่บอกว่าอยากให้ฉันได้ฟัง มีทั้งตอนที่กำลังคบกับคุณพ่ออยู่ ตอนที่แต่งงาน ตอนที่ฉันเกิด งานวันเกิดของฉัน แทบทุกอย่างที่เกี่ยวกับครอบครัวคุณแม่จะเล่นดนตรีและบันทึกเก็บเสียงเอาไว้น่ะ” อันที่จริงคุณแม่ของเขาเล่าว่าพ่อของเขาต่างหากที่เป็นตัวตั้งตัวตีทำแบบนี้และกลายเป็นธรรมเนียมของบ้านไปโดยปริยาย

“เอ๋!! จริงเหรอ!! ฉันขอเอาไปฟังบ้างได้ไหม?” บทเพลงที่นักดนตรีอัจฉริยะอย่างเครอา เนราเซียได้บรรเลงให้แก่คนสำคัญของเธอได้ฟังนั้นเธอแทบจะอดใจรอฟังไม่ไหวเลยทีเดียวเพราะนี่เป็นบทเพลงที่เธอแทบไม่คาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ฟังและจะไม่มีทางได้ฟังจากที่อื่นแล้วด้วย

“ถ้าจะฟังก็ฟังที่นี่เท่านั้นห้ามเอาไปไหนและห้ามทำเสียหายด้วย” เขาไม่ได้กังวลว่าแม่นี่จะขโมยเพราะหากเอาจริงเขาสามารถติดตามของที่อยู่ในห้องนี้ทุกชิ้นได้อยู่แล้วเพียงแต่เขากลัวว่าแม่นี่จะติดใจแล้วไม่ยอมคืนเขามาเนี่ยสิ

“อื้ม ฉันจะฟังอยู่แต่ในนี้ไม่ไปไหนหรอก สัญญาเลย” ต่อให้ต้องไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนแต่ถ้าทำให้เธอได้ฟังดนตรีที่เป็นสุดยอดของคุณเครอาแล้วละก็เธอยอมหมด ดังนั้นแค่เพียงเงื่อนไขเท่านี้นั้นเธอยินดีทำตามโดยไม่อิดออดใดๆทั้งสิ้น

“ว่าแต่เปียโนตัวนี้ของคุณเครอาเหรอ?” เปียโนสีขาวหลังนี้นั้นเป็นเปียโนที่โดดเด่นสะดุดตามากทีเดียวตัวเปียโนก็ทำจากไม้ทั้งหลังแถมพอลองกดไปดูครั้งหนึ่งก็ต้องพบว่าเสียงของมันใสกังวานและรื่นหูมากบ่งบอกคุณภาพของเปียโนและการรักษามันไว้เป็นอย่างดี

“ใช่ คุณแม่น่ะชอบเล่นเปียโนเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่าท่านยังไม่เก่งพอจะเอาไปอวดใครเลยไม่เคยเล่นให้ใครฟังนอกจากฉันกับคุณพ่อ” แต่ในสายตาของเขาแล้วนั้นอย่างน้อยดนตรีที่แม่เขาบรรเลงไม่ว่าจะยังไงก็เพราะมากแถมยังเพราะกว่าเขาอยู่ดี ดนตรีที่บรรเลงจากมือที่เปื้อนเลือดของเขานั้นไม่มีทางและไม่มีวันจะทัดเทียมคุณแม่ได้แน่

“ถ้าจะลองฟังก็ได้ คิดว่าในแถวถัดไปน่าจะเป็นแผ่นเสียงเปียโนของคุณแม่นะ” เมื่อได้ยินดังนั้นแม่สาวนักดนตรีกลับมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วเกินคาดเพราะเธอจัดการคว้าแผ่นเสียงแถวต่อไปมาไว้เตรียมฟังอย่างว่องไว

