ตอนที่1 รักทรยศ
สามเดือนก่อนหน้านี้
นัยน์ตาคู่หวานเงยจากเอกสารหลายชิ้นที่กองอยู่บนโต๊ะขึ้นมามองใครคนนึงที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องโดยไม่คิดจะแจ้งล่วงหน้าก่อนจะวางมือจากงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำและเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากจะพูดจาใด ๆ กับอีกฝ่ายแม้แต่น้อยแต่ก็จำต้องพูด
“ดิฉันว่าดิฉันพูดชัดเจนแล้วนะคะคุณภานุกานต์ ว่าเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก” สาวเจ้าของห้องอย่างศศิรินทร์ สิริธาราหรือซอโซ่ผู้บริหารสาวสวยวัยสามสิบสองปีของบริษัท ชายน์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ บริษัทผลิตละครโทรทัศน์และภาพยนต์ยักษ์ใหญ่ที่ใช้เวลาไม่กี่ปีก็ก้าวขึ้นมาอยู่อันดับต้น ๆ ของวงการบันเทิงเปิดฉากก่อนโดยไม่แม้แต่จะเชิญคนเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตให้นั่ง แววตาว่างเปล่าหันกลับมาจ้องมองคู่สนทนาอย่างพิจารณา
คนตรงหน้าคือภานุกานต์ พงศ์พิริยากรหรือกันต์อดีตแฟนหนุ่มที่เธอเพิ่งตัดความสัมพันธ์ไปเมื่อคืนวานนี้ด้วยข้อหาร้ายแรงชนิดที่เธอไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้น
เขานอกใจเธอ...
ยิ่งไปกว่านั้นคู่ขาที่ร่วมสวมเขาให้เธอยังเป็นเพื่อนคนสนิทที่เธอผลักดันจนได้เป็นนักแสดงสาวคนดัง ที่เธอทั้งรักและไว้ใจราวกับเป็นญาติพี่น้อง...ความจริงที่ได้รู้ก็คือ คนพวกนี้สวมเขาให้เธอทั้งที่เธอให้ความไว้ใจมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
ความจริงถ้าตัดเรื่องนอกใจออกไปภานุกานต์คนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนนึง โปรไฟล์หรู รูปร่างหน้าตาดี จบปริญญาโทจากต่างประเทศ พ่อยังเป็นผู้บริหารช่องโทรทัศน์ที่ทางบริษัทของเธอทำสัญญาผลิตละครและรายการโทรทัศน์ด้วยมานานหลายปี และปัจจุบันตัวเขาเองก็เป็นรองประธานกรรมการของช่อง
นับได้ว่าเป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงหลาย ๆ คนเลยทีเดียว...
แต่โปรไฟล์ดี ๆ เหล่านั้นเธอได้โยนมันทิ้งไปแล้วและไม่คิดจะหยิบขึ้นมาพิจารณาอีก
ถ้าเขานอกใจเธอไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นแล้วมาขอโทษ ขอโอกาสอะไรทำนองนั้นเธอก็คงยอมใจอ่อน แต่สถานการณ์ของเราในตอนนี้มันมีแต่ต้องปิดฉากลงเท่านั้น
ใครใช้ให้ผู้หญิงที่เขานอนด้วยเป็นเพื่อนของเธอล่ะ ทั้งฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย ตอนที่กำลังเริงรักเคยคิดถึงใจของคนที่พวกเขาแทงข้างหลังบ้างมั้ย
ถ้าเธอคนนั้นเป็นเพื่อนที่ดี หรือเขาคนนี้รักเธอมากพอ เรื่องพรรค์นั้นคงไม่เกิดขึ้น
แต่มันก็เกิดขึ้น...แล้วเธอจะลืมเรื่องนั้นและให้อภัยน่ะเหรอ
ฝันไปเถอะ
“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันผิด แต่ผมอยากให้รู้ ตอนแรกมันเป็นแค่การพลั้งพลาด ผมไม่เคยคิดนอกใจคุณเลย” ชายหนุ่มเอ่ยเพียงแค่นั้นก็เงียบไป เขาไม่ใช่คนชอบแก้ตัว และรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรจะต้องแก้ตัว เพราะเขาทำผิดไปจริง ๆ แต่ก็ยังอยากจะให้รู้ว่าในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้จริง ๆ
“คืนนั้นผมเมามาก รู้ตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงกับคณิตาแล้วจากนั้นมามันก็เลย...กลายเป็นเลยตามเลยโดยไม่คิดถึงจิตใจคุณ ผมขอโทษจริง ๆ ผมผิดไปแล้ว”
ภานุกานต์เป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา ตรงจนบางครั้งศศิรินทร์ก็นึกชังการพูดตรง ๆ นั้น และตอนนี้เธอก็นึกชังขึ้นมาเช่นกัน ทำไมถึงได้เป็นคนกล้าพูดว่าปล่อยเลยตามเลยได้หน้าตาเฉยกันนะ
เลยตามเลยกับผู้หญิงที่ทรยศมิตรภาพเนี่ยนะ
ตอนที่คุณนอนกับยัยนั่น คุณสะกิดใจบ้างมั้ย ว่ายัยนั่นมันไม่ได้จริงใจกับฉัน เคยคิดเป็นห่วงบ้างมั้ยว่ายัยนั่นมีเจตนาจะทำให้ฉันเสียใจ หรือว่ารสรักของเจ้าหล่อนมันถึงใจจนคุณคิดอะไรไม่ออก”
หญิงสาวแผดเสียงถาม พยายามจะไม่แสดงออกถึงความโกรธที่มันจุกอกทั้งที่อยากจะอาละวาดให้มันเละกันไปข้าง ภาพที่เปิดประตูห้องเข้าไปเห็นแฟนหนุ่มกำลังเริงรักอยู่กับคณิตาหรือคุกกี้ดาราสาวที่เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจอย่างถึงพริกถึงขิงยังคงติดตาและผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉาก ๆ
เขาทำขนาดนี้ยังมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ?
ภานุกานต์นิ่งเงียบไม่ตอบกลับ จะเรียกว่าพูดไม่ออกก็ได้ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีอย่างคนไม่กล้าสู้หน้า จริง ๆ แล้วเขาก็พอจะรับรู้ถึงเจตนาไม่บริสุทธิ์ของคณิตาแต่มีผู้หญิงมาเสนอตัวให้ขนาดนั้น ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะเป็นพระอิฐพระปูน
ยิ่งศศิรินทร์ก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบออดอ้อนทั้งยังงานยุ่งไม่ต่างกัน เวลาที่เขาเครียดก็ต้องระบายความอัดอั้นกับคนที่พร้อมจะคลายเครียดให้สิ เวลาที่เครียดมาก ๆ เขาจะไปสนใจห่าเหวอะไรล่ะ
“ผมขอโทษ” เงียบไปนานในที่สุดภานุกานต์ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความละอายใจ เขายอมรับว่านาทีนั้นเขาไม่คิดสนใจห่าเหวอะไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ว่าเขาผิด...
“ให้อะ...”
“พอเถอะ เลิกคุยเรื่องพวกนี้กันเถอะ คุณไม่ต้องมาหา ไม่ต้องมาขอโทษอะไรทั้งนั้น มันไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว ฉันพูดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานว่าเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก วันนี้และตลอดไปฉันก็ยังยืนยันคำเดิม” ศศิรินทร์ชิงตัดบทเมื่อรู้ว่าหลังจากขอโทษแล้วอีกฝ่ายจะมีท่าทีเช่นไรต่อให้เขาขอโทษด้วยความรู้สึกผิดสักร้อยครั้งพันครั้งทุกอย่างมันก็ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม
ไม่มีทาง...
“แล้ว...งานแต่งงานล่ะ”
ทั้งที่พูดชัดเจนแต่ภานุกานต์ก็ยังไม่ตัดใจยอมแพ้ง่าย ๆ เขารู้ว่ามันยากที่จะให้อภัย รู้ว่าเธอทำใจไม่ได้ แต่การเตรียมงานแต่งงานก็เรียบร้อยไปเกินครึ่งแล้ว ทั้งเธอและเขาเป็นนักธุรกิจนะ จะเอาเงินหลายล้านไปทิ้งเปล่า ๆ งั้นเหรอ
“จะให้ยกเลิกทั้งที่เสียเงินไปมากมาย แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็เชิญแขกแล้วน่ะเหรอ”
“แล้วจะให้ฉันฝืนทนแต่งงานกับผู้ชายที่นอกใจฉันไปนอนกับคนที่ย้ำยีมิตรภาพของฉันงั้นเหรอ” คนที่ควรจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวด้วยอารมณ์แจ่มใสแผดเสียงถามอีกรอบ เธอไม่เข้าใจตรรกะของคนตรงหน้าเลย ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
เขาเป็นอย่างนี้เสมอ...
เป็นผู้ชายนิ่ง ๆ ที่ให้ความรู้สึกไม่เข้าใจ บางครั้งก็แข็งกระด้าง บางครั้งก็เป็นสุภาพบุรุษ ถ้าไม่ใช่เพราะเคยบอกรักเธอคงคิดไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ชายไม่ยินดียินร้ายกับอะไรและแค่คบหากับเธอตามแรงเชียร์ของที่บ้าน
แต่ตอนนี้เธอก็คิดแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว...
หรือความจริงเขาแค่คบกับเธอเพราะที่บ้านเชียร์จริง ๆ และตอนนี้ก็มาตามคำสั่งของที่บ้านถึงไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเจ็บปวดแค่ไหน
“โซ่ เราหมดเงินไปกับการเตรียมงานตั้งเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่เงินผม แต่เงินคุณเองก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่ง ๆ ไปก่อนไม่ได้เหรอ”
“รู้มั้ย...คำพูดของคุณ มันกำลังสื่อว่าคุณไม่ได้สนใจความรู้สึกของฉันเลย พอเถอะ เราจบเรื่องที่มันฝืนใจแบบนี้กันเถอะอย่าฝืนให้มันบานปลายเลย”
“เงินที่เสียไปมันชวนให้เสียดาย...แต่ถ้าความเสียดายมันทำให้ฉันต้องฝืนและอาจจะต้องเจ็บกว่าเดิม ฉันจะทิ้งมันซะ จะกี่ล้านฉันก็ไม่เสียดาย” แววตาทอประกายความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาดของศศิรินทร์เวลาที่พูดว่าไม่เสียดายทำให้ภานุกานต์นิ่งงันไปอีกครั้ง
เธอคนนี้เด็ดเดี่ยวเสมอและในเรื่องที่เธอตัดสินใจไปแล้วเธอก็จะไม่เปลี่ยนใจ...เรื่องนี้เองก็คงไม่
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากยอมแพ้ งานครั้งนี้ถ้าต้องยกเลิกขึ้นมาชื่อเสียงหน้าตาครอบครัวของเขาจะต้องเสียหาย
“คุณให้อภัยผมไม่ได้เหรอ ผมสัญญาจะไม่ทำอีก”
“ฉันให้อภัยได้...แต่ก็แค่ให้อภัย ฉันไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับคุณได้อีก และไม่มีประโยชน์ที่ฉันจะต้องกลับไป” เธอตอบอีกครั้งก่อนจะจ้องมองชายหนุ่มอย่างจริงจัง “เงินที่เสียไปฉันไม่เอาคืน และไม่เสียดาย งานก็ยกเลิกไปซะ ฉันจะไปพูดกับพ่อแม่คุณเอง”
“แต่...”
“ถ้างานมันยกเลิกไม่ได้จริง ๆ ก็หาเจ้าสาวซะ” ไม่ทันที่เขาจะแย้งศศิรินทร์ก็ชิงพูดเสียก่อน “แต่เจ้าสาวของคุณจะเป็นใครก็ได้...ที่ไม่ใช่และไม่มีวันเป็นฉัน มีคนอยากจะเป็นแทนฉันอยู่แล้วนิ”
“คุณจะเอาอย่างนี้เหรอ”
“ใช่...ฉันขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ต่อให้ฟ้าถล่ม ดินทลายยังไง ฉันก็ไม่แต่งงานกับคุณเด็ดขาด”
“อ้อ ต่อให้คุณไปคว้านังเพื่อนทรยศนั่นมาเป็นเจ้าสาวแทนฉันก็ไม่สน เงินที่เสียไปฉันก็ไม่เสียดายมันสักบาทแดงเดียว แม้แต่คุณ...ฉันก็ไม่เสียดาย”
“ซอโซ่!”
“ฉันหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว เชิญ...” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไรอีกคนเป็นเจ้าของห้องทำงานและสถานที่ตรงนี้ก็ผายมือไปทางประตู ไล่กันตรง ๆ ทั้งคำพูดและสายตาโดยไม่เกรงใจตำแหน่งรองประธานของช่องที่ต้องพึ่งพากันเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะผลุนผลันไปที่ประตูไม่คิดดึงดันต่อ ทว่าก่อนจะจากไปก็ทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความโกรธที่ยากจะหยุดยั้ง
“ได้โซ่! ผมจะทำให้คุณได้เห็นว่าต่อให้คุณไม่แต่ง ผมก็ไม่ได้สิ้นไร้ถึงขั้นไม่มีคนแต่งด้วย...”
“แล้ววันนั้นคุณนั่นแหละจะต้องเสียใจ”
ปัจจุบัน
ก่อนออกจากห้องไปเขาทิ้งท้ายไว้ว่าแล้วเธอจะต้องเสียใจ ศศิรินทร์สูดหายใจลึกก่อนจะมองไปบนเวทีที่มีคู่บ่าวสาวกำลังตัดเค้กแต่งงานท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นก่อนจะเดินเลี่ยงออกจากงานด้วยใบหน้าไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่เศร้า
จริง ๆ แล้วเธอก็เสียใจมาโดยตลอด ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่เสียใจกับความสัมพันธ์ที่ต้องจบลง...แต่เธอเองก็มีศักดิ์ศรีและรักในเกียรติของตัวเอง จะให้เธอหลับหูหลับตาแต่งงานกับคนที่นอกใจเธอได้ยังไงกัน
ถ้าเธอไปนอนกับเพื่อนที่เขารักเหมือนครอบครัวบ้างเขาจะยังแต่งงานกับเธอได้หรือ
คำตอบก็คงไม่ เธอเองก็เหมือนกัน เธอก้าวมาอยู่ในจุดที่เกือบจะสูงที่สุดของวงการเบื้องหลังเธอต้องผ่านเรื่องราวมามากมายจนแกร่งขนาดนี้แล้วคนอย่างเธอจะยอมกินน้ำตาต่างข้าวแต่งงานทั้งที่รู้ว่าเขาเคยกล้าสมยอมกับเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อทำร้ายจิตใจเธออย่างนั้นเหรอ
ไม่มีวันซะหรอก !!!
น้ำตาจากความเสียใจมันมีวันเหือดหาย แต่ภาพติดตานั้นจะไม่มีวันลบไปจากใจของเธอได้ มันจะเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันจางหายอย่างนี้ไปตลอดถ้ายังวนเวียนอยู่ใกล้กับเขาหรือเธอคนนั้น
สู้ออกมาจากตรงนั้น ตัดขาดตั้งแต่ต้นย่อมดีกว่า
มันดีแล้วที่เป็นแบบนี้...
แต่พอถึงวันนี้จริง ๆ หัวใจที่คิดว่าจะเข้มแข็งได้กลับอ่อนแอลงอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งได้เห็นภาพรวมของงานที่ออกมาไม่ต่างจากที่วาดฝันไว้ก็ยิ่งเจ็บปวดในใจ...วันนี้คนที่ยืนในตำแหน่งเจ้าสาวไม่ใช่เธอจริง ๆ
เธอ ยึดมั่นถือมั่นเกินไปหรือเปล่า...
ถ้ายอมให้อภัยสักครั้งมันจะดีหรือไม่...
ถ้าเธออภัยให้เขาสักครั้ง ตำแหน่งข้างเขาตรงนั้นมันจะยังเป็นเธอใช่มั้ย...
