บทที่ 11 ในรถ
แต่เขาไม่เคยคิดไปในทางนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว
ตอนนี้ไป๋จือพูดออกมาอย่างใจกล้า เขาก็ยังคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้
“จือจือ เรื่องแบบนี้อย่าได้พูดส่งเดชเป็นอันขาด!”
“เธอจะไม่ชอบผมก็ได้ แต่อาจารย์โจวเขา...”
“ยังไง?”
ลู่ฮ่าวขมวดคิ้ว ผ่านไปเนิ่นนานถึงจะพูดเสียงกระซิบ
“เขาไม่ใช่คนที่เธอจะไปหาเรื่องได้”
รอยยิ้มของไป๋จือยิ่งดูหนาวสะท้านและประชดประชัน ตอนนั้นเอง หวังเจียวที่กำลังสิ้นหวังอยู่ด้านข้างกลับหัวเราะเยาะอย่างดูถูก
“ทำไมนายถึงมั่นใจขนาดนั้น?”
“นายรู้ไหมว่าแม้แต่ ‘ต้นฉบับเหวินซิน’ เธอก็ยังไปเอามาจากโจวฉงเหย่ได้”
“ว่าไงนะ?” ลู่ฮ่าวยากที่จะเชื่อเรื่องนี้ ไม่เข้าใจสักนิดว่าในนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
อีกด้านหนึ่ง ไป๋จือหยิบขวดโค้กออกมาขวดหนึ่งจากตู้เครื่องดื่ม แล้วมองเขาด้วยสีหน้าดูคลุมเครือและมีเสน่ห์
“ใช่ ถ้านายไม่ช่วยพวกเราในฐานะพยาน ฉันก็ได้แต่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์โจวของนายแล้ว”
พูดจบ เธอก็เอ่ยเสริมเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ
“แล้วถ้าเขาเกิดชอบฉันขึ้นมาล่ะ?”
ถึงคำพูดของไป๋จือจะทำให้ลู่ฮ่าวตกใจกลัว แต่เขาก็เหมือนกับหวังเจียวที่ยังไม่เชื่อว่าโจวฉงเหย่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับไป๋จือ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดจริงจังเรื่องนี้มากนัก
ไป๋จือเองก็คิดเหมือนกันว่าการพึ่งพาลู่ฮ่าวทั้งหมดเป็นเรื่องที่ไม่สามารถไว้วางใจได้
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไปหาโจวฉงเหย่ด้วยตัวเองอีกครั้ง
ณ สาขาหนึ่งของโรงพยาบาลเอกชนเครือข่ายชื่อดังในเขตเป่ยเฉิง แม่ของรั่วเฟยจะมีการผ่าตัดหัวใจในวันนี้ ว่ากันว่าโจวฉงเหย่จะเข้ามาเยี่ยมสักหน่อย
เฉียนซานและรั่วเฟยกำลังเฝ้าประตูห้องผ่าตัดอยู่ในขณะนี้
จังหวะนั้นเอง รั่วเฟยก็รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
“ฮัลโหลค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการหาใครคะ”
หลังจากที่อีกฝ่ายบอกชื่อและวัตถุประสงค์ที่โทรมาแล้ว สีหน้าของรั่วเฟยก็แข็งทื่อในชั่วพริบตา
โทรมาจากสถานีตำรวจ
รั่วเฟยเหลือบมองเฉียนซานที่อยู่ด้านข้าง แล้วพูดว่า "รอสักครู่ค่ะ" จากนั้นก็เดินไปที่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินไปคุยโทรศัพท์เพียงลำพัง
ตอนนั้นเอง โจวฉงเหย่ก็มาถึงโรงพยาบาลพอดี
ชายหนุ่มอยู่ในโรงจอดรถใต้ดิน ทันทีที่เขาเปิดประตู เงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามานั่งคร่อมขาของเขาอย่างใจกล้าและตามอำเภอใจสุดขีดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างล็อกประตูรถ ข้างในรถมายบัคสีดำได้ยินเสียงลมหายใจของทั้งสองคนอย่างชัดเจน
ปลายนิ้วทั้งสองข้างพันรอบคอเขา ส้นรองเท้าของหญิงสาวก็เกี่ยวข้อเท้าเขาเอาไว้
“คุณอาโจว ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ”
“มีคนกำลังตามฆ่าฉัน”
เหมือนเธอกำลังเล่นเกมปลอมตัวเป็นสายลับ
เธอสวมแจ็กเกตหนังสีดำ รองเท้าบูตสีดำ และยังสวมใส่หน้ากากสีดำ
สิ่งเดียวที่ดูไม่เหมือนสายลับก็คือถุงน่องสีดำบนขาของเธอ
เขาจะไม่รู้สึกได้อย่างไรว่า เธอกำลังใช้ขาที่พันด้วยถุงน่องลูบไล้กางเกงสูทของเขาอยู่
ชายคนนั้นนึกถึงปลอกคอสีดำอันนั้นที่ยังอยู่ในลิ้นชัก สีดำในส่วนลึกของดวงตาก็เข้มขึ้นเล็กน้อย
“คุณอาโจว”
ไป๋จือถูไถออดอ้อนเขาไปพลาง ควบคุมโจวฉงเหย่ด้วยเข็มขัดนิรภัยไปพลาง
หากไม่ใช่ว่าเฝ้ารอมาแล้วเป็นเวลาสามชั่วโมง พร้อมกับแอบฝึกซ้อมในใจอย่างนับครั้งไม่ถ้วน การกระทำดังกล่าวก็คงจะไม่เป็นธรรมชาติขนาดนี้ ทำให้เธอสามารถใช้โอกาสและสภาพแวดล้อมที่ดีได้อย่างเต็มที่
“คุณอารู้ไหมคะว่าใครพยายามจะฆ่าฉัน”
“คุณรั่วค่ะ”
“คุณอารู้ไหมคะว่ามือของเธอเคยคร่าชีวิตคนมาแล้ว”
แม้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงแต่งงานกัน แต่การคร่าชีวิตคนเป็นข้อห้าม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการตรวจสอบทางการเมืองของสามรุ่น
ดั่งที่คิดไว้ ในที่สุดสีหน้าของโจวฉงเหย่ก็ผ่อนคลายลง ไป๋จือพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ของเขาอย่างยิ่ง
ตอนนั้นเอง รั่วเฟยที่อยู่ชั้นบนของโรงพยาบาลก็เพิ่งจะพูดคุยกับตำรวจทางโทรศัพท์เสร็จ
กระบวนการทั้งหมดในการรับมือกับตำรวจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับรั่วเฟย
เธอเดินมาจากมุมเลี้ยว สีหน้ายังคงตื่นตกใจไม่หาย
เฉียนซานเห็นท่าทางของเธอก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย "พี่สาว พี่ดูเครียดมาก เพราะโทรศัพท์เมื่อครู่นี้หรือเปล่าคะ? ใครโทรมาเหรอ?"
“ไม่มีใครหรอก ฉันกำลังกังวลเรื่องการผ่าตัดน่ะ”
“อ้อ” เฉียนซานไม่ได้นึกสงสัยอะไร
และไม่ได้สังเกตเลยว่า รั่วเฟยที่อยู่ด้านข้างแอบมองตนด้วยแววตาน่ากลัวชั่วร้ายแวบหนึ่ง
เฉียนซาน ล่าสุดเธอบอกว่าเธออยากทำโปรเจกต์ร่วมกับฉัน ตอนนี้มีโอกาสแล้ว ขอแค่เธอทำตามคำสั่งของฉัน...
เฉียนซานเชื่อในตัวลูกพี่ลูกน้องคนนี้อย่างสุดใจโดยไม่สงสัยมาโดยตลอด
เธอคิดไม่ถึงว่า เมื่อครู่นี้ รั่วเฟยถึงกับเตรียมจะส่งเธอลงนรกอเวจีเพื่อปกป้องตัวเอง
…
ข้างล่างตึก ในรถ
“ครั้งหนึ่งรั่วเฟยเคยหานักเลงตัวน้อยมารุมโทรมผู้หญิงคนอื่นจนกระทั่งพิการ ครั้งนี้ก็ยังคิดจะใช้วิธีเดียวกันกับฉันอีก”
“คุณอารู้ไหม ตอนนั้นฉันซ่อนตัวอยู่หลังตู้เย็น กลัวมากเลย อีกนิดเดียวก็จะ...”
“อีกนิดเดียวก็จะ ไม่สามารถเก็บครั้งแรกไว้ให้คุณได้แล้ว...”
ไป๋จือวางศีรษะบนไหล่ของโจวฉงเหย่ เข็มขัดในมือก็รัดเขาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดชายคนนั้นก็พูดประโยคแรกออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เพราะฉะนั้น นี่ก็คือสาเหตุที่เธอมาคุกคามผมอย่างนั้นหรือ”
เธอไม่ได้ตอบเขา แต่ยังคงพูดต่อโดยไม่สนใจอะไร "ลู่ฮ่าวก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้นด้วย เป็นเขาที่แจ้งตำรวจด้วยตัวเอง"
ไป๋จือเล่นเนกไทของเขา โดยใช้นิ้วค่อย ๆ ทำให้เนกไทยุ่งเหยิงทีละนิด
เธอรู้ดีว่า ถ้าโจวฉงเหย่ขัดขืนสักหน่อย วันนี้เธอคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ขึ้นรถด้วยซ้ำ
แต่เขากลับไม่ได้ลงมือ เหมือนกำลังใจเย็นและรอดูว่าเธอจะทำได้ถึงขั้นไหน
หรือบางทีอาจจะไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
เมื่อรู้สึกได้ถึงความสงบนิ่งของเขา ไป๋จือก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้เดียงสา พร้อมกะพริบตา
“แต่ว่า ทำไมคุณรั่วจู่ ๆ ถึงได้เกลียดฉันขนาดนั้นล่ะ”
“หรือว่าคุณอาตะโกนเรียกชื่อฉันในระหว่างที่พวกคุณกำลังมีเซ็กส์ใช่ไหม?”
“ไป๋จือ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าหงุดหงิดแบบนี้ต่อหน้าเธอ
“ดูเหมือนเธอจะมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองมากไปแล้วนะ”
วินาทีต่อมา เขาปลดล็อกรถเตรียมจะโยนเธอออกไป
แต่จังหวะนั้นเอง แสงสีขาวพลันส่องประกายออกมาจากห้องใต้ดิน
ไม่ไกลนัก รั่วเฟยกำลังเดินมาที่รถของเขาพร้อมกับเปิดไฟฉายมือถือ
ไม่รู้ว่าเขาเกิดความเห็นอกเห็นใจในชั่วพริบตานั้นหรือไม่
เมื่อนึกถึงหญิงสาวที่ถูกรั่วเฟยทำให้พิการ เขาไม่ได้โยนไป๋จือออกจากรถ แต่กลับกดศีรษะของเธอแล้วยัดเธอกลับไปที่ใต้เบาะรถ
การกระทำนี้ทำให้ไป๋จือรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ
เธอรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เส้นผมของเธอถูกดึง เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา
ขณะที่กำลังจะกล่าวโทษเสียงดัง เสียงผู้หญิงแผ่วเบาก็ดังมาจากนอกหน้าต่างรถเหนือศีรษะ
“ฉงเหย่ ฉันได้ยินหัวหน้ารักษาความปลอดภัยตรงประตูบอกว่ารถของคุณมาถึงแล้ว มาถึงแล้วทำไมถึงยังไม่ขึ้นไปล่ะ”
ไป๋จือจำได้ว่าเป็นเสียงของรั่วเฟย ชั่วพริบตานั้นเธอก็สงบลงไม่ขยับเขยื้อนอีก
“จู่ๆ ก็มีประชุมกะทันหันน่ะ”
ชายคนนั้นยังคงรักษาความสงบนิ่งเช่นเคย หน้าต่างรถของเขาเปิดให้มีช่องว่างเพียงนิดเดียวเท่านั้น จากมุมนี้ รั่วเฟยมองไม่เห็นว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา
รั่วเฟยน่าจะยังคงตกใจกับตำรวจเมื่อครู่นี้ ความคิดจึงไม่ได้ละเอียดรอบคอบเหมือนในยามปกติ
เธอจึงไม่มีสงสัยอะไรมากนัก “การผ่าตัดของแม่น่าจะใกล้เสร็จแล้ว พวกเราจะขึ้นไปพร้อมกันตอนนี้ไหม?”
“เธอไปก่อนเถอะ ผมขอสูบบุหรี่ก่อน”
รั่วเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบตกลงอย่างรู้งาน
หลังจากที่รั่วเฟยเดินจากไป โจวฉงเหย่ก็ปิดหน้าต่างรถ ไป๋จือก็เงยหน้าขึ้นจากใต้เบาะรถ
โลกนี้เหลือเพียงชายหนุ่มกับหญิงสาวคนนี้อีกครั้ง
ไป๋จือไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นมา ผมยาวสีดำของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย รวมกับใบหน้ารูปไข่เล็กบางที่ดูไร้เดียงสาจนดูเย้ายวนเล็กน้อย เส้นผมที่หลุดออกมาก็เพิ่มความรู้สึกบอบบาง ราวกับว่าเธอเพิ่งทำอะไรบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เพื่อเขา
เมื่อรู้สึกได้ถึงความคลุมเครือในอากาศ เธอยังจงใจหน้าด้านด้วยการเลียริมฝีปากของเธอสองครั้ง ราวกับลูกแมวแอบชิมนมอย่างไรอย่างนั้น
โจวฉงเหย่ทำสีหน้าไม่พอใจ "ลุกขึ้น!"
ไป๋จือไม่สนใจความโกรธของเขาแม้แต่น้อย
ก่อนจะหยิบก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีดำออกมาจากใต้เบาะรถ
“คุณอาโจว ฉันเจอของเล่นเล็ก ๆ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง”
“คุณรั่ว เธอโกหก ไม่ใช่เพราะหัวหน้ารักษาความปลอดภัย แต่เธอติดเครื่องติดตามตำแหน่งไว้ในรถของคุณต่างหากล่ะ”
“ดูสิ”