“อะๆ แล้วก็นั่นสินะ ไวโอลีนประจำตัวของคุณเครอา‘เดอะไวท์ครอส’” และสมกับเป็นแฟนพันธุ์แท้แค่เพียงมองรอบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าไวโอลีนตัวตรงกลางที่ตั้งไว้อยู่ในตู้โชว์นั้นเป็นไวโอลีนที่แม่เขาใช้ในการเล่นมาตลอดแทบจะทั้งชีวิต

“นี่ๆ ฉันขอสัมผัสไวโอลีนตัวนั้นหน่อยสิ” ดวงตาของเธอจ้องไปยังไวโอลีนตัวที่อยู่ในตู้โชว์ด้วยแววตาที่เป็นประกายระยิบระยับ คานาเดะในตอนนี้นั้นดูราวกับเธอเป็นเด็กตัวเล็กๆที่อยากจะได้ของเล่นยังไงยังงั้นพร้อมกับส่งสายตาอ้อนๆมาขอเขา

“ขอโทษนะ แต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้” จะว่าเขาหวงก็ได้แต่ไม่ว่าจะยังไงเขาก็อยากที่จะเก็บไวโอลีนตัวนี้เอาไว้อยู่ดีเขาไม่ได้เก็บเอาไว้เพื่อต้องการจะเล่นเขาแค่เก็บไว้เพราะอยากจะให้มันเป็นของดูต่างหน้าคุณแม่เท่านั้น

“อือ ไม่เป็นไรหรอก ฉันเข้าใจว่ามันมีคุณค่าทางความรู้สึกกับนายนะ” แต่คราวนี้เธอกลับไม่ได้รบเร้าขอเขาเหมือนทุกครั้งและยอมถอดใจไปง่ายๆเธอรู้ดีว่าสำหรับเรย์แล้วนั่นคือสมบัติล้ำค่าที่ไม่มีวันจะมีอะไรมาแทนได้และเธอจะไม่แตะต้องมันตามที่เขาขอ

“ว่าแต่ไวโอลีนอีกสองตัวนี่?” เธอแปลกใจนิดหน่อยเพราะนอกจากไวโอลีนคู่มือของคุณเครอาในตู้แสดงใบเดียวกันยังมีไวโอลีนตั้งเอาไว้อยู่อีกสองตัวด้วยแม้ว่าเขาจะจัดวางเอาไว้ให้ไวโอลีนของคุณเครอาโดดเด่นที่สุดและจัดวางไว้อยู่สูงที่สุดเลยก็ตามแต่หากลองสังเกตดีๆไวโอลีนอีกสองตัวก็มีคุณค่าไม่แพ้กัน

“นั่นน่ะไวโอลีนของฉันเองแต่อย่าถามล่ะว่ามันชื่ออะไรเพราะมันไม่มี ตัวนึงเป็นไวโอลีนที่คุณแม่ซื้อมาให้ตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนอีกตัวเป็นไวโอลีนที่ฉันใช้เล่นในปัจจุบันน่ะ” แม้เขาจะไม่ได้เล่นไวโอลีนอีกตัวนึงแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังคงเก็บมันเอาไว้อยู่ดีเพราะมันเป็นหนึ่งในของขวัญไม่กี่ชิ้นที่เขาได้รับมาพร้อมกับความสุข

“จริงสิ จะว่าไปที่มาห้องนี้เพราะมีของอยากจะให้เธอนี่นะ” ตู้เก็บของอีกใบนั้นเธอเพิ่งจะได้รู้ว่าภายในนั้นมันมีไวโอลีนอยู่ตัวหนึ่งสีของมันเป็นไม้สีดำที่แลดูลึกลับหากแต่เพียงแค่มองก็สามารถรู้ได้เลยว่ามันทำมาอย่างปราณีตและมีจิตวิญญาณของผู้ทำแฝงเอาไว้อยู่ก่อนเธอจะลองเล่นดูเล็กน้อย

“นี่มันไวโอลีนสตาติวารี่นี่นา!!” เมื่อลองเล่นมันดูสักนิดเธอจึงรู้ได้ในทันทีว่านี่คือสุดยอดไวโอลีนล้ำค่าที่มีมูลค่ามหาศาลชนิดที่ใครต่อใครต่างก็ต้องการได้มันมาครอบครองกันทั้งนั้นชนิดที่ว่าหากขายไวโอลีนตัวนี้ไปสามารถใช้อยู่ได้อย่างสุขสบายไปทั้งชีวิตด้วยซ้ำ

“เก็บไว้กับฉันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นให้เธอเอาไปเล่นแล้วสร้างความสุขให้กับผู้คนด้วยเสียงดนตรีของเธอดีกว่า” เขาไม่มีความคิดจะเปลี่ยนไวโอลีนหากมันพังเขาก็จะซ่อมมันให้จงได้ดังนั้นเขาจึงให้มันกับคนที่เหมาะสมกว่าเช่นเธอคนนี้

“แต่ว่าของแพงแบบนี้มันจะดีเหรอ แถมฉันก็มีไวโอลีนประจำตัวอยู่แล้วด้วย” โดยส่วนตัวแล้วเธอยังคงชอบไวโอลีนที่ได้รับมาจากพี่สาวคนนั้นอยู่เลยแต่หากถามว่าเธออยากลองเล่นมันดูไหมต้องตอบว่าอยากเพราะแม้มันจะเก่าแก่แต่เสียงของมันก็ยังคงไพเราะเช่นเดิม

“เรื่องเงินไม่ต้องคิดมากเอาไปเถอะ อันที่จริงไวโอลีนตัวนี้ฉันก็ได้มันมาฟรีเหมือนกัน แล้วฉันก็ไม่ได้บอกให้เธอทิ้งไวโอลีนตัวเดิมแค่ลองเอามันออกมาเล่นบ้างก็พอ ดีกว่าให้มันมานอนอยู่เฉยๆ นั่นแหละ” เขาไม่ได้สนใจในราคาของมันเลยเพราะในสายตาของเขามันมีคุณค่าในตัวเองมากกว่านั้นโขเขาจึงไม่เคยนำไวโอลีนตัวนี้ไปเปรียบเทียบกับเศษเงินเหล่านั้นเลย

“อื้อ เอาเป็นว่าขอบใจนะ ฉันจะรักษามันอย่างดีเลย” ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าเธอจะได้ไวโอลีนแบบนี้แถมยังเป็นไวโอลีนในตำนานนั่นอีกก่อนที่เธอจะเก็บไวโอลีนที่ตนได้รับมาเข้าใส่กระเป๋าไวโอลีนที่เรย์ยื่นให้อย่างทะนุถนอม

“เอาล่ะทีนี้ฉันขอฟังดนตรีของคุณเครอาเลยก็แล้วกัน วันนี้ฉันขอนอนค้างที่นี่นะ” ปริมาณแผ่นเสียงที่เยอะถึงขนาดนี้นั้นคาดว่าฟังคืนนี้ทั้งคืนก็คงไม่หมดแต่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของร้านอาหารดังนั้นเธอกะว่าจะลองฟังมันทั้งวันทั้งคืนดู

“จะบ้าเรอะ ไว้ฟังวันอื่นสิ นี่ก็ดึกแล้วถ้าขืนดึกกว่านี้มันจะยิ่งอันตรายนะ แผ่นเสียงพวกนี้ไว้มาฟังพรุ่งนี้ก็ได้” เวลาล่วงเลยมาจนถึงห้าทุ่มแล้วด้วยซ้ำหากว่าแม่นี่ยังไม่ยอมกลับบ้านอีกเดี๋ยวขากลับจะเป็นอันตรายกับตัวเธอเอง

“ไม่เอา ฉันจะฟังวันนี้อ่ะ ไหนๆ ก็มีโอกาสฟังดนตรีของคุณเครอาทั้งที จะให้อดใจรอตั้งหนึ่งคืนมันนอนไม่หลับหรอก” แต่ในคราวนี้เธอกลับดื้อแพ่งขึ้นมาเสียแบบนั้นราวกับเด็กที่ไม่ยอมฟังเหตุผลเลยตั้งท่าจะฟังดนตรีให้ได้อยู่ท่าเดียว

“ไม่ได้ กลับไปก่อนไป เธอไม่ห่วงหน้าตาของตัวเองเลยหรือไงฟะที่มาค้างบ้านผู้ชายแบบนี้” อันที่จริงจะว่าบ้านของเขาก็ไม่ใช่ซะทีเดียวเพราะมีพี่สาวและน้องสาวของเขาอยู่ด้วยดังนั้นที่จริงเธอจะนอนค้างก็ได้นั่นแหละแต่เขาไม่ค่อยอยากให้เป็นแบบนั้นเท่าไหร่

“ไม่มีเหตุผลเลย ไม่ยอมๆ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะอยู่ฟังดนตรีของคุณเครอา” ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผลเมื่อรวมกับท่าทางงอแงเหมือนเด็กไม่ยอมโตแบบนี้ทำให้เรย์ยิ่งเหนื่อยใจมากขึ้นไปอีกและด้วยแรงดิ้นของเธอนั้นเองที่ทำให้เขาเสียหลักไปชั่วขณะ

“อะ” เธอส่งเสียงออกมาเบาๆเมื่อร่างที่เธอกำลังทุบใส่นั้นล้มลงและด้วยพื้นที่อันจำกัดส่งผลให้ร่างของเธอเอนล้มตามลงไปด้วยเช่นกันแน่นอนหากเป็นเรย์ในตามปกติย่อมสามารถตั้งหลักโดยไม่ล้มได้อยู่แล้วแต่ด้วยเขาต้องใช้มือทั้งสองข้างในการดันไม่ให้ของอย่างอื่นล้มตามการงอแงของแม่สาวคนนี้เลยทำได้เพียงเอนไปตามแรงดึงดูดโลกเท่านั้น

“โอย มึนนะเนี่ย” เธอรู้สึกมึนงงนิดหน่อยจากการล้มตัวลงแม้ว่าพื้นจะไม่ได้แข็งตามที่คิดก็ตามหากแต่ถึงแบบนั้นก็ทำให้ภาพที่เธอมองเห็นนั้นเบลอไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะเริ่มจับโฟกัสได้อีกครั้งและพบใบหน้าของเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในระยะที่แทบจะแนบชิด

แท้จริงแล้วไอ้ที่เธอล้มทับลงไปไม่ใช่พื้นอย่างที่เข้าใจแต่เป็นร่างของเรย์ต่างหากด้วยความที่เจ้าตัวมัวแต่ห่วงของว่าจะล้มตามตนเองเลยไม่มีโอกาสที่จะค้ำยันร่างตัวเองเอาไว้เลยบวกกับคานาเดะล้มตามลงมาด้วยทำให้เขาล้มลงไปกองกับพื้น

“นี่รีบๆ ลุกไปได้แล้วน่า ยัยบ๊อ...” เสียงของเรย์หยุดลงกลางอากาศเพราะใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นใกล้กับเขามากจนเกินไป ใกล้เสียจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจและกลิ่นกายหอมๆของเธออย่างเต็มที่ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มนั้นทำให้เรย์เริ่มปั่นป่วน

เขาเพิ่งจะรู้ว่าเธอตัวเล็กและบอบบางได้ถึงเพียงนี้ขนาดตัวของเธอนั้นแม้จะสูงกว่าแต่ก็ไม่ได้ใหญ่กว่าเรเดียมากเท่าไหร่นักแต่ส่วนที่เป็นผู้หญิงของเธอนั้นกลับนุ่มนิ่มจนเขารู้สึกได้เพราะการกดทับจากร่างของเธอเองและเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับรู้ว่าเธอมีสเน่ห์มากถึงเพียงนี้

ความดื้อซนเหมือนเด็กในยามนี้มลายหายไปสิ้นเหลือเพียงแต่ความงดงามเหมือนดั่งที่หญิงสาวคนนึงควรจะมี ดวงตาสีอำพันที่ราวกับดวงตาของแมวที่ซุกซนคู่นั้นมายามนี้มันกลับยากจะถอนสายตาออกไปจากเธอได้

