บทนำ 2
“ลูกดีขนาดนี้ทำไมไม่เก็บไว้เองล่ะ...” คำถามของเขาทำเอาแม่หน้าเจื่อน ค่อยตอบเสียงเบา
“ฉันต้องใช้เงิน” ฟังอย่างนั้นก็แสยะยิ้มทันที
ถึงกับขายลูกเพื่อแลกเงิน มีความเป็นแม่อยู่มากน้อยแค่ไหนกัน…
“คนมีเลือดเนื้อมีหัวใจไม่ใช่สิ่งของ ขายแบบนี้ไม่กลัวลูกเสียใจเหรอ” คำถามของเขาเหมือนช่วยปลอบปะโลมหญิงสาวที่กำลังสะอื้นไห้ หล่อนค่อยเงยหน้ามองคนตัวสูงเหมือนเห็นแสงสว่างที่แผ่กระจายรอบตัวเขา
หรือชายหนุ่มคือคนที่จะมาช่วยหล่อนขึ้นจนความมืดมิด…
“มันทำเพื่อแม่ มันไม่เสียใจหรอก ฉันต้องการเงินจริงๆ ขอร้องล่ะคุณ...ช่วยซื้อมันไปเถอะนะ” ประนมมือไว้กลางอกพลางเอ่ยขอร้องอย่างจนใจ มาจากเมืองเหนือเพื่อขายลูกสาวเพียงคนเดียวโดยเฉพาะ คาดหวังว่าจะนำเงินกลับไปให้สามีที่ใช้เงินเป็นเบี้ย
แต่กลับไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าของบ้านสักที หากหลังนี้ไม่รับก็คงต้องไปถามบ้านหลังอื่น ต้องมีสักที่รับซื้อเด็กคนนี้ไป แล้วตนจะได้หมดภาระและความหวาดระแวงว่าจะถูกลูกแย่งสามีสักที
“คุณว่ายังไงล่ะ” เขาไม่มีคำตอบ
จึงหันไปถามภรรยาที่นั่งทำหน้านิ่งแววตาเบื่อหน่าย จ้องมองสองแม่ลูกอย่างคนไร้อารมณ์ คล้ายมองมดปลวกที่ก่อความรำคาญให้ตนเท่านั้น
จึงอยากตัดปัญหาโดยเร็วที่สุด แล้วมองไปยังผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่ยังอ่อนต่อโลก มุมปากผุดยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับแผนการบางอย่างแล่นในหัว ก่อนตีหน้าเรียบเฉยค่อยหันไปบอกสามีที่แต่งงานกันได้เกือบสองปีแล้ว
แต่ระยะห่างของเรากลับกว้างขึ้น…
“ดีเหมือนกัน ฉันอยากได้คนสนิทมาคอยรับใช้ข้างกาย ว่านอนสอนง่ายแล้วก็เชื่อฟังใช่ไหม...” เริ่มรินไวน์ใส่แก้วใสอีกครั้ง ก่อนถามเพื่อความแน่ใจ ทำให้ร่างสูงที่นั่งข้างกันถึงกับเหลือบมองหล่อนเมื่อได้ยินคำถามที่ชวนสงสัย
“ใช่จ้ะ มันเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่”
พยักหน้าขึ้นลงแล้วตอบเสียงฉะฉาน เหมือนเห็นเค้าลางความสำเร็จในการขายบุตรสาว ต่างจากเจ้าตัวซึ่งส่ายหน้าไปมาไม่ยอมรับชะตากรรมของตนเอง
“ซื้อก็ได้...ราคาเท่าไหร่ล่ะ”
คำตอบน่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก
คนที่อุตส่าห์ดั้นด้นพาลูกสาวขึ้นรถทัวร์มาจากเหนือสุดของประเทศเพื่อมายังเมืองหลวงอันศิวิไลซ์ถึงกับยิ้มแฉ่ง ความพยายามไม่สูญเปล่า จะได้เงินไปจุนเจือคนรักของตัวเองสักที เมื่อได้ยินอย่างนั้นก็รีบเสนอราคาที่คิดเอาไว้ ไม่ถือว่าแพงเกินไปน่าจะพึงพอใจกันทั้งสองฝ่าย
“ห้า ห้าหมื่นจ้ะ!” บอกเสียงดังฟังชัด
“แม่!”
คนเป็นลูกไม่อาจเก็บความเสียใจเอาไว้ได้ ตะโกนร้องเสียงดังแทบไม่เชื่อว่ามารดาจะขายหล่อนจริง รีบกอดแขนนางเอาไว้แล้วคิดจะอ้อนให้อีกฝ่ายเปลี่ยนใจ กลับถูกเจ้าของบ้านขัดซะก่อน
สายตาที่จ้องหล่อนเหมือนกำลังประเมินราคาของ รอยยิ้มหยันปรากฏบนริมฝีปากสวย พึมพำกับตัวเองเมื่อได้ยินราคาที่น่าพึงพอใจ ค่อยยื่นมือไปขอของบางอย่างจากสามีที่นั่งข้างกัน เขานิ่งเงียบไม่พูดอะไร
เพิ่งเคยเห็นการซื้อขายที่เหมือนง่ายดาย แต่กลับสร้างรอยแผลในใจขนาดใหญ่เอาไว้ให้คนเป็นลูก น้ำตาของเธอไหลนองหน้าอีกครั้งทั้งยังพยายามขยับเข้าไปนั่งใกล้แม่ เบียดชิดจนแทบเกยตักไม่อยากถูกขายให้คนอื่น
“ถูกกว่ากระเป๋าที่ฉันเพิ่งซื้อเมื่อวานอีก...ขอเช็คหน่อยสิคะ”
เขายอมหยิบเช็คให้ภรรยาแล้วนั่งมองภาพตรงหน้า นึกสงสารหญิงสาวแต่ตนก็ทำอะไรไม่ได้ คิดว่าถึงปฏิเสธไปเธอก็คงถูกขายให้บ้านหลังอื่นอยู่ดี การที่ภรรยาตัดสินใจซื้อเอาไว้อาจจะเพราะอยากช่วยก็เป็นได้
และแน่นอนว่ามันคงมีเหตุผลมากกว่านั้น คนอย่างรัตนาวรา เปรมอนันต์ไม่มีทางช่วยใครฟรีหรอก แต่ที่เขาอยากรู้คือแผนของหล่อนต่อจากนี้ต่างหาก
ภรรยาคนนี้…ต้องการทำอะไรกันแน่
“ขอบคุณนะจ้ะ รับมันเอาไว้เลย อยากใช้อะไรก็ใช้ได้มันเก่งหมดทุกอย่าง” พูดจบก็รีบรับเช็คมาอ่านจำนวนเงิน ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าฝันที่จะจับเงินก้อนเป็นจริงแล้ว
ลุกขึ้นได้ก็รีบเดินออกจากบ้าน โดยมีร่างบางวิ่งตามมาอย่างไม่คิดชีวิต ดึงแขนมารดาเอาไว้แล้วขอร้องเสียงสั่นน้ำตาไหลเป็นสาย ไม่คิดว่าจะถูกซื้อขายราวกับวัวควายเช่นนี้ ทั้งที่หล่อนก็เป็นคนมีชีวิตจิตใจเหมือนกัน
“แม่ รอหนูด้วย หนูไม่อยากอยู่ที่นี่ หนูอยากไปกับแม่...ฮือ แม่จ๋า” เพราะรักมารดาจึงเลือกอยู่กับท่านแทนที่จะไปอยู่กับพ่อ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกทิ้งไม่ไยดี
ยิ่งคิดน้ำตาก็ไหลไม่หยุดอย่างไม่อาจห้ามอยู่ พยายามยื้อแม่เอาไว้สุดความสามารถ แต่กลับถูกปัดแขนแล้วด่าอย่างไม่คิดไยดีหล่อนเลยสักนิด โยนความผิดทุกอย่างมาให้ไม่สนใจฟังความสองข้าง เพราะเชื่อว่าสามีจะต้องไม่โกหก
“มึงอยากกลับมาอ่อยผัวกูอีกหรือไงอีลูกอัปรีย์” ส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น พยายามอธิบายทุกอย่างให้ฟังแต่ไม่อาจเรียกความเชื่อใจกลับมาได้
“ไม่ หนูไม่ได้ทำ ไม่ได้ทำจริงๆ ฮือ แม่เชื่อหนูนะ ให้หนูกลับบ้านกับแม่ไม่ได้เหรอ ฮึก หนู หนูไม่อยากอยู่ที่นี่” ยังคงร้องอ้อนวอนเพื่อจะตามกลับบ้าน แต่ถูกคนเป็นแม่ผลักอย่างแรงจนเซแล้วล้มลงกองบนพื้น
“กูไม่ให้ไป!” ตะโกนเสียงดังแล้วเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ ไม่แม้กระทั่งจะหันมามองลูกสาวด้วยซ้ำ มีเพียงเธอที่จ้องมองแผ่นหลังของท่านที่ห่างออกไปจนลับสายตา พยายามหยัดยืนแล้วตะโกนเสียงดังปานจะขาดใจ
“แม่ แม่!”
แต่แม่ก็ไม่กลับมาแล้ว ปล่อยเธอเอาไว้ในสถานที่ไม่คุ้นเคย กับการเป็นลูกที่ถูกทิ้ง…
“ร้องไห้จนพอใจแล้วก็เก็บข้าวของไปไว้หลังบ้าน บี...ฝากดูแลเด็กคนนี้ด้วย” คนที่ยื่นเช็คให้แม่เดินออกมาบอกเธอที่ร้องไห้ไม่หยุด ค่อยหันมองสาวใช้ข้างกายพลางสั่งให้ดูแลคนมาใหม่
มองเด็กสาวเหมือนเป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่งที่ซื้อกลับมาบ้านเมื่อถูกใจ
“ค่ะคุณผู้หญิง”
แม่บ้านรับคำนายสาวแล้วรอกระทั่งอีกฝ่ายเดินเข้าบ้าน ค่อยหันมาจ้องคนที่เอาแต่ร้องไห้เหมือนเด็กน้อยด้วยความหงุดหงิด
“ฮือ” คนที่ไม่รู้ตัวว่าการมาเมืองหลวงครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่กับแม่ ทำให้ยังคงร้องไห้ไม่หยุด จนแม่บ้านไม่อาจรอให้เธอหยุดส่งเสียงร้อยได้ จึงรีบคว้ามือบางแล้วบังคับให้ลุกยืน
“ร้องไห้อะไรนักหนา หยุดร้องแล้วตามฉันไปหลังบ้าน ถูกขายให้คุณผู้หญิงแล้วอย่าคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ เร็ว! ไปดูที่หลับที่นอนแล้วมาช่วยฉันทำงาน”
เมื่อเจ้านายเสียเงินไปแล้วก็ต้องเอาให้คุ้มเงินที่เสียไป หล่อนถูกลากมายังหลังบ้านที่มีแม่บ้านสี่ถึงห้าคนกำลังเตรียมอาหารเย็นให้เจ้าของบ้าน ไม่มีใครว่างคอยแนะนำหล่อนเลยสักคน
นอกจากผู้หญิงที่กำลังจับจูงมือกันแล้วบังคับให้เดินไปดูห้องพักอาศัย ก่อนจะพบว่ามันดีกว่าที่คิดเอาไว้มากทีเดียว
“ฮึก”
ยังคงสะอื้นเหมือนเดิมเพียงแต่ถูกความอยากรู้อยากเห็นเข้ามาแทนที่ ขนาดห้องกว่าที่มีเตียงนอนและตู้เสื้อผ้าทั้งยังห้องน้ำในตัวอีกต่างหาก ถึงจะมีสองเตียงแต่ห้องนี้มีเพียงหล่อนที่ใช้งานเพราะทุกคนก็มีห้องของตัวเองแล้ว
จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีห้องนอนเป็นของตัวเอง…
บางทีเหตุการณ์ต่อจากนี้มันอาจจะไม่ได้แย่เสมอไปก็ได้ เธอไม่ต้องระวังพ่อเลี้ยงที่จ้องจะลวนลามตลอดเวลา แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถเรียนต่อได้
เส้นทางการศึกษาคงจบลงแล้ว…
เมื่อภรรยากลับเข้ามาหลังจากสั่งงานแม่บ้านเรียบร้อยแล้ว ดวงตาคมก็จ้องเธออย่างเอาเรื่อง ถึงจะพยายามใจเย็นมากแค่ไหนแต่หล่อนก็มักจะกวนอารมณ์ของเขาให้ขุ่นเสมอ
ออกจากบ้านไปสังสรรค์ทุกคืน กลับมาเกือบเช้าแล้วก็ไม่ยอมทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากดื่มไวน์จนเมามายเหมือนไม่มีสติตลอดเวลา รู้ดีว่าหญิงสาวทำเพื่อประชดและอยากออกจากสถานะสามีภรรยา
ทว่าเขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไปสักที…
ไม่ใช่เพราะความรักแต่คำว่าบุญคุณต่างหากที่มันค้ำคอ
“ดื่มอีกแล้วเหรอ” ถามเสียงเรียบ
“นิดหน่อย เพื่อความสุนทรียะ” ไม่มีคำว่าเกรงกลัวในแววตาของหล่อน กลับเลือกจะนั่งลงแล้วหยิบแก้วมารินไวน์ดื่มด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
“ผมไม่ชอบ”
“ฉันต้องสนด้วยเหรอ” หันมาสบตากับเขาและแสยะยิ้มไร้ความหวาดหวั่น
ปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนแต่งงานไม่เคยถูกชะล้าง ทุกวันนี้พวกเขาเป็นเพียงคนอาศัยร่วมบ้าน ฝ่ายชายออกไปทำงานเช้าตรู่กลับบ้านก็ค่ำมืด ส่วนภรรยาก็ออกท่องราตรีและกลับมาเกือบเช้า ใช้เวลาทั้งวันในการพักผ่อน
ไม่เคยมีกิจกรรมร่วมกัน ไม่มีบทสนทนาที่ลื่นไหล มีเพียงความบาดหมางที่ต่างรู้กันดีว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ มันกลับยิ่งเพิ่มบาดแผลในใจให้ลึกมากเท่านั้น
“เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวแบบนี้สักที แต่ละวันสังสรรค์อย่างเดียวไม่ทำการทำงาน ผมแต่งงานกับคุณเพื่อให้มาผลาญสมบัติเล่นหรือไง” ถอนหายใจเสียงดัง เงินแต่ละบาทที่เธอใช้เป็นเงินที่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจในการหามา
ทว่าหญิงสาวกลับใช้เหมือนหว่านเล่น ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม
“คุณต้องการแค่บารมีของพ่อฉัน ส่วนฉันก็อยากแต่งกับคนรวย สมน้ำสมเนื้อดีแล้วไม่ใช่เหรอ ระหว่างเรามีความรักที่ไหนล่ะ” พูดตามความจริงไม่มีปิดบังซ่อนเร้น
บิดาของเขาเริ่มธุรกิจด้วยการทำบริษัทผลิตยางรถยนต์ ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี มีเงินมหาศาลสามารถสร้างตัวจากชนชั้นกลางมาเป็นคนระดับบนได้ ทว่าเจอพิษเศรษฐกิจเล่นงานจนกิจการล่มไม่เป็นท่า ทั้งยังมีความเครียดสะสมจนประสบปัญหาด้านสุขภาพจากเขาและแม่ไป
ชายหนุ่มจึงได้กลับมารับช่วงต่อฟื้นฟูธุรกิจ โดยขอกู้เงินธนาคารแต่กลับไม่มีคนค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ เป็นพ่อของหล่อนที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้งยังลงเงินส่วนหนึ่งเพื่อให้เขาได้ไปต่อ กลายเป็นบุญคุณที่ต้องตอบแทน
ด้วยการแต่งงานกับลูกสาวของท่าน…ทั้งที่พวกเราไม่ได้รักกันสักนิด
“ผมไม่ได้ต้องการความรัก แต่ต้องการเมียที่เป็นผู้เป็นคน ไม่ใช่ผู้หญิงขี้เมาที่เอาแต่ดื่มแบบนี้” บอกเต็มเสียงด้วยความเหลืออด แต่หญิงสาวกลับลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่แยแส
“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ถ้าคุณรับไม่ได้...ก็หย่ากับฉันสิ”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าหย่า เขาเองก็อยากหย่าเหมือนกันเพียงแต่บิดาของหล่อนไม่ยอม สิ่งที่ชายหนุ่มทำได้คือการหนีออกจากสถานการณ์ชวนโมโหให้เร็วที่สุด
ร่างหนาเดินขึ้นบนชั้นสองโดยไม่ตอบโต้ หล่อนจึงมองตามพลางวางแก้วลงบนโต๊ะ นึกหงุดหงิดกับท่าทีไร้อารมณ์ของสามี
“หึ ไอ้ก้อนหินเย็นชา!”
เกลียดเขาเหลือเกิน เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากสถานะสามีภรรยาก็ไม่รู้!
