คุณหมออาสากับยัยเด็กบนดอย

71.0K · จบแล้ว
มะนาว​สีชมพู​
43
บท
7.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เรื่อง...คุณหมออาสากับยัยเด็กบนดอย โปรย...ความรักมันไม่ได้เกี่ยวกับอายุ...แต่มันเกี่ยวอยู่ที่ใจ เขาไม่อยากมีลูกเพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่คิดที่จะมีเมีย ความรักเป็นเรื่องตลกไม่มีเขาก็อยู่ได้ แนะนำตัวละคร แสงเหนือ หรือ หมอแสง อายุ 32 ปี นิสัย ปากร้าย อารมณ์ดี ขี้เล่น อบอุ่นและขี้หึงสุดๆ แต่เขาไม่อยากมีลูกเพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่คิดที่จะมีเมีย ความรักเป็นเรื่องตลกไม่มีเขาก็อยู่ได้ ปิ่นงาม หรือ ปิ่น อายุ 20 ปี เธอสวย เก่ง เธอใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่บนดอยสูง เธอมีความสุขตามอัตภาพของเธอ แต่แล้วชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อมีเขาเดินเข้ามา ************* (เรื่องนี้เขียนต่อจากเรื่อง...คุณหมอเจ้าแผนการ) ปล.นิยายเรื่องนี้ทุกเหตุการณ์เป็นการสมมุติขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นอยู่ ศาสนา วัฒนธรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ในเนื้อหาของเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งที่สมมุติขึ้นทั้งสิ้น

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนิยายปัจจุบันพลิกชีวิตแต่งงานสายฟ้าแลบหมอรักแรกพบโรแมนติกแต่งงานก่อนรักฟินๆ

ตอนที่ 1 ชีวิตบนดอย

ตอนที่ 1 ชีวิตบนดอย

พื้นที่บนดอยแห่งนี้ห่างไกลความเจริญมาก ถนนหนทางค่อนข้างลำบาก การเดินทางขึ้นลงต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานพอสมควร แต่พื้นที่แห่งนี้ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง เนื่องจากรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณจำนวนหนึ่งให้มีไฟฟ้าโซล่าเซลล์ใช้แล้ว

“ปิ่น...ปิ่นเอ๊ย...” เสียงปู่พรตะโกนเรียกหลานสาวดังมาแต่ไกล

“จ๋าปู่”

“วันนี้ไปสอนหนังสือเด็กหรือเปล่า”

“ไปสิจ๊ะ”

ปีนี้ปิ่นงามมีอายุยี่สิบปีเต็ม เธอเป็นเด็กสาวที่เติบโตมาจากในตัวจังหวัด เธอจบการศึกษาแค่มัธยมศึกษาปีที่หกเท่านั้น ก่อนที่เธอจะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยพ่อของเธอที่เป็นเสาหลักของครอบครัวได้เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตกะทันหันไปก่อนที่เธอจะได้เข้าเรียน ส่วนแม่ของเธอเลิกรากับพ่อไปตั้งแต่ที่ปิ่นงามยังจำความไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นเธอก็ได้ปู่แท้ๆรับขึ้นมาอยู่บนดอย ซึ่งปู่ของเธอเองก็มีอายุมากแล้ว ปิ่นงามจึงตัดสินใจขึ้นมาอยู่กับปู่โดยยึดอาชีพค้าขายอยู่บนดอย

เวลาว่างๆปิ่นงามก็ยังมีน้ำใจไปช่วยคุณครูสอนหนังสือเด็กๆด้วย แต่ปิ่นงามไม่ใช่ครูโดยตรง เธอพอจะมีความรู้ขั้นพื้นฐานอยู่บ้างก็เลยมาช่วย อยากให้เด็กๆเติบโตขึ้นมามีความรู้ติดตัวไปบ้างก็ยังดี โดยเด็กๆทุกคนจะเรียกเธอว่า...ครูพี่ปิ่น

ปิ่นงามมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กเธออยากเรียนสูงๆแล้วมาทำอาชีพคุณครูรับราชการจะได้มีอาชีพที่มั่นคงและสามารถเลี้ยงดูพ่อกับปู่ของเธอได้ แต่ความฝันของเธอก็ต้องหยุดลงเมื่อพ่อของเธอมาเสียชีวิตไปก่อนที่เธอกำลังจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย

ภายในหนึ่งอาทิตย์ ปิ่นงามจะลงไปรับของแห้งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของชาวบ้านเอาขึ้นมาขาย ส่วนของสดจำพวกผักชาวบ้านที่นี่ก็มักจะปลูกกินกันเอง ส่วนเนื้อสัตว์ ไข่ไก่ ชาวบ้านก็เลี้ยงไว้เป็นอาหารเช่นกัน โดยแต่ละบ้านอาจจะเลี้ยงไม่เหมือนกัน บ้างก็อาจจะใช้วิธีแลกกันกิน หรือไม่ก็ผลัดกันซื้อผลัดกันขาย

บนดอยแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีหลังคาเรือนประมาณห้าสิบหลังคา อากาศค่อนข้างเย็นสบาย พื้นที่โดยรอบอุดมสมบูรณ์ ฝนตกเกือบตลอดทั้งปี

“ปู่เฝ้าร้านให้ปิ่นด้วยนะ ปิ่นไปก่อนนะจ๊ะ”

“อือๆไปเถอะ”

คนที่นี่ถ้ามีรถมอเตอร์ไซค์ขับก็จะถือว่าค่อนข้างมีฐานะแล้ว ปิ่นงามจะใช้มอเตอร์ไซค์ก็ต่อเมื่อลงดอยหรือไม่ก็ไปในที่ไกลๆเท่านั้น เพราะน้ำมันมันแพง ส่วนมากถ้าอยู่แค่ภายในหมู่บ้านเธอจะปั่นจักรยานเอา ซึ่งตอนนี้ก็เช่นกัน ปิ่นงามกำลังปั่นจักรยานไปโรงเรียนเพื่อไปช่วยคุณครูสอนหนังสือให้เด็กๆ

ชาวบ้านที่นี่มักจะใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสารกัน จะมีไม่กี่คนที่สามารถพูดไทยกลางได้ และคนที่พูดได้หนึ่งในนั้นก็คือปิ่นงาม เพราะเธอเติบโตมาในเมืองไม่ใช่บนนี้ ถึงภาษาที่ใช้ในเมืองจะเป็นภาษาเหนือแต่โรงเรียนที่เธอเรียนก็สอนให้นักเรียนทุกคนพูดไทยกลางอยู่แล้ว

เด็กๆบนนี้ภาษาไทยค่อนข้างอ่อนมากกว่าเด็กข้างล่าง เวลาสอนก็ยากเพราะพวกเขาเอาแต่พูดภาษาถิ่นกัน คุณครูที่ได้มาสอนเด็กๆที่นี่จึงต้องทุ่มเทเป็นพิเศษ เพราะถ้าภาษาไทยอ่านไม่ได้เขียนไม่ได้วิชาอื่นก็จะเรียนไม่ได้เช่นกัน

“ครูพี่ปิ่นมากแล้ว” น้ำเสียงดีใจของเด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นปิ่นงามปั่นจักรยานเข้ามาจอดในโรงเรียนเล็กๆของพวกเขา เด็กๆทุกคนเห็นปิ่นงามเป็นคุณครูคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่เด็กสาวชาวบ้านที่มีความรู้ติดตัวอยู่น้อยนิดก็ตาม

“สวัสดีเด็กๆที่น่ารักของพี่ปิ่นทุกคนเลยนะคะ” ปิ่นงามยิ้มให้เด็กๆที่ดูเหมือนว่าจะตั้งหน้าตั้งตารอเธอ

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ” เมื่อภาษาที่เปล่งเสียงออกมาคือภาษาถิ่น

“ไม่เอาๆ...อยู่ในโรงเรียนห้ามพูดภาษาถิ่น ให้พูดไทยกลาง ไหนลองใหม่สิคะ” เด็กๆมักจะชอบตามใจตัวเอง แต่พวกเขาก็รู้ว่าในโรงเรียนของพวกเขาแห่งนี้มักจะมีกฎระเบียบที่ควรปฏิบัติตาม

“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ” ถึงน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจะไม่ค่อยชัดก็ตาม แต่นั่นก็ถือว่าพวกเด็กๆทำได้ค่อนข้างดีแล้ว

“เก่งมาก...นั่งลงได้จ่ะ” เด็กๆยอมนั่งลงแต่โดยดี แต่ก็หันไปคุยเล่นกันด้วยภาษาถิ่นเหมือนเดิม

“ปิ่นนี่เก่งเนอะ พูดอะไรเด็กๆก็เชื่อ”

“ครูตองนวลก็เก่งค่ะ ค่อยๆช่วยกันไปเนาะ เด็กๆก็แค่ชอบตามใจตัวเองมากเกินไป ตอนปิ่นเป็นเด็กๆปิ่นก็ชอบตามใจตัวเองเหมือนกับเด็กๆพวกนี้แหละค่ะ”

“ที่ผู้ใหญ่เขาเรียกว่าดื้อใช่ไหม”

“แฮ่ๆ คงงั้นมั้งคะ”

“ภาษาไทยนี่ก็ดีเนอะ ความหมายเหมือนกัน แต่สามารถพูดให้ดูดีได้ด้วย”

“ข้อดีของภาษาค่ะถ้าเราใช้เป็น”

“เอ่อปิ่น...วันนี้จะมีคุณหมออาสามาที่บนดอยของเราด้วยนะ รู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ยังค่ะ”

“เขาว่ากันว่าหล่อโคตร...” ครูตองนวลเอ่ยขึ้นแบบยิ้มๆ

“เวอร์น่าพี่ตองนวล” ตองนวลเป็นคุณครูที่ยอมขึ้นมาสอนเด็กๆบนนี้เพราะอุดมการณ์ล้วนๆ บ้านของเธออยู่ข้างล่างเย็นวันศุกร์เธอถึงจะเดินทางกลับ และเช้าวันจันทร์เธอก็จะเดินทางขึ้นมาสอนหนังสือบนนี้ ส่วนเสาร์อาทิตย์เธอก็จะได้อยู่กับลูกๆและสามีของเธอ เธอทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอเลือกที่จะมีความสุข เพราะคนที่นี่ใจดี มีน้ำใจ เธอไม่ต้องไปแก่งแย้งกับใคร แถมอากาศบนนี้ยังสดชื่นมากๆ หาที่อื่นที่ดีกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว

“จริง...เขาว่ากันว่ามาจากกรุงเทพด้วยนะ” เมื่อปิ่นงามทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“จริงเหรอ งั้นปิ่นจีบนะ” น้ำเสียงล้อเล่นของปิ่นงาม ทำให้พี่ตองนวลยิ้มหวานพร้อมกับพยักหน้าให้

นานๆทีจะมีหนุ่มๆหลงขึ้นมาบนนี้ ของดีๆแบบนี้จะพลาดได้ยังไง เมื่อก่อนตองนวลก็จีบครูอาสานี่แหละ ซึ่งก็คือสามีปัจจุบันของเธอนั่นเอง แต่ตอนนี้เขาเลือกที่จะไปเป็นคุณครูอยู่ข้างล่างเพราะว่าได้เงินดีกว่า อีกอย่างก็มีลูกๆและแม่ที่ต้องดูแลด้วย

“หรือพี่ตองนวลจะจีบเองล่ะ” ปิ่นงามหรี่ตามองพี่สาวคนสวยเล็กน้อย

“ผัวพี่เตะก้านคอขาดพอดี...ไม่พูดเล่นแล้วป่ะสอนหนังสือเด็กๆกัน” ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปสอนหนังสือเด็กๆ ส่วนวิชาที่เด็กๆต้องเรียนทุกวันก็คือภาษาไทยกับคณิต เด็กๆต้องอ่านออกเขียนได้คิดเลขเป็น นี่เป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิต ส่วนวิชาอื่นๆอาจจะหยิบขึ้นมาสอนบ้างแต่ก็ไม่ค่อยบ่อยนัก