มิหนำซ้ำหากเขาไม่ได้รู้สึกไปเองมันเหมือนกับว่าริมฝีปากของเธอมันกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้เขาไปเรื่อยๆ แม้มันจะเชื่องช้าจนแทบจะดูไม่ออกแต่หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ละก็ริมฝีปากของพวกเขาต้องประกบกัน

“พี่ชาย ทำไรอยู่อะหนูง่วงแล้วนะ รีบๆ นอนกันเถอะ” แม่น้องสาวที่ง่วงงุนแล้วแต่กลับยังไม่เห็นพี่ชายของเธอที่เตียงเสียทีทำให้เธอเป็นฝ่ายมาตามหาพี่ชายของเธอเองแต่เธอก็ต้องชะงักไปเมื่อพบภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี่

“อ๊า พี่คานาเดะทำไมมาแอบนอนกับพี่ชายตรงนี้อะ ไม่ยุติธรรมเลยให้หนูนอนด้วยสิ” เธอไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้าสักนิดและคิดว่าคานาเดะจะมาแย่งตำแหน่งประจำของเธอก็แก้มป่องขึ้นมาเล็กน้อยแต่นั่นทำให้ทั้งสองแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว

“เปล่า ไม่ใช่หรอกเรเดีย พี่ล้มน่ะเรย์เลยช่วยเข้ามารับแล้วก็ไปอยู่ในสภาพนี้อย่างที่เห็นเนี่ยแหละ” การอธิบายอะไรกับเรเดียเป็นอะไรที่ง่ายและยากในเวลาเดียวกันเพราะหากเธอยอมเชื่อละก็มันก็จะจบแค่นั้นแต่ถ้าเธอไม่ยอมเชื่อละก็คราวนี้ละเรื่องยาวแน่นอนแต่ในคราวนี้ดูเหมือนพวกเขาจะดวงดี

“อืม งั้นคานาเดะฉันขอตัวก่อนแล้วกัน จะฟังดนตรีก็ตามสบายนะ” เรย์ที่ได้โอกาสปลีกตัวก็ลากแม่ตัวน้อยออกไปจากห้องทันทีพร้อมกับความโล่งใจที่เรเดียเข้าไปในห้องอย่างพอดิบพอดีเพราะเขาไม่รู้เลยว่าหากแม่น้องสาวของเขาไม่เข้าไปเสียก่อนหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

“งั้นก็ไปนอนกันเถอะนะ” แต่คิดว่าคงไม่มีอะไรมากมันคงเป็นอุบัติเหตุเสียมากกว่าเพราะแม่สาวนักดนตรีก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้เลยเธอยังสามารถอธิบายเรื่องราวกับน้องสาวของเขาได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเรื่องที่เธอยื่นหน้าเข้ามาใกล้นั้นเขาคงรู้สึกไปเองมากกว่าละมั้ง

ส่วนทางด้านของคานาเดะนั้นแทนที่เธอจะหยิบแผ่นเสียงไปฟังอย่างอารมณ์ดีเหมือนดั่งที่ควรจะเป็นนั้นเธอกลับทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น ใบหน้าน่ารักของเธอขึ้นสีแดงก่ำ มือข้างหนึ่งวางเอาไว้ที่หน้าอกของตัวเองอย่างแผ่วเบา

“มะ เมื่อกี้มันอะไรน่ะ ทำไมเราถึงรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ล่ะ?” เมื่อครู่เธอเหมือนกับควบคุมตัวเองไม่ได้ไปชั่วขณะเลยทันทีที่เห็นว่าเรย์อยู่ใกล้ถึงเพียงนี้เธอก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นเร็วขึ้นแล้วหลังจากนั้นหัวมันก็โล่งไปหมด

เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์เมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจมากมายนักก่อนไล่เรื่องนี้ออกไปจากหัวและตั้งใจว่าจะไปถามเซร่าอีกที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel