chapter5-7
ใบหน้าของคาซึกิขึ้นสีแดงก่ำในทันทีก่อนที่เธอจะใช้มือทั้งสองข้างปิดบังหน้าอกที่เกือบจะโผล่พ้นเสื้อผ้าของตนมาเอาไว้พร้อมนั่งลงกับพื้นเพื่อบดบังไม่ให้เขาได้เห็นอีก ด้วยความที่เมื่อครู่นั้นเธอมัวแต่จดจ่อกับการต่อสู้ทำให้ไม่รู้ตัวเรื่องเสื้อผ้ากว่าจะมารู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่มีคนรู้ความลับของเธอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ในตอนนั้นเองเสื้อคลุมสีขาวตัวหนึ่งก็ถูกห่มอยู่บนร่างของเธอทำเอาคาซึกิชะงักไปก่อนที่จะหันไปมองเจ้าของเสื้อคลุมซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ของใครที่ไหนเลยนอกเสียจากหัวหน้าหน่วยของเธอเองที่ยังคงหน้าขึ้นสีระเรื่อเช่นกัน
“ขอบคุณ” คำพูดแผ่วเบาและอ่อนหวานหลุดออกมาจากปากของคาซึกิในทันทีทำให้รับรู้ได้เลยว่าที่ผ่านๆมานั้นเจ้าตัวพยายามทำเสียงตัวเองให้แข็งขึ้นมากเพียงไรแม้จะยังคงรู้สึกหน้าร้อนๆจากเรื่องเมื่อครู่ก็ตาม แต่ยังไงเสียเขาก็ไม่ใช่คนผิดคนที่ผิดคือเธอที่ทำอะไรไม่ระวังตัวต่างหาก
“ไม่เป็นไรแต่คาซึกิทำไมนายไม่สิ เธอถึงต้องปิดบังเพศของตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นผู้หญิงแล้วหน่วยทหารมนตราจะไม่รับสักหน่อย” กองทหารมนตราไม่ได้กีดกันในด้านเพศเนียร์และเทรีเซียที่เป็นผู้หญิงยังได้รับงานสำคัญๆไปทำเสียด้วยซ้ำ ในกองทหารมนตรานั้นไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่สำคัญนอกเสียจากฝีมือ
“ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ฉันทำแบบนั้นตั้งแต่ก่อนเข้าหน่วยทหารมนตราแล้ว” อันที่จริงแล้วการจะเล่าให้ฟังก็ออกจะน่าอายนิดหน่อยแต่ไม่รู้ทำไมพอเธอคิดว่าคนที่เธอเล่าให้ฟังคือเรย์แล้วคำพูดมากมายกลับพรั่งพรูออกมา
“ไหนๆ ก็ไหนๆ ฉันจะเล่าอดีตทั้งหมดที่มีให้ฟังเลยก็แล้วกัน ก็อย่างที่นายรู้ฉันน่ะสูญเสียความทรงจำ รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่แบบนี้แล้วตอนนั้นน่ะตัวฉันอายุสิบเอ็ดขวบเอง ” ตอนนั้นตัวเธอยังจำได้ดีว่าตนเองอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่งของติดตัวมีเพียงดาบเล่มหนึ่งกับตรานั่นเท่านั้นเธอทั้งหวาดกลัวและสับสนไปหมดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
ความคิดแรกที่เธอรู้ก็คือหิวมากเธอจึงลองเข้าไปในเมืองแต่ตัวเธอไม่มีเงินเลยแม้แต่เหรียญเดียวทำให้แทบไม่สามารถหาซื้อของกินได้เลยแต่ในตอนนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งยื่นข้าวปั้นให้กับเธอก้อนหนึ่งซึ่งเธอในตอนนั้นแปลกใจมากเลยทีเดียว
เขามีดวงตาสีแดงเหมือนกับเลือด ผมสีดำยาวสยายถึงปลายขาเสียด้วยซ้ำใบหน้าของเด็กคนนั้นราบเรียบไร้อารมณ์แต่ตัวเธอในตอนนั้นไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนักรีบคว้าข้าวปั้นนั้นไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ได้ถามอะไรเธอสักคำ
‘ทำไมนายถึงมาช่วยฉันละ?’ เธอเอียงคอมองเขาด้วยความแปลกใจเพราะอันที่จริงแล้วเธอไม่เคยคาดคิดด้วยซ้ำไปว่าจะมีคนมาช่วยจนตอนแรกเธอคิดว่าตัวเธออาจต้องทนหิวตายแต่การที่มีคนมาช่วยนั้นทำให้เธอดีใจไม่น้อยเช่นกัน
‘ไม่รู้ ก็แค่สัญชาตญาณมันสั่งมาแบบนั้น’ เด็กชายคนนั้นตอบเสียงเรียบแต่แฝงความแปลกใจราวกับว่าตัวเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันและสีหน้าที่ราบเรียบนั้นฉายแววงงชีวิตตัวเองนิดหน่อยที่ไม่เข้าใจว่าตนกำลังทำอะไรอยู่ทำให้เธออดหัวเราะเบาๆไม่ได้
‘นายนี่พิลึกจริง’ เธอที่ได้เห็นสีหน้าแบบนั้นของเด็กชายก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ไม่รู้เพราะอะไรในยามที่เธอได้อยู่ใกล้เขานั้นเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันตาแม้ว่าจะไร้ซึ่งความทรงจำใดๆก็ตามหากแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่ได้หวาดกลัวเด็กชายผู้นี้เลย
‘ดูเหมือนว่าได้เวลาที่ฉันต้องไปแล้ว’ เด็กคนนั้นก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ข้อมือข้างขวาส่วนทางด้านของเธอนั้นกลับอดรู้สึกใจหายวาบไม่ได้เพราะหากเด็กคนนี้จากไปก็เท่ากับว่าเธอจะต้องอยู่คนเดียวอีกครั้งแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นเช่นกัน
‘นี่เงินส่วนนึง คงพอให้เธอใช้ได้ทั้งเดือนแต่ถ้าจะให้ดีอย่าให้ใครเห็นมันเพราะพวกนั้นอาจจะมาปล้นไปจากเธอก็ได้ สักวันบางทีพวกเราคงได้เจอกันอีก’ เด็กคนนั้นยื่นกระเป๋าเงินให้เธอใบนึงซึ่งภายในนั้นมีธนบัตรอัดแน่นอยู่เป็นจำนวนมากก่อนที่เจ้าตัวจะเดินลับสายตาของเธอไปอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มฝึกฝนร่างกายของตัวเองเพราะรู้ดีว่าตัวเธอในตอนนี้ไม่มีใครเลย ทางที่ดีที่สุดคือพึ่งตนเองแต่การฝึกดาบของเธอนั้นเป็นไปอย่างลื่นไหลเพลงดาบลมฝนใบไม้ผลิเธอนึกชื่อเพลงดาบของตัวเองออกและมันเป็นสิ่งที่ทำให้เธอแน่ใจว่าเธอเคยมีตัวตนมาก่อน
ในระหว่างการใช้ชีวิตอยู่ของเธอนั้นค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากเพราะการเป็นผู้หญิงมันไม่สะดวกในหลายๆเรื่องทั้งการรับงานจากสถานที่ต่างๆรวมไปถึงการที่ต้องระวังตัวมากจนเธออดรู้สึกเหนื่อยไม่ได้และเมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงย้ายเมืองและปลอมเป็นเด็กผู้ชายก่อนเข้าทำงานตามบอร์ดวางงานซึ่งโดยมากจะเป็นภารกิจหาของและส่งของเสียมากกว่า
การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหม่นั้นค่อนข้างราบรื่นเป็นอย่างยิ่งอาจเพราะด้วยความที่ตอนนั้นเธออายุสิบสองแล้วด้วยดวงตาสีเขียวดุจผืนป่าที่คมกริบและดาบในมือทำให้ไม่ค่อยมีใครมายุ่งเท่าไหร่ การทำงานที่นั่นทำให้เธอได้ฝึกการใช้มนตราและรวบรวมทุนทรัพย์ไปการตามหาอดีตของตัวเองไปด้วย
แต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก เมืองที่เธออาศัยไม่ใช่เมืองที่ใหญ่อะไรทำให้เครือข่ายข่าวสารนั้นค่อนข้างจะมีจำกัดในตอนอายุสิบสี่เธอจึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับกองทหารมนตราซึ่งกว่าที่เธอจะฝ่าการทดสอบเข้ามาได้นับว่าหนักหนาสาหัสพอดูแต่ก็สามารถผ่านเข้ามาได้
เธอไม่ได้เข้าร่วมสงครามเมื่อตอนอายุสิบห้าเนื่องจากเห็นว่าตัวเธอเองยังไม่มีฝีมือมากขนาดนั้นและเธอยังรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องเข่นฆ่าชีวิตไปมากมายโดยไร้ประโยชน์มิเช่นนั้นเธออาจจะมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้แล้วก็เป็นได้
หลังจากทำงานมาได้ระยะหนึ่งเธอจึงตัดสินใจขอยื่นเรื่องเข้าหน่วยทั้งเจ็ดของกองทหารมนตราซึ่งก็อย่างที่รู้การเข้ามีเพียงแค่สองวิธี หนึ่งคือต้องเป็นการทาบทามจากตัวหัวหน้าหน่วยนั้นๆด้วยตัวเองเหมือนดั่งในกรณีที่เรย์ชวนอลันให้มาทำงานด้วยและสองก็คือวิธีในแบบของเธอยื่นเรื่องต่อผู้บังคับบัญชาสูงสุดพิจารณาความเหมาะสมแต่ก็ต้องดูว่าการตอบรับจากหัวหน้าหน่วยนั้นๆเป็นเช่นไร
ที่เธอยังคงแต่งกายเป็นผู้ชายอยู่นั้นเป็นเพราะความสะดวกในการทำงานเป็นหลักอีกทั้งเธอคิดว่าการที่เธอตามหาอดีตของตัวเองโดยการใช้ตรานั้นอาจทำให้มีอันตรายมาถึงตัวเธอได้จึงคิดว่าการปลอมตัวเป็นผู้ชายน่าจะช่วยพรางตาคนอื่นได้ในระดับนึง
“ก็ประมาณนี้แหละเหตุผลของฉัน ขอโทษนะที่หลอกนายมาตลอด” เธออดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขาจะโกรธหรือเปล่าแต่ถึงแบบนั้นมันก็คงพูดคำอื่นไม่ได้นอกจากขอโทษแต่เรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าโล่งใจอย่างประหลาด
“ไอ้เราก็นึกว่าลูกตากับสัมผัสของเราเพี้ยนไปแล้วซะอีก” เสียงถอนหายใจดังมาจากคนข้างตัวพร้อมกับสีหน้าที่โล่งใจยิ่งกว่าอะไรทำเอาเธออดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้กับท่าทางแปลกประหลาดของเรย์แต่เจ้าตัวกลับกลบเกลื่อนในนาทีต่อมา
“ไม่ต้องขอโทษหรอกน่า มันเป็นเรื่องจำเป็นนี่นะอันที่จริงการกระทำของเธอก็นับว่าถูกต้องด้วยซ้ำ” เขาไม่ได้คิดมากเรื่องโดนหลอกก็แค่เสียเส้นนิดๆที่เคยเห็นคาซึกิสาวอย่างประหลาดเท่านั้นเองแต่ตอนนี้เขารับรู้เหตุผลนั้นแล้ว
“ไม่โกรธฉันจริงๆ เหรอ” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นทำให้เธอสบายใจขึ้นมาทันตาแต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังต้องการคำยืนยันจากปากเขาอีกครั้ง
“ก็บอกว่าไม่ต้องขอโทษแล้วจะไปโกรธได้ไงฟะ เธอจะเลือกแต่งตัวแบบไหนมันก็เป็นสิทธิของเธอฉันห้ามไม่ได้หรอก ก่อนหน้านี้เธอก็ยังไม่ไว้ใจฉันด้วยจะมีเรื่องปิดบังเอาไว้ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แต่มีเรื่องนึงที่ฉันแปลกใจมากกว่า” แน่นอนไอ้เรื่องที่ผ่านมาเขาไม่ได้ว่าหรอกเขาถือคติว่าหากไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกแค่วันนี้เขาได้มารับรู้โดยบังเอิญมันก็เท่านั้นเอง
“เอ่อ เธอซ่อนเอาไว้ได้ไงน่ะ ตอนปกติฉันเห็นมันแบนราบไปหมดเลยนี่” คำพูดของเรย์ทำเอาแม่สาวข้างตัวหน้าร้อนฉ่าคำพูดที่ถามมานั้นทำเอาดวงตาของเธอลุกวาวเพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะถามคำถามเช่นนี้ออกมา
“ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่อย่าทำท่าเหมือนจะเอาดาบไล่กระซวกกันเลย ฉันเหนื่อยจนจะหมดแรงแล้ววันนี้” ถึงจะรู้ว่าเสียมารยาทแต่เขาสงสัยจริงๆว่าทำอีท่าไหนถึงซ่อนได้เนียนขนาดนี้คาซึกิที่ได้ยินดังนั้นก็เม้มปากแน่นราวกับไม่พอใจน้อยๆ
“เอาผ้า...ไว้”
“หา?” เสียงเบาหวิวที่แทบจะเป็นเสียงกระซิบนั้นหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากสวยเบื้องหน้าหากแต่ถ้าเขาไม่ได้เกิดอาการหูฝาดขึ้นมาอย่างกระทันหันแล้วละก็แม่นี่กำลังจะตอบคำถามของเขาใช่หรือเปล่า
“ก็บอกว่าฉันใช้ผ้าพันเอาไว้ในตอนใส่ชุดผู้ชายไงเล่า!! ตาบ้า!!” น้ำเสียงของเธอเจือด้วยความอายที่ต้องมาพูดถึงเรื่องพวกนี้ส่วนทางด้านของเรย์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตากว้างเพราะขนาดที่เขาเห็นนั้นไม่จัดว่าเล็กการเอาผ้าพันไว้จะไม่อึดอัดแย่หรือ
“ถ้านายยังจ้องแบบนั้นอีก ฉันจะเอาดาบกระซวกตามที่นายต้องการละนะ” สายตาของเขานั้นทำเอาเธออดที่จะขวยเขินไม่ได้แค่ต้องมาบอกเรื่องนี้เธอก็อายจะแย่อยู่แล้วยิ่งมาเจอกับสายตาของเขาเมื่อครู่อีกทำเอาเธออายแทบแทรกแผ่นดินหนีแต่พอมาลองคิดดูทำไมเธอถึงต้องบอกออกไปตามตรงด้วยนะ
“แล้วนายละ ทำไมนายถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้ ตอนแรกฉันนึกว่านายอยู่ในสภาพแบบนี้เพราะแต่งหญิงแต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่สินะ” เธอพยายามเปลี่ยนเรื่องของตัวเองพร้อมจ้องมองไปยังสัญลักษณ์ที่หลังมือของเขาส่วนเรย์ที่เห็นดังนั้นก็ถอนใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“ก็นะ จริงๆก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกว่าจะบอกเธออยู่เหมือนกันเพราะอลันและคนในหน่วยทั้งเจ็ดส่วนใหญ่ก็รู้กันทั้งนั้น” อันที่จริงแล้วคาซึกิเป็นคนเข้าใหม่เลยยังไม่รู้ในขณะที่คนในหน่วยทั้งเจ็ดแทบทุกคนยกเว้นเนียร์ที่เจ้าครอสขอให้ไม่บอกเรื่องนี้กับเธอรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
“ถ้าจะให้เทียบแล้วพวกเราคือกลุ่มคนพิเศษในหมู่ผู้มีพลังพิเศษอีกทีมั้ง เป็นตัวตนที่มีพลังสูงกว่าผู้มีพลังพิเศษทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด พวกเราถูกเรียกว่าอัลคาน่า(Acrana)” เขาพยายามนึกเลือกสรรคำพูดว่าตนจะอธิบายให้คาซึกิฟังเช่นไรดีเนื่องจากไอ้ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าไอ้อัลคาน่าที่โดนกรอกหูมานี้มันยังไงกันแน่
“พวกเราไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอัลคาน่าอย่างพวกเราขึ้นมา จะบอกว่าเป็นมนุษย์รูปแบบใหม่ต่อยอดจากมนุษย์ที่มีพลังพิเศษก็ไม่น่าใช่ ยังไม่มีข้อมูลอะไรมากนักแต่ที่รู้แน่ๆก็คือสัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของอัลคาน่าคือตัวเลขโรมันที่หลังมือนี้” สัญลักษณ์ XI ที่อยู่บนหลังมือของเขานั้นแท้จริงแล้วมันคือตัวเลขโรมันที่มีความหมายว่าเลข11นั่นเอง
“สัญลักษณ์พวกนี้มีความหมาย เพราะอัลคาน่าอย่างพวกเราจะมีความสามารถพิเศษตามไพ่ทาโร่แต่ละใบของฉันคือหมายเลข11 Justice ก็แปลตรงตัวเลยนั่นแหละว่าความยุติธรรม ทำให้ฉันมีความสามารถในการใช้มนตราธาตุแสงสูงขึ้นรวมไปถึงทำให้พลังมนตราธาตุแสงยังสูงมากขึ้นด้วย” คำบอกเล่าของเรย์นั้นเธอฟังอย่างตั้งใจเพราะมันเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินเรื่องอะไรทำนองนี้และเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาเล่าถึงตัวเอง
“หมายความว่าครอส คานิวาลที่ปรากฏสัญลักษณ์แบบนี้เหมือนกันก็เป็นอัลคาน่าเหมือนกันสินะ” แน่นอนเธอสังเกตเห็นสัญลักษณ์ตรงหลังมือของครอสเช่นกันแต่ตอนนั้นเธอไม่ได้ถามเพราะยังไงเสียมันก็ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจแถมเธอก็ไม่ได้สนิทกับคนที่พูดถึงมากขนาดนั้น
“ใช่ ครอสคือหนึ่งในนั้น อัลคาน่าของหมอนั่นคือหมายเลข1 Magician เป็นพวกที่มีความสามารถหลากหลายและครอบคลุม การที่หมอนั่นสามารถทำให้เทพต่างๆมาอยู่ใต้อาณัติและใช้งานได้ก็เป็นเพราะหมอนั่นคืออัลคาน่าด้วยละนะ”
ตามปกติแล้วมนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำสัญญากับเทพได้เลยแค่องค์เดียวก็ยิ่งกว่าปาฏิหารย์แล้วแต่นี่ครอสสามารถทำสัญญากับเทพได้ถึงสององค์นั้นนอกจากจะเป็นเพราะพลังมนตราสายไร้ธาตุแล้วยังมีสาเหตุมาจากหมอนั่นคือหนึ่งในอัลคาน่าด้วย
“แล้วทำไมนาย ถึงมาอยู่ในสภาพแบบนี้” ที่เล่ามาทั้งหมดมันยังไม่มีเหตุผลข้อไหนเลยที่จะบอกได้ว่าเพราะเหตุใดเรย์ถึงมาอยู่ในสภาพแบบนี้ทั้งผมที่ยาวขึ้น ผิวที่ขาวนวลเนียน รวมไปถึงร่างกายที่เพรียวบางขึ้นไม่ว่าจะมองยังไงร่างของเรย์ในยามนี้ก็ค่อนไปทางสตรีมากกว่าบุรุษอยู่โข
“ไม่รู้สิ เรายังมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก ตามปกติแล้วอัลคาน่าแต่ละคนนั้นยามเมื่อเรียกใช้สัญลักษณ์ของตัวเองจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแต่ก็ไม่เคยมีใครเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากถึงขนาดฉัน ปัจจุบันก็ยังไม่รู้เหตุผลแต่ฉันเลิกใส่ใจไปแล้ว” ถึงไม่รู้ก็ไม่เห็นจะตายเพราะยังไงเสียไอ้ที่เปลี่ยนไปมันก็แค่รูปร่างภายนอกเท่านั้นเองทั้งร่างกายและจิตใจของเขายังเป็นผู้ชายเหมือนเดิม
“ว่าแต่ที่บอกว่าไพ่ทาโร่น่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อไพ่แบบนี้มาก่อนเลย มันเป็นไพ่แบบไหนและมีกี่ใบกันแน่” เป็นรูปแบบไพ่ที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลยแม้จะพยายามคิดเช่นไรแต่เธอก็ไม่เคยได้ยินชื่อไพ่แบบนี้มาก่อนในชีวิตจริงๆ
“ไม่รู้จักก็ไม่แปลกเพราะเห็นบอกว่าไพ่แบบนี้น่ะหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ตัวไพ่น่ะเมื่อก่อนถูกใช้ในการทำนายเป็นจำนวนมากแต่ไม่รู้ทำไมถึงเสื่อมความนิยมไปจนปัจจุบันแทบจะสูญหายไปแล้วด้วยซ้ำ” เขาไม่ได้สนใจอะไรศาสตร์ด้านการทำนายพวกนี้เลยสักนิดจึงไม่ได้ใส่ใจขนาดเจ้าครอสที่ค่อนข้างรอบรู้ยังไม่ค่อยมีข้อมูลพวกนี้มากนักเลย
“แล้วในหน่วยทหารมนตรามีอัลคาน่าแบบนายกี่คนงั้นเหรอ” เห็นเขาบอกว่าคนในหน่วยส่วนใหญ่รู้นั่นย่อมหมายความว่านอกจากครอสและเรย์แล้วน่าจะมีอัลคาน่าคนอื่นๆในกองทหารมนตราด้วยส่วนทางด้านของเรย์ยักไหล่เบาๆ
“เรื่องนี้ไม่ขอตอบนะ ถึงพวกนั้นหลายคนจะไม่ได้ปิดบังแต่ฉันก็ไม่อยากพูดออกไปรอให้พวกนั้นบอกเองหรือใช้ให้ดูจะชัดเจนกว่า และอีกอย่างฉันก็ไม่แน่ใจถึงจำนวนจริงๆด้วยเพราะไม่ใช่อัลคาน่าทุกคนที่แสดงตัวออกมาบางคนก็ปกปิดพลังของตัวเองเอาไว้เหมือนกัน” เขาไม่อยากบอกถึงไพ่ตายของชาวบ้านเท่าไหร่และอีกอย่างเขาไม่แน่ใจถึงจำนวนอัลคาน่าในกองทหารมนตราเสียด้วย
ส่วนทางด้านของคาซึกินั้นพยักหน้ารับเธอไม่ได้ว่าอะไรที่เขาไม่ยอมบอกในเรื่องนี้เพราะเธอไม่ได้อยากรู้เสียเท่าไหร่ต่อให้จะมีคนประเภทนี้มากกว่านี้มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอแค่เขายอมเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังเธอก็อารมณ์ดีแล้ว
“นี่ฉันขอร้องอะไรอย่างหนึ่งสิ เอ่อคือ...” เธอรู้สึกอึกอักเล็กน้อยกับการที่ต้องพูดแบบนี้ส่วนทางด้านของเรย์นั้นตวัดดวงตาสีฟ้าครามของตนเองหันมายังแม่สาวข้างตัวด้วยความแปลกใจแต่ก็พร้อมจะรับฟังในสิ่งที่เธอพูด
“ช่วยอย่าบอกใครได้ไหม ว่าฉันเป็นผู้หญิงน่ะ ขอร้องล่ะนะ” ด้วยความที่เธอเคยชินกับชุดเครื่องแบบชายของทหารมนตราไปแล้วอีกทั้งถ้าหากว่าต้องมาถูกคนอื่นจ้องมองในฐานะผู้หญิงเธอจะต้องรู้สึกแปลกๆแน่นอนเธอเลยอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน
“จะเอาแบบนั้นก็ตามใจ งั้นเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงจะเป็นความลับระหว่างฉันกับเธอแล้วกัน ฉันสัญญาว่าจะไม่บอกใคร” หากคาซึกิยังคงตามหาประวัติของตัวเองด้วยตรานั่นอีกเขาไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวจะปลอดภัยดังนั้นการให้คาซึกิปลอมตัวเป็นผู้ชายเช่นนี้อาจเป็นการดีกว่าก็ได้
“สัญญากันแล้วนะ เรย์” เธอยื่นนิ้วก้อยมาให้กับเขาราวกับต้องการคำสัญญาส่วนทางด้านของเรย์อดยิ้มออกมาไม่ได้ที่ในวันนี้นั้นเขาได้เห็นมุมมองน่ารักๆมากมายของแม่สาวแต่งหนุ่มคนนี้ก่อนที่จะเกี่ยวนิ้วก้อยของตนกับเธออย่างไม่ลังเล
“ฉันราคิออส ไรคาลิส ขอสาบานว่าความจริงนี้จะไม่มีวันหลุดจากปากฉันแน่นอน” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเธอก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนและงดงามสมกับเป็นเด็กสาวที่ทำเอาเรย์อดใจเต้นไปวูบนึงไม่ได้เหมือนกัน
“งั้นเรากลับเรือกันเลยดีกว่าเช้าแล้วด้วย แถมดูเหมือนเราจะมีเรื่องต้องทำอีกพอตัวเลย” เรย์ปรายตามองไปยังแสงตะวันแรกที่เริ่มทอแสงออกมาเวลาจากการต่อสู้และการนั่งคุยกันของเขากับคาซึกินั้นไปๆมาๆเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเช้าเสียแบบนั้น
