บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 เกือบจะเจอ

ณ ห้างสรรพสินค้า

ภาคินทร์เดินออกจากร้านจิวเวลรี่ชื่อดังหลังจากสั่งของขวัญชิ้นพิเศษให้คนรักเสร็จ วันนี้เขามีนัดกินข้าวดูหนังกับพลอยพัตราในช่วงเย็น เขาจึงมาห้างก่อนเวลาเพื่อทำธุระเรื่องนี้เพราะไม่ต้องการให้คนรักรู้ว่า ตนเองซื้ออะไรเป็นของขวัญวันคล้ายวันเกิดให้ จากนั้นนายแพทย์หนุ่มใช้บันไดเลื่อนลงไปชั้นล่างของห้าง ไปร้านที่เขานัดหมายพลอยพัตราไว้ ร้านนั้นคือ ร้านกาแฟร้านประจำ

ทางด้านภาวิตที่วันนี้ดูมีความสุขมากเพราะได้กินข้าวและดูหนังกับหญิงสาวที่แอบหลงรัก ความใกล้ชิดครั้งนี้ทำให้เขาเกิดความหวังว่า สักวันหนึ่งชมพลอยจะใจอ่อนรับรักตน ตามที่คุยกันไว้ว่า ดูหนังจบจะไปซื้อของสดและแห้งในซุปเปอร์มาร์เก็ต สองผู้ใหญ่และหนึ่งเด็กหญิงใช้เวลาเลือกซื้อของราวสี่สิบนาทีจึงพากันเดินไปยังลานจอดรถที่ต้องขึ้นไปอีกสามชั้น ขณะที่กำลังเดินไปยังบันไดเลื่อน ชมพลอยเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอจึงเอ่ยบอกภาวิต

“คุณภามคะ เกรซลืมซื้อมะเขือเปราะค่ะ ขาดมันไม่ได้ด้วยสิ คุณภามไปรอที่รถก่อนนะคะ เกรซเข้าไปซื้อในซุปเปอร์เดี๋ยวเดียวค่ะ”

“ผมรอตรงนี้ดีกว่า เกรซรีบไปซื้อเถอะ” ตรงนี้ที่ภาวิตพูดถึงคือ ม้านั่งริมทางเดินที่ทางห้างมีไว้ให้ลูกค้านั่ง

“ค่ะ แปปเดียวค่ะ” ภาวิตพาอลิสสามานั่งคอยชมพลอยบนเก้าอี้ โดยวางของที่ซื้อมาไว้ข้างตัว ระหว่างรอภาวิตให้มือถือตนกับอลิสสาเพื่อดูการ์ตูน

อีกด้านหนึ่ง

อีกราวห้าสิบเมตรจะถึงร้านกาแฟ ทว่าภาคินทร์ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นภาวิต น้องชายนั่งอยู่กับเด็กหญิงหน้าตาน่ารักที่เขาจำได้แม่นว่าคือใคร แต่ก็รู้สึกแปลกใจที่เห็นภาวิตนั่งอยู่กับอลิสสา อีกทั้งยังดูสนิทสนมกันด้วย

“ภาม” เสียงเรียกชื่อเล่นทำให้ภาวิตเงยหน้ามองต้นเสียง

“พี่ธาม” น้องชายทักกลับ “พี่มาที่นี่ได้ไง ไม่เข้าเวรเหรอพี่”

คนถูกถามไม่ได้มองหน้าคนถาม แต่กลับมองหน้าอลิสสาที่ส่งยิ้มและยกมือไหว้ตน ยังทักทายภาคินทร์อีกด้วย ภาวิตมองหน้าพี่ชายสลับกับมองหน้าอลิสสา เขากำลังงงว่า สองคนนี้รู้จักกันเมื่อไหร่

“สวัสดีค่ะคุณลุงธาม”

“สวัสดีครับน้องแก้ม” ภาคินทร์เดินมานั่งข้างเด็กหญิง “คิดถึงลุงไหมครับ ลุงคิดถึงน้องแก้มนะ”

“เดี๋ยวพี่ธาม พี่รู้จักน้องแก้มด้วยเหรอ รู้จักได้ไง”

ภาวิตพูดแทรก

“รู้จักผ่านกฤตย์น่ะ วันนั้นพี่ไปห้างแล้วเจอกฤตย์กับน้องแทนที่อยู่กับน้องแก้ม เพราะแม่น้องแก้มไปเข้าห้องน้ำ” ภาคินทร์ตอบน้องชายที่ทำเสียงรับรู้ “แล้วนายรู้จักน้องแก้มได้ไง”

“ผมจีบแม่น้องแก้มอยู่ครับ”

ภาคินทร์รู้สึกไม่ดีกับคำตอบนี้เลย เขารู้มาจากมารดาว่า ภาวิตไปติดพันแม่ม่ายลูกติด สำหรับเขาถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเขาคิดมีคู่ครองและคนที่อยากแต่งงานด้วยเคยผ่านการมีครอบครัวมาก่อน ภาคินทร์ก็ไม่ถือเพราะคิดว่า ทุกคนมีอดีตด้วยกันทั้งนั้น เขามองที่ปัจจุบันมากกว่า แต่สำหรับมารดาไม่ใช่ ภูรดาถึงขั้นเกลียดเลยด้วยซ้ำ เขาหนักใจแทนน้องชายไม่น้อยที่ความรักไม่ราบรื่น และอาจมีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ตามมาให้เหนื่อยใจกันอีก เหตุผลที่ภาคินทร์รู้สึกไม่ดีไม่ใช่แค่เรื่องภูรดา แต่มีบางอย่างกระตุ้นในใจว่า เขาจะมีปัญหากับน้องชายเพราะแม่ของน้องแก้ม

‘คิดอย่างนี้ได้ไง เราไม่รู้จักแม่น้องแก้มนี่หว่า’

“ลูกยังน่ารักขนาดนี้ แม่คงสวยไม่เบาแน่ๆ ไม่งั้นแกคงไม่รัก” ภาคินทร์ยอมรับว่า เอ็นดูอลิสสามาก มากกว่าเด็กคนไหนที่เขาเคยเจอ ยิ่งมองหน้าและได้อยู่ใกล้ เสมือนมีความผูกพันอย่างไรบอกไม่ถูก

“สำหรับผม เกรซสวยที่สุดครับ” ภาวิตตอบจากใจจริง

“น้องแก้มยังไม่ตอบลุงเลยว่า คิดถึงลุงไหมครับ” ภาคินทร์เปลี่ยนเรื่องและเปลี่ยนคนคุย มาสนใจหนูน้อยแก้มแดงสุดน่ารัก

“คิดถึงค่ะ คิดถึงเท่าโลก” อลิสสากางมือออก ทำท่าประกอบว่า ตนคิดถึงภาคินทร์มากแค่ไหน ภาคินทร์ไม่รู้ว่า ความคิดถึงของเด็กหญิงมาจากใจจริงหรือว่าเพียงแค่ตอบคำถามตน แต่คำตอบนั้นทำให้เขาดีใจ รอยยิ้มกว้างระบายเต็มดวงหน้านายแพทย์หนุ่ม

“ลุงดีใจนะครับที่น้องแก้มคิดถึงลุง” เขากอดร่างอลิสสา หอมแก้มหนูน้อยเบาๆ “ลุงว่า เรามาถ่ายรูปกันดีกว่านะ ลุงจะเก็บไว้ดูตอนคิดถึงน้องแก้ม”

“ค่ะคุณลุง” ภาคินทร์อุ้มอลิสสามานั่งบนตัก หยิบมือถือของตนออกมาจากกระเป๋า ก่อนถ่ายภาพคู่กันหลายภาพ บางภาพภาคินทร์หอมแก้มเด็กหญิง และมีหนึ่งภาพอลิสสาหอมแก้มภาคินทร์

ภาวิตมองพี่ชายที่คุยหยอกล้อกับอลิสสาด้วยความสนิทสนม ราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งที่เจอกันเพียงแค่สองครั้ง ปกติแล้วอลิสสามาสนิทกับใครง่าย ขนาดเขายังต้องใช้เวลาเป็นเดือนหรือพบเจอกันเกินห้าครั้ง เด็กหญิงถึงเข้าใกล้ ภาพที่เห็นเสมือนพ่อลูกกันก็ไม่ปาน แต่จะว่าไป ใบหน้าอลิสสาก็มีความละม้ายคล้ายภาคินทร์อยู่บ้าง ดวงตา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหมือนกัน ยามอลิสสายิ้มจะมีความเหมือนภาคินทร์มาก ทว่าจมูก ปากและเค้าโครงหน้าเหมือนชมพลอย

“นี่เราคิดอะไรเนี่ย คิดว่าน้องแก้มเป็นลูกพี่ธามได้ไง พี่ธามไม่มีทางเป็นพ่อน้องแก้มแน่นอน”

ภาวิตปัดความคิดที่แวบเข้ามาในหัวทันควัน เพราะเรื่องที่คิดนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ คนเราหน้าเหมือน หน้าคล้ายกันมีถมไป

“แล้วพี่ธามนัดใครไว้ครับ แพทหรือเปล่า” น้องชายถามพี่ชาย

“ใช่ กะว่าวันนี้จะไปกินข้าวแล้วก็ดูหนังกัน” ภาคินทร์ตอบโดยไม่มองหน้าคนถาม เพราะเขากำลังหยอกเล่นกับอลิสสาที่นั่งบนตัก ก่อนหันหน้าไปยังน้องชายเพื่อปล่อยคำถาม “แล้วนายล่ะมาทำไรกันที่นี่”

“กินข้าวแล้วก็ดูหนัง นี่ก็จะกลับแล้วแต่เกรซลืมซื้อมะเขือเปราะเลยไปซื้อที่ซุปเปอร์” ภาวิตตอบ “เย็นนี้เกรซจะทำกับข้าวเลี้ยงผม ที่ผมซื้อของฝากมาให้เกรซแล้วก็ซื้อของขวัญล่วงหน้ามาให้น้องแก้ม”

“วันเกิดล่วงหน้าน้องแก้มเหรอ วันไหนล่ะ”

ภาคินทร์อยากรู้ขึ้นมา

“วันอาทิตย์นี้พี่ธาม”

“วันที่ 31 นี้น่ะเหรอ”

“ใช่ครับ”

“เกิดวันเดียวกับแพทเลย” จบคำพูดประโยคนี้ของภาคินทร์ เสียงมือถือเขาได้ดังขึ้น “พูดถึงก็โทรมาพอดี”

ภาคินทร์กดรับสายและพูดคุยไม่กี่ประโยค การสนทนาก็จบลง ก่อนหันมาหาน้องชาย

“พี่ไปก่อนนะ แพทเปลี่ยนที่นัดเป็นร้านอาหารข้างบน” บอกภาวิตจบก็ก้มหน้ามองเด็กหญิงอลิสสา “ลุงไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ”

“ค่ะคุณลุง น้องแก้มจะคิดถึงคุณลุงธามนะคะ” อลิสสาช่างพูด ภาคินทร์ยิ้มหอมแก้มหนูน้อยเป็นการจากลา

“ลุงสัญญาว่า จะคิดถึงน้องแก้มทุกวันเลยครับ” ภาคินทร์วางมือลงบนศีรษะอลิสสาแล้วโยกเบาๆ “ลุงไปก่อนนะครับ”

ภาคินทร์ยิ้มให้เด็กหญิงอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่อยากไปไหน อยากนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสีกนาทีสองนาที แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เขารีบลุกเดินไปทันทีที่พูดจบ

ร่างภาคินทร์เดินห่างไปไม่ถึงห้าเมตร ชมพลอยได้เดินมาถึงม้านั่งที่ภาวิตกับอลิสสานั่งอยู่ เธอคลาดกับภาคินทร์เพียงไม่กี่วินาที

“เมื่อกี้เห็นผู้ชายตัวโตๆ นั่งอยู่ ใครเหรอ” ขณะที่เดินมาหาภาวิต ชมพลอยเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งข้างลูกสาว แถมยังนั่งตักชายคนนั้นอีกด้วย หากภาวิตไม่นั่งอยู่ด้วย เธอคงวิ่งสี่คูณร้อยมาหาลูกสาวแน่ เพราะชายคนนั้นเธอไม่รู้จัก

“พี่ธาม พี่ชายผมเอง บังเอิญเจอกันน่ะครับ” ภาวิตตอบ “น่าเสียดายนะที่เกรซไม่ได้เจอพี่ภาม ไม่งั้นจะแนะนำให้รู้จัก”

ชมพลอยไม่ได้สะดุดใจกับชื่อเล่นพี่ชายภาวิต แม้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เธอไม่เคยลืม แต่ก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้ ‘ธาม’ คนนั้น...คนที่เป็นพ่อของลูก เหตุผลง่ายๆ คือคนชื่อเหมือนมีออกเยอะแยะ อีกทั้งโลกไม่ได้กลมขนาดนั้น

“เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ” ชมพลอยตอบกลับ “เกรซว่าเราไปกันดีกว่าค่ะ เสียเวลาเพราะความขี้ลืมของเกรซมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว”

ภาวิตรับถุงใส่มะเขือเปราะไปใส่รวมกับถุงใส่ผัก ก่อนเป็นคนหิ้วถุงผ้าที่ชมพลอยเตรียมมาจากบ้าน จากนั้นทั้งสามก็เดินไปยังลานจอดรถที่อยู่กันคนละทางกับที่ภาคินทร์เดินไป

ภาคินทร์เดินไปราวสิบเมตรก็หันมามองทางด้านหลัง ภาพที่เขาเห็นคือสตรีรูปร่างดีหันหลังจูงมืออลิสสา ข้างกายมีร่างภาวิตเดินอยู่ด้านข้างเด็กหญิง เขาเข้าใจว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นมารดาหนูน้อยช่างพูดที่ตนเอ็นดู ความที่เธอหันหลังเดินไปยังลานจอดรถ ภาคินทร์จึงไม่ได้เห็นหน้าแม่ของเด็กหญิง ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร หันกลับไปเดินตามทิศทางที่ตนต้องการไป

หากภาคินทร์อยู่ต่ออีกสักนิด เขาก็จะได้เห็นหน้ามารดาของอิลสสา ซึ่งก็ไม่รู้ว่า นายแพทย์หนุ่มจะทำตัวอย่างไร เมื่อรู้ว่าสตรีที่เขาวันไนท์แสตนด์คืนนั้น คือผู้หญิงที่น้องชายติดพันและตั้งใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน

ไม่มีใครรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจภาคินทร์ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง...

เป็นอีกวันหนึ่งที่พิเศษสำหรับชมพลอย วันนี้เธอได้ลงมือทำอาหารเลี้ยงเพื่อนสนิทสองคนคือชมพูนุชหรือพู่ เพื่อนที่รู้จักกันตอนไปเรียนที่ประเทศเยอรมันนี และอีกหนึ่งคนคือเอกวัฒน์บุรุษพยาบาลประจำโรงพยาบาลเอสอาร์ เมเมอรัล ที่รู้จักกันเพราะเขาเป็นเพื่อนกับชมพูนุช และอีกหนึ่งคนคือภาวิต ชายหนุ่มที่ตามจีบตน

ซึ่งนานครั้งจะได้กินอาหารกันพร้อมหน้าแบบนี้ เนื่องจากชมพูนุชไปทำงานต่างจังหวัดนานร่วมสี่เดือน เพิ่งกลับมาบ้านวันนี้ ส่วนเอกวัฒน์ทำงานที่โรงพยาบาล การเข้างานไม่ได้เข้าแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น แต่เข้างานเป็นกะตามตารางเวรที่หัวหน้างานจัดไว้ เวลาของทั้งสามจึงไม่ตรงกัน พอมีโอกาสได้เจอหน้ากัน ชมพลอยจึงทำกับข้าวสุดฝีมือเพื่อวันนี้

“แล้วนี่แกต้องไปอุบลอีกหรือเปล่า”

ชมพลอยถามชมพูนุชขณะนั่งกินข้าว

“ฉันลาออกแล้ว ฉันถึงกลับมานี่ไง” ชมพูนุชตอบ

“ทำไมล่ะ มีปัญหาเรื่องงานเหรอ” คนถามคือเอกวัฒน์

“เรื่องงานไม่เท่าไหร่ หนักและเยอะแค่ไหนฉันก็สู้ แต่คนนี่สิ ทำงานกับคนเห็นแก่ตัว คนเอาเปรียบมันเหนื่อยนะ เหนื่อยทั้งกายและใจ อีกอย่างเจ้านายก็ไม่ดีด้วย ดันไปเข้าข้างคนเอาเปรียบ ฉันก็เลยลาออกให้พวกนั้นทำงานกันเอง อยากรู้จังว่าจะทำได้ดีกว่าที่ฉันทำหรือเปล่า”

ชมพูนุชทำงานเป็นเลขานุการ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เลขาเพียงอย่างเดียว ความที่เธออายุน้อยกว่าทุกคนในบริษัท เธอจึงถูกใช้งานนอกเหนือจากหน้าที่ ทว่าคนที่เอาหน้าเอาตาแทนคนทำคือคนที่สั่ง ชมพูนุชเก็บความรู้สึกมาตลอด อดทนมานานสามปี จนกระทั่งเก็บไว้ไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออก

“ฉันก็เคยได้ยินแกบ่นๆ เรื่องเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่คิดว่าแกจะลาออก ฉันคิดว่าที่แกลาออกเพราะแกคงสุดๆ แล้ว”

ชมพลอยรู้เรื่องเพื่อนร่วมงานของชมพูนุชที่มักมาระบายกับตนบ่อยๆ

“อย่างนี้ต้องหางานใหม่น่ะสิ งานเลขาหาไม่ได้ง่ายๆ นะ ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้ว ยิ่งหายาก” เจ้าของเสียงคือเอกวัฒน์

“ยังไม่รีบหรอก กะว่าจะพักสักพักนึงก่อน แล้วค่อยลุยใหม่” คนเพิ่งลาออกจากงาน อยากชาร์ตแบตให้กับตัวเองเพื่อสู้กับงานใหม่ในอนาคตที่ไม่รู้ว่า จะเจอเพื่อนร่วมงานแบบใด “เรื่องงานใหม่ฉันไม่เกี่ยง ไม่ต้องตำแหน่งเลขาก็ได้ ตำแหน่งอะไรฉันก็ทำ หรือไม่ก็อาจไปสมัครงานตามร้านกาแฟก็ได้ ฉันเห็นติดป้ายประกาศรับสมัครพนักงานหลายที่”

ชมพูนุชไม่ใช่คนเลือกงาน เธอคิดเสมอว่า ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน

“พู่ไปสมัครงานที่บริษัทผมไหม เลขาของผมจะลาออกไปเลี้ยงลูกสิ้นเดือนนี้ ผมกำลังหาเลขาคนใหม่พอดี” ภาวิตที่นั่งฟังการสนทนาของสามเพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้น “ถ้าพู่อยากทำ ผมจะได้บอกฝ่ายบุคคลว่า ไม่ต้องหาเลขาให้ผมแล้ว”

“ก็ดีนะแก จะได้ไม่ต้องหางานให้เหนื่อย” ชมพลอยเห็นด้วย

“นั่นสิ ฉันเห็นด้วยนะพู่ บริษัทคุณภามใหญ่และมั่นคง มีแต่คนอยากทำงานด้วยทั้งนั้น แกโชคดีนะที่ถูกชวนไปทำงานโดยไม่ต้องไปสมัครให้ลุ้นว่าจะได้หรือไม่ได้” เอกวัฒน์เห็นด้วยเช่นกัน

“ถ้าพู่อยากพักก็มีเวลาพักประมาณสิบกว่าวันนะกว่าจะถึงสิ้นเดือน พักให้เต็มที่เพื่องานใหม่” ภาวิตถือว่าช่วยเพื่อนสนิทของสาวที่ตนแอบรัก ถือว่าทำคะแนนไปในที “แล้วไม่ต้องกลัวว่าบริษัทของผมจะเหมือนกับที่ทำงานเก่าของพู่ ไม่มีการโยนงานอื่นให้พู่ทำแน่นอน งานใครงานมันครับ ผมรับรอง”

“ขอบคุณคุณภามมากค่ะ พู่ยินดีทำงานกับคุณภามค่ะ”

ชมพูนุชไม่ปฏิเสธ งานดีและมั่นคงหาไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันด้วยแล้ว โอกาสมาถึงที่แบบนี้มีหรือจะไม่คว้าไว้ ที่สำคัญที่สุด เธอได้มีโอกาสทำงานกับชายหนุ่มที่ตนแอบชอบ เป็นการแอบรักแอบชอบแบบเงียบๆ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางได้หัวใจภาวิตมาครอบครอง เพราะเขามีใจให้ชมพลอย

“ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวเอสอาร์กรุ๊ปครับ” ภาวิตกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แหม มื้อนี้พิเศษจริงๆ นอกจากจะได้กินข้าวพร้อมกันแล้ว ยังมีเรื่องดีๆ ของพู่ที่ได้งานใหม่ด้วย” ชมพลอยเอ่ยปาก ระบายยิ้มดวงหน้า

“เกรซเองก็มีเรื่องดีๆ ด้วยนี่ ได้งานแปลเอกสารของพี่น่าน แกมีงานแปลเรื่อยๆ เลยนะ แล้วอย่าลืมไปเอางานล่ะ” เอกวัฒน์บอกชมพลอย

“รู้แล้วน่า ไม่ลืมหรอก” ชมพลอยตอบกลับ

“เกรซไปเอางานที่ไหน ผมไปส่งดีไหมจะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์” ภาวิตได้ทีทำแต้ม

“ไปเอาที่โรงบาลที่เอ็กซ์ทำงานค่ะ” ชมพลอยตอบ “เกรซไม่รบกวนคุณภามค่ะ เกรซนัดพี่น่านไว้บ่ายโมงค่ะ เวลานั้นคุณภามคงทำงานอยู่”

“สำหรับเกรซไม่มีคำว่ารบกวน ถึงไหนถึงกัน” ภาตอบกลับ “ให้ผมไปส่งนะ เอาเป็นว่าผมมารับที่บ้านตอนเที่ยงล่ะกัน”

“ค่ะ เอาอย่างนั้นก็ได้” ชมพลอยรู้ดีว่า ปฏิเสธภาวิตยาก

“ว่าแต่เกรซไปเอางานที่ไหน” คนอาสาไปส่งถาม

“โรงพยาบาลเอสอาร์ เมเมอรัลค่ะ”

“นึกว่าที่ไหน ที่แท้จุดไต้ตำตอ” ภาวิตพูดยิ้มๆ ก่อนเฉลยให้อีกสามคนที่ทำหน้าสงสัย “โรงพยาบาลนี้เป็นของครอบครัวผมเองครับ พี่ธาม พี่ชายผมก็เป็นหมอที่นี่ด้วยครับ”

ทั้งสามรู้ว่าภาวิตรวย และรวยมากด้วย ทว่าพวกเขาเพิ่งรู้ว่า โรงพยาบาลเอสอาร์ เมเมอรัล โรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่และดีที่สุดในระดับต้นๆ ของประเทศ เป็นหนึ่งในกิจการของครอบครัวภาวิต

“อย่างนี้เวลาพวกเราไม่สบาย ขอรักษาฟรีได้ไหมคะ” ชมพูนุชพูดเย้า

“ได้สิครับ เรื่องแค่นี้ผมจัดการได้” ภาวิตไม่ขัดข้องเรื่องนี้

“ที่แท้คุณภามก็เป็นเจ้านายผมนี่เอง ผมทำตัวไม่ถูกเลยนะเนี่ย” เอกวัฒน์ถึงกับเกร็งขึ้นมาทันใด

“ก็ทำตัวปกติครับ คนที่ดูแลที่นั่นคือพี่ชายของผม ผมจะดูแลที่บริษัทครับ”

ภาวิตเป็นคนมีฐานะที่เรียบง่าย เขาไม่ถือตัว ไม่ติดหรู เข้ากับคนได้ทุกระดับชั้น เขามีความคิดหนึ่งว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็เป็นคนเท่าเทียมกัน ต่างกันแค่ว่าภาวิตมีต้นทุนชีวิตดีกว่าคนอื่นเท่านั้น

การกินข้าวที่มาพร้อมกับเสียงพูดคุยยังคงดำเนินต่อไปอีกราวสิบห้านาที ชมพลอยกับชมพูนุชรับหน้าที่ล้างจาน โดยให้สองหนุ่มไปนั่งดูทีวีพร้อมกับอลิสสา

20.00 น. ณ บ้านภักดีธำรง

ภูรดากดเปิดดูรูปภาพที่ถูกส่งเข้ามาในมือถือ นางมองดูภาพใบหน้าของสตรีที่ภาวิตไปติดพันด้วยความชิงชัง แม้ว่าความสวยจะโดดเด่นไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของนางลดน้อยลง นางไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาเป็นหนึ่งในครอบครัวนางแน่ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม

ในหลายภาพภูรดาเห็นภาวิตจูงมือเด็กหญิงคนหนึ่ง ซึ่งนางไม่เห็นหน้าชัดเจน เพราะเห็นเพียงแค่เสี้ยวใบหน้า นางคาดเดาว่าคงเป็นลูกสาวของชมพลอย

“ฉันได้ภาพแล้ว เดี๋ยวโอนเงินไปให้” ภูรดาต่อสายไปยังคนที่ส่งคลิปมาให้ “แล้วก็รีบจัดการอีกเรื่องด้วยล่ะ ฉันอยากให้งานนี้เสร็จเร็วๆ พรุ่งนี้ได้ยิ่งดี”

“พรุ่งนี้คงไม่ได้ครับคุณท่าน พอดีผมมีงานต้องจัดการสองงาน น่าจะเป็นมะรืนนะครับ”

เจ้าของเสียงคือสุชาติหรือชาติ ลูกชายของสุรสิน ที่ภูรดาเคยช่วยเหลือเมื่อหกปีก่อน ภูรดาถือว่าเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของสองพ่อลูก สุชาติจึงตกปากรับคำรับงานนี้ ทั้งที่ไม่อยากทำสักเท่าไหร่ เพราะมันไม่ใช่แนวทางการทำงานของเขา

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันจะรอฟังผลวันมะรืน” ภูรดาตัดสายทิ้งเมื่อพูดจบ นางก้มหน้ามองภาพของชมพลอยที่เดินเคียงข้างลูกชายคนเล็กด้วยแววตาเช่นเดิม ก่อนลบรูปภาพทั้งหมดทิ้งไป ราวกับว่าไม่อยากให้ภาพสองแม่ลูกอยู่ในมือถือตน “แกไม่วันได้เป็นสะใภ้บ้านนี้ ฉันจะขัดขวางทุกทาง”

แววตาและน้ำเสียงบ่งบอกถึงความเกลียดชังเต็มที่ ลูกสะใภ้ของนางทั้งสองคนจะต้องเพียบพร้อมด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ฐานะทางการเงินและทางสังคม และที่สำคัญต้องไม่ใช่แม่ม่ายลูกติด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel