บท
ตั้งค่า

chapter3 part2

“ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้นล่ะ มันน่าเกลียดขนาดนั้นเชียว?” เสียงที่หลุดรอดออกมาจากปากในตอนแรกนั้นมันไม่คุ้นหูเท่าไรนัก แต่พอลองฟังดีๆ แม้จะหวานกว่าเก่ามากแต่ก็พบว่ามันค่อนข้างเข้าเค้าทีเดียว

“อา ผมก็พอเข้าใจความรู้สึกนะ เพราะตอนแรกที่เห็นเรย์ในสภาพนี้ผมก็อ้าปากค้างไปเลย” ต้องบอกว่าเป็นท่าทีของคนทั่วไปที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้มากกว่า เพราะในตอนที่เขาได้เห็นเรย์ในสภาพนี้ครั้งแรกตนหนักกว่านี้อีก

“อ้าวๆ ตกลงเป็นอะไรไปเนี่ย นิ่งไปเลย มันยังไงนะทุกคนที่เห็นสภาพนี้ครั้งแรกจะเป็นอย่างนี้ทุกราย หรือเราไม่เหมาะกับชุดแบบนี้จริงๆ น้อ” ทางด้านของเรย์ที่อยู่ในสภาพของเมดสาวรู้สึกหนักใจหน่อยๆ ก่อนจับกระโปรงของตัวเองพร้อมหมุนตัวไปด้วย

“ไม่นึกเลยจริงๆ ว่านายจะมีรสนิยมแบบนี้” กว่าจะตั้งสติได้ก็ปาเข้าไปนานพอดู และในทันทีที่คาซึกิกลับมาตั้งสติได้ เจ้าตัวก็แสดงสีหน้าเคลือบแคลงและคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่ปิดบัง

“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้สายตาแบบนั้นจะบ่งบอกอะไรแต่ขอปฏิเสธทุกกรณีเลย ที่แต่งชุดนี้น่ะไม่ใช่ความต้องการของฉันเลย แต่เป็นเพราะยัยหนูนั่นล้วนๆ” แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่จากลางสังหรณ์ทำให้เขารู้ได้ทันที ว่าหากไม่สวนอะไรกลับไปมีหวังเกิดข่าวลือผิดๆ เป็นแน่

“เรเดียน่ะแต่ไหนแต่ไรมาชอบชุดพวกนี้มาก ถึงขนาดที่ฝึกเย็บชุดพวกนี้ด้วยตัวเองเลยด้วย แถมยังชอบอ้อนให้ฉันไม่ก็พี่ไรอาใส่ประจำเลย และถ้านายลองคุยกับเรเดียแล้วจะรู้ การจะปฏิเสธอะไรเด็กคนนั้นมันลำบากอยู่นา แถมยังถนัดการมัดมือชกมากด้วย” คำพูดของเรย์นั้นคาซึกิเข้าใจเป็นอย่างดี กับเด็กที่สดใสและร่าเริงขนาดนั้น การจะปฏิเสธอะไรออกไปมันก็พูดลำบากอยู่

“ถึงแบบนั้นก็เถอะ” แม้จะพอเข้าใจเหตุผลแล้วก็ตามหากแต่คาซึกิก็ยังอดแปลกใจไม่ได้อยู่ดี ทั้งร่างกายที่ผอมสัดส่วนที่แม้จะขาดหน้าอกไปเสียหน่อย แต่กลับมีเค้าลางของเอวและสะโพก ผิวกายที่ขาวเนียนจนราวกับไม่ใช่ผู้ชาย และที่สำคัญที่สุดคือเรือนผมสีขาวที่ตอนนี้ยาวสยายถึงเอวของเจ้าตัว ทำให้ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนร่างตรงหน้าก็เป็นผู้หญิงชัดๆ

“แล้วก็นะอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครล่ะ เพราะเห็นนายเข้าหน่วยที่สี่แล้วหรอกนะถึงยอมบอก เข้าใจรึเปล่า?” และยิ่งเมื่อมารวมกับน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คาซึกิรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่ว่าตกลงแล้วร่างตรงหน้าเป็นชายหรือหญิงกันแน่?

“อย่าคิดมากเลยใหม่ๆ ก็จะรู้สึกแบบนี้แหละ แล้วสักพักจะชินไปเอง” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังทำให้ทุกคนในที่นั้นชะงัก ก่อนพร้อมใจกันหันหลังไปมองอย่างพร้อมเพรียง

ร่างที่นั่งอยู่เบื้องหลังนั้นเป็นร่างของชายผู้หนึ่งผมสีเทาออกซีด ดวงตาสีน้ำตาลดำคู่นั้นปรือๆราวกับคนง่วงนอนใบหน้าฉายชัดถึงความเบื่อหน่าย เขาสวมชุดสีขาวสะอาดและเป็นเครื่องแบบของหน่วยทหารมนตราเหมือนกับชุดที่เรย์สวมก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เพียงแต่ที่ผ้าคลุมของเขานั้นไม่ได้มีสัญลักษณ์ไม้กางเขน หากแต่มันกลับแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ดาวหกแฉก

ข้างกายมีร่างของเด็กหนุ่มผมแดงผู้หนึ่งนั่งอยู่ดวงตาสีแดงคู่นั้นราวกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอยู่ภายใน เขากำลังแสดงสีหน้าเรียบสนิทไม่สนใจสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

“หวัดดีครอส ไม่นึกว่าวันนี้นายจะมาสิงอยู่ที่ร้านอาหารของฉันได้นะเนี่ย” เมดสาว(?)เดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังปรือดวงตาอย่างแปลกใจ ส่วนทางด้านของคนถูกเรียกนั้นโบกมือรับการทักทายทีหนึ่งก่อนเบนสายตาจับจ้องมาที่คาซึกิแทน

“อา หวัดดีเรย์ อลัน แล้วก็หน้าใหม่ ไม่รู้หรอกนะทำยังไงถึงทำให้เจ้าเรย์มันยอมรับเข้าหน่วยได้ แต่นับว่าแน่เหมือนกันนี่” ชายคนนั้นหรี่ตาลงเล็กน้อยดวงตาที่เมื่อครู่ปรือราวกับเบื่อหน่าย แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยประกายแห่งปัญญาทำเอาคาซึกิขมวดคิ้ว

“ผู้ชายคนนั้นคือคุณครอส คานิวาลเป็นหัวหน้าหน่วยทหารมนตราที่หนึ่ง ส่วนทางด้านนั้นเขาไม่ยอมบอกชื่อจริงแต่บอกให้เรียกว่าชูเฉยๆ” อลันผายมือแนะนำคนที่เพิ่งเอ่ยปากทักทายอย่างรวดเร็ว ทำเอาคาซึกิอดขมวดคิ้วไม่ได้ที่ชายคนนี้นั้นเป็นหนึ่งในระดับหัวหน้าหน่วยกับเขาด้วย

“คามิงาริ คาซึกิสินะพอจะรู้แล้วล่ะ เรื่องที่พวกนายประลองกันน่ะตอนนี้กำลังแพร่หลายในโลกออนไลน์มากเลยล่ะ มีกระทั่งคลิปวีดีโอตอนที่พวกนายต่อสู้กันด้วย ต้องนับว่ามีดีเหมือนกันที่ต้านเจ้าเรย์โดยไม่พึ่งพลังพิเศษได้นานขนาดนี้” ครอสที่ใช้โทรศัพท์มือถือของตนเองเปิดคลิปบันทึกการประลองของเรย์กับคาซึกิที่ถูกอัดเอาไว้ตอนไหนก็มิอาจทราบให้ทั้งสองได้ชมกันอย่างรวดเร็ว

“ฝีมือลุงแกชัวร์” เรย์ถอนใจเบาๆ ที่การต่อสู้ของตนนั้นถูกถ่ายทอดออกไปให้รับรู้ถึงคนภายนอก แถมยังเป็นการต่อสู้ที่ต้องนับว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อีก ทำให้ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักที่มันถูกเผยแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง

“มันไม่ใช่อะไรที่น่าดูนักหรอกน่า ก็แค่การดวลดาบกันธรรมดา” เช่นเดียวกับคาซึกิที่ดูจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก สังเกตจากคิ้วที่ขมวดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก เพราะหากนั่นเป็นการต่อสู้จริงแล้วล่ะก็เขาคงถูกดาบของอีกฝ่ายบั่นคอไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ว่าแต่ครอส วันนี้นายไม่มีงานหรือไงถึงมาสถิตอยู่ที่ร้านของฉัน แล้วไม่กลับบ้านล่ะคุณน้องสาวที่น่ารักกำลังรอต้อนรับนายอยู่เลยนา”

“น้องสาวที่น่ารักกับทุกคนแต่ไม่น่ารักกับพี่ชายเลยสักนิดอะดิ แต่ไม่ต้องห่วงรายนั้นเขาไปทำภารกิจอยู่กว่าจะกลับก็อีกพักนึงละ” ครอสโบกมือเมื่อคิดถึงแม่น้องสาวของเขา ที่แม้ว่าจะมีหน้าตาที่น่ารักและกิริยามารยาทกับคนอื่นก็สุภาพเรียบร้อยกว่าใคร แต่พอมาอยู่กับเขาของพวกนั้นทั้งหมดดูราวกับจะเลือนหายไปจนสิ้น

“น้องสาวของนายน่ะน่ารักจะตาย อันที่จริงควรถามมากกว่าว่าทำอีท่าไหนน้องสาวนายถึงทำแบบนั้นน่ะ” แน่นอนว่าบางครั้งเขาก็รับสมาชิกนอกหน่วยมากทำภารกิจร่วมบ้าง และเขาก็เคยทำงานร่วมกับน้องสาวของเจ้านี่ ซึ่งในสายตาของเขาแล้วก็เป็นเด็กน่ารักเรียบร้อยคนนึงเลยทีเดียว

“เรื่องนั้นฉันก็อยากจะหาคำตอบอยู่เหมือนกัน เมื่อก่อนก็น่ารักดีอยู่หรอกแต่มาตอนนี้ไหงเห็นหน้าแต่ละทีถึงได้เหมือนกับไม่พอใจขึ้นมาแบบนั้นก็ไม่รู้” เจ้าคนเป็นพี่ชายที่ไม่เข้าใจหัวอกของน้องสาวได้แต่เกาหัว เพราะสำหรับเขาแล้วน้องสาวเหมือนเป็นสิ่งลี้ลับที่เขาไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยแม้แต่กึ่งก้อย

“ดูหัวหน้าสนิทกับครอสจังเลยนะ” คาซึกิกระซิบถามอลันเพราะทั้งสองคนนั้นคุยกันได้อย่างสบายอารมณ์เรื่อยเปื่อย โดยที่คนติดตามทั้งอลันและเด็กหนุ่มผมแดงข้างตัวของครอสนั้นไม่ได้มีท่าทีสนใจเลยสักนิด

“ก็นะในบรรดาหัวหน้าหน่วยทั้งเจ็ดคน ก็มีหัวหน้าหน่วยหนึ่งและสองนั่นแหละที่สนิทกับเรย์มาก หัวหน้าหน่วยที่สองน่ะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ส่วนคุณครอสเห็นว่านิสัยถูกคอเลยสนิทกันพอควรน่ะ” แน่นอนว่าเขาย่อมรู้จักกับหัวหน้าหน่วยทุกคนและเคยร่วมงานกันมาเกือบหมดแล้วด้วย แต่โดยส่วนมากแล้วเรย์จะสนิทกับสองคนที่เอ่ยถึงนี้มากเป็นพิเศษ

“พี่ชายอะใจร้าย ให้หนูล้างจานแล้วตัวเองมานั่งคุยกับคนอื่นเนี่ยนะ” แค่ได้ฟังเสียใสนั้นร้องประท้วง ไม่จำเป็นต้องหันไปก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าไม่ใช่ใคร นอกจากแม่น้องสาวจอมป่วนนั่นเอง

“ขอโทษๆ อย่างอนไปเลยนะคนเก่ง” แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ทางด้านของเรย์กลับไม่มีทีท่าสำนึกสักนิด กลับรู้สึกว่าอยากจิ้มแก้มที่พองขึ้นของเด็กหญิงขึ้นมาแทน และแน่นอนแม่สาวน้อยก็ยังคงงอนเช่นเดิม

“น่าๆ นะ อย่างอนเลยนะ” เรย์เดินไปลูบหัวของแม่สาวตัวน้อยอย่างเบามือ ทำให้ร่างเล็กจากที่อารมณ์ไม่ดีกลายเป็นยิ้มร่า ดวงตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นปิดลงอย่างเชื่องช้าราวกับต้องการรับสัมผัสจากพี่ชายของเธออย่างเต็มที่

โครม

แต่ในจังหวะนั้นเองเสียงประตูร้านก็ดังสนั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้คนทั้งหมดเพ่งความสนใจไปยังทางประตูร้านทันที

“เฮ้ย เอาอาหารกับเหล้ามาหน่อยเดะ” เสียงร้องโหวกเหวกจากกลุ่มคนมาใหม่ดังขึ้นมา ประเมินด้วยสายตาคิดว่าค่อนข้างเป็นกลุ่มใหญ่เอาเรื่อง เท่าที่ดูแล้วอายุของคนเหล่านี้นั้นน่าจะเป็นคนรุ่นเดียวกับเขาเสียด้วยซ้ำ ก่อนที่พวกมันจะเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ในร้านของเขาในทันที

“ร้านอาหารภาษาอะไรวะ เอาอาหารมาต้อนรับแขกไหน รู้รึเปล่าว่าท่านคนนี้เป็นใคร” คำพูดกร่างชนิดไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรมถูกพ่นออกมา ส่วนทางด้านของเรย์นั้นดวงตาสีฟ้าครามของเขาหรี่ลงเล็กน้อย

“ดูแลเมืองกันยังไงเนี่ย ปล่อยให้พวกบ้านี่มาได้ไง แล้วพวกมันไม่รู้รึไงว่าเมืองลาเฟสต้านี่มันถิ่นใคร” เรย์ดูจะแปลกใจไม่น้อยที่มีคนมาหาเรื่องกับร้านอาหารของเขาแบบนี้ เพราะเมืองนี้นั้นมีหน่วยทหารมนตราคอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเมือง อย่าว่าแต่ตัวเขาก็ใช่จะขาดแคลนชื่อเสียงขนาดนั้น

“อันธพาลต่างถิ่นมั้ง” แน่นอนว่าพวกที่มีสมองสังเกตดูก่อนสักนิดจะรู้ได้ไม่ยากว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่จะมาอาละวาดได้ตามใจ เพราะกระทั่งระดับหัวหน้าหน่วยอย่างพวกเขายังไม่ได้รับอภิสิทธิ์ขนาดนั้นเลย

“เจ้าอาร์ตตัวพ่อนั่นละ ปกติมีเรื่องเมื่อไหร่แบบนี้ก็แจ้นมาเลยนี่” แน่นอนหากบุคคลที่ถูกกล่าวอ้างถึงอยู่แล้วล่ะก็ไม่เกินสิบวิ เจ้าพวกนี้ไม่มีสิทธิมานั่งในร้านของเขาได้เสียด้วยซ้ำไป

“ถ้านายเดาความคิดเจ้านั่นออกเมื่อไหร่ ก็มาบอกฉันด้วยแล้วกัน” เขารู้ว่าเรย์หมายถึงใคร แต่ทั้งเขาและเรย์ต่างรู้ดีว่าเจ้านั่นมันคนพิลึกเข้าใจยาก มันคิดอะไรอยู่หรือจะทำอะไรอยู่ส่วนไหนของเมืองยิ่งยากจะมีใครบอกได้

“เฮ้ย บอกให้เอาอาหารออกมา ไม่ได้ยินหรือไง เดี๋ยวพังร้านนี้ซะเลย” เจ้าพวกนั้นยังคงทำตัวกร่างไม่เลิก โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าในร้านแห่งนี้นั้นมีเสืออยู่ถึงสองตัว และพวกมันกำลังทำการกระตุกหนวดของหนึ่งในนั้นอยู่ด้วย

“มีเรื่องอะไรกันหรือจ๊ะเรย์? เสียงดังกันจังเลย” แม่ครัวสาวที่ยังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนชะโงกหน้าออกมาถามด้วยความแปลกใจ เรือนผมสีเหลืองดุจดั่งแสงตะวันแรกนั้นถูกมัดเป็นหางม้ายิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้เธอมากขึ้นไปอีก

“ไม่มีอะไรหรอกครับพี่ไรอา เดี๋ยวผมขอตัวซักแปบนะครับ เข้าไปในครัวก่อนไปเรเดียให้พี่จัดการตรงนี้แปบ” จัดการรุนหลังน้องสาวของตัวเองให้เข้าไปในครัวพร้อมกับพี่สาวเสร็จสรรพ ซึ่งสองสาวก็ยอมเข้าห้องครัวไปแต่โดยดี ช่วยทำให้เรื่องสะดวกขึ้นมาก

“จะให้พวกผมลงมือเลยไหมครับ?” อลันถามขึ้นมาก่อนที่จะกระชับปืนในมืออย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับคาซึกิที่แม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรแต่ดูจากคิ้วที่ขมวดขึ้นและมือที่จรดอยู่ที่ดาบแล้ว เป็นสัญลักษณ์ว่าพร้อมลงมืออย่างเต็มที่

“ไม่ต้องหรอก พวกนายอยู่เฉยๆ ไปนั่นแหละ เดี๋ยวฉันจัดการเองดีกว่า” ชายที่แต่เดิมมีท่าทีเบื่อหน่ายแทรกขึ้นมาก่อนเดินเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีใครสังเกตเห็นเขาสวมถุงมือสีดำสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เฮ้ย ไอ้น้องมีอะไรหา? มองหน้าแบบนี้อยากมีเรื่องหรือไง”

“ฉันขอแนะนำให้พวกคุณคนไร้อารยธรรมทั้งหลายยอมแพ้แล้วไปกินข้าวแดงในซังเตแต่โดยดีจะดีกว่านะ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจ็บตัว” คำพูดที่แม้จะไม่ได้มีน้ำเสียงที่ดุดันหรือเหยียดหยามอะไรเลยก็ตาม แต่คำพูดที่ใช้ยังมากพอให้พวกมันพากันฉุนขาด

“เฮ้ย ไอ้น้อง วอนตายซะแล้วมั้งนี่!!” ปืนหลายกระบอกถูกเล็งเข้าใส่ ส่วนทางด้านของครอสที่เห็นดังนั้นกลับไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือสนใจเท่าไหร่รัก ตรงข้ามเขารู้สึกเหนื่อยใจเสียมากกว่า

“ที่วอนตายมันพวกแกต่างหาก ฉันจะให้โอกาสพวกแกอีกครั้ง วางอาวุธซะไม่งั้นอย่าหาว่าไม่เตือนกันล่ะ” ดวงตาสีน้ำตาลดำของครอสฉายแววเหนื่อยหน่าย หากแต่ทางด้านของคนเหล่านั้นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้คมกระสุนจึงถูกลั่นไกออกมาอย่างรวดเร็ว

เปรี้ยงๆๆๆๆๆๆ

เสียงปืนดังสนั่นขึ้นมาอย่างรวดเร็วแต่ทางด้านของครอสนั้นกลับไม่ได้มีท่าทีหนักใจ ไม่แม้แต่กระทั่งจะเคลื่อนไหว เขาปล่อยให้คมกระสุนเหล่านั้นพุ่งเข้าใส่ร่างของตัวเอง จนกระทั่งกระสุนเหล่านั้นห่างเขาในระยะไม่กี่สิบเซนติเมตร ก่อนหยุดมันไว้กลางอากาศราวกับเล่นกล

“ช่วยไปหัดยิงปืนมาหน่อยได้ไหม? เล็งกันไม่แม่นเลยนะให้ตาย รู้หรือเปล่าว่ารัศมีพลังของฉันมันแคบไม่เหมือนโล่คุ้มกันของเจ้าเรย์ เดี๋ยวก็ทะลุไปโดนข้าวของในร้านพอดี” ครอสที่แลดูจะเฉยชากับกระสุนเหล่านี้มาก แค่สะบัดมือคราหนึ่งกระสุนเหล่านี้ก็ลอยออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว

“จริงๆ วันนี้ไม่อยากออกแรงเลยแต่ก็ช่วยไม่ได้ ชู ลงมือ” สิ้นคำสั่งร่างของเด็กหนุ่มผมแดงที่แต่เดิมนั่งเฉยเอาแต่กวาดของกินเข้าปากไม่สนโลกอยู่ท่าเดียวก็พุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง พริบตาก็มาอยู่ต่อหน้าของชายสองในสิบคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“วะ เหวอ” เสียงร้องของสองคนนั้นดังขึ้นมาเมื่อถูกร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นเหวี่ยงออกไปด้านนอก ทั้งที่ขนาดตัวของชายสองคนนั้นมากกว่าเด็กหนุ่มที่ดูผอมบางคนนี้ร่วมเท่าตัว แต่กลับดูเหวี่ยงออกไปอย่างง่ายดาย

“เฮ้ย หน่วยทหารมนตรา” และในที่สุดก็มีหนึ่งในคนกลุ่มนั้นสังเกตเห็น ก่อนซัดศรไฟใส่ร่างของเด็กหนุ่มคนนั้นทันที หากเจ้าตัวกลับเฉยชาปล่อยเปลวเพลิงนั้นพุ่งใส่และปกคลุม แต่ไม่กี่อึดใจก็ดับลงก่อนเจ้าตัวจะเหวี่ยงหมัดใส่จนตัวงอแล้วโยนออกไปอีกหนึ่ง

“ชิ ไอ้บ้านี่” ทางด้านของคนอื่นๆ ที่เริ่มควักอาวุธกันออกมาแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะช้าเกินไป เพราะทางด้านของชายที่เป็นคนสั่งการเมื่อครู่ใช่ว่าจะอยู่เฉย เพราะเขาเองก็เข้าประชิดตัวศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หมัดและลูกเตะของครอสอัดเข้าใส่ร่างของคนกลุ่มนั้นในทันที ก่อนที่คนเหล่านั้นจะปลิวกระเด็นออกไปนอกร้านเช่นกัน เพียงไม่กี่วินาทีพวกเขาสองคนก็สามารถส่งคนเกือบทั้งหมดออกไปนอกร้านได้อย่างง่ายดาย

“หนอย งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง” สิ้นเสียงเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมาในทันที ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่ร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่อาจกระตุ้นต่อมความสนใจของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย

อาศัยแค่การสะบัดมืออย่างแผ่วเบา เปลวเพลิงเหล่านั้นก็ดับหายไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนกลุ่มนั้นตกตะลึงก่อนที่เด็กหนุ่มผมแดงจะตรงเข้าไปซัดหมัดเข้าปลายคางส่งร่างนั้นให้ลอยล่อง อัดอีกฝ่ายจนหมดสติกลางอากาศในพริบตา

“ก็บอกแล้วไงว่าให้รีบยอมแพ้ไปซะ พวกนายไม่มีวันชนะได้หรอก” ทั้งที่บอกและเตือนไปขนาดนั้นยังไม่ยอมฟัง มันทำให้อดที่จะเหนื่อยหน่ายใจไม่ได้กับการต้องมาเก็บกวาดขยะเช่นนี้สำหรับเขามันน่าเบื่อมาก แต่ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องลงมือเองทั้งหมดเพราะมีชูคอยทำแทนให้

“ชายคนนั้นไม่เบาเลย” ดวงตาสีเขียวคมกริบมองไปยังร่างของครอส ที่ยังคงยืนนิ่งดูลูกน้องตัวเองอัดเหล่าจิ๊กโก๋ไร้สมองเหล่านั้น แม้จะแค่ป้องกันตัวเองและลงมือเพียงไม่กี่ครั้งก็ตาม แต่ก็เห็นถึงฝีมือของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก

แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหยุดกระสุนและเปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามาได้ยังไง เพราะสัมผัสไม่ได้ถึงพลังมนตราเลยก็ตาม แต่ทักษะการต่อสู้เฉพาะตัวไม่จัดว่าต่ำ ทั้งการพุ่งเข้ามาที่รวดเร็วฉับไวการลงมือที่รุนแรงนั้น ถึงจะไม่ได้มีวิชาสายกระบวนท่าแต่ก็จัดว่าไม่เลวแล้ว

ส่วนเด็กหนุ่มที่ชื่อชูคนนั้น การโจมตีทั้งดุดันและรุนแรง การลงมือหนักหน่วงแม้จะไม่ได้เอาชีวิตก็ตามแต่เชื่อได้เลยว่าคนที่โดนซัดเข้าไปนั้น กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ก็คงอีกเป็นวันอย่างแน่นอน

เพียงไม่กี่นาทีครอสและชูก็สามารถจัดการอัดคนเหล่านั้นลงไปกองกับพื้นได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่เจ้าตัวจะถอดถุงมือสีดำของตนเก็บกลับไปในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็ว

“ขอบใจมากครอสที่อุตส่าห์ช่วยจัดการให้” หลังจบเรื่องทั้งหมดเสร็จ คนเป็นเจ้าของร้านก็เดินไปตบบ่าคนที่อุตส่าห์ช่วยลงมือจัดการเก็บกวาดเจ้าพวกนี้แทนให้ แต่ทางด้านของเจ้าตัวโบกมือกลับมาบอกว่าไม่เป็นไร

“ผมว่าคุณครอสเขาลงมือเพราะไม่อยากให้เรย์อาละวาดมากกว่า ถ้าเรย์จัดการพวกนี้ล่ะก็อย่างต่ำคงหักกระดูกไปสามสี่ท่อนแน่” ผิดกับอลันรู้นิสัยของเพื่อนตัวเองดี ลองมายุ่งกับร้านอาหารของพี่สาวและน้องสาวตัวเองเช่นนี้ รับรองว่าพวกนี้โดนเล่นงานหนักอย่างแน่นอน

“ขอจับพวกนี้ไปเข้าซังเตก่อนแล้วกัน โชคดี” พริบตาเดียวร่างของคนกลุ่มนั้นก็ลอยขึ้นสู่งกลางอากาศอย่างน่าพิศวง ทั้งที่ไม่มีอะไรไปแตะต้องคนเหล่านั้นเลยและไม่มีกลิ่นอายพลังมนตราด้วย ส่วนเด็กหนุ่มผมแดงผู้เป็นลูกน้องก็เดินตามครอสไปอย่างเงียบงัน

“เป็นคนแปลกชะมัด” แม้จะไม่ถึงขั้นพิลึกคาดเดาพฤติกรรมลำบากอย่างเรย์ก็ตามแต่ ชายเจ้าของนามครอส คานิวาลนั้นก็ดูไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไปเท่าไหร่ ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือสีหน้าที่เบื่อหน่ายแถมจะตลอดเวลานั้น

“เจ้านั่นน่ะมันอัจฉริยะ ถึงตัวหมอนั่นเองจะปฏิเสธหัวชนฝาก็เถอะ แต่ในสายตาของฉันแล้วเจ้าบ้านั่นน่ะรับมือยากพอๆ กับกองทัพใหญ่หนึ่งกองทัพด้วยซ้ำ” จริงอยู่ที่เขาไม่เคยปะทะกับครอสตรงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว หากแต่ถ้าเลือกได้เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับหมอนั่นนักหรอก

“ในบรรดาทหารมนตราทั้งหมดครอส คานิวาลเป็นคนเดียวที่ได้รับสมญานามว่าราชันแห่งมนตราเลยละนะครับ” หัวหน้าหน่วยทุกคนย่อมมีสมญานามเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น เพราะกว่าจะมาเป็นหัวหน้าหน่วยได้ต้องผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ฉายาพวกนี้จึงมีหลากหลายตามไปด้วย แต่ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะเลือกใช้ฉายาไหนเท่านั้น

“ราชันมนตรา งั้นเหรอ?” คาซึกิกลับไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ หากเด็กหนุ่มก็หาได้แปลกใจอะไรเลยสักนิดสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นการต่อสู้เต็มรูปแบบของครอสแล้ว จะไม่เห็นภาพเลยว่าทำไมครอสถึงได้รับสมญานามเช่นนี้

“เอาเถอะ เรื่องพรรค์นั้นช่างมันก่อน ฉันขอกลับเข้าไปช่วยพี่ไรอาเก็บกวาดร้านก่อนแล้วกัน ส่วนพวกนายสองคนจะกลับหรือจะอยู่ต่อก็ตามใจ แต่จานต่อไปฉันไม่เลี้ยงแล้วนะเฟ้ย” สิ้นคำเรย์ก็เดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ส่วนทางด้านของอลันและคาซึกิที่เห็นว่าไม่มีอะไรที่ตนจะแล้วจึงแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel