กุญแจดอกที่ 7 : เพื่อนร่วมห้อง (บทจบ)
คำถามของฟรอสได้รับคำเฉลยทันทีเมื่อร่างบางของเด็กสาวผมชมพูที่อยู่ในชุดนอนกระโปรงสีฟ้าแบบยาวคลุมถึงเท้าผลักหน้าต่างเข้ามา ก่อนจะหล่นตุ๊บลงบนเตียงนอนที่ติดอยู่ริมหน้าต่างเล่นเอาคาไมเคิลสะดุ้งไปในคราวแรกเหมือนกันเพราะนึกว่ามีผู้บุกรุกบุกเข้ามา แต่เรที่เห็นแบบนั้นกลับยิ้มออกมานิดๆพร้อมส่ายหน้าอย่างระอาพลางเดินเข้าไปหาร่างบางเหมือนกับจะรู้อยู่แล้วว่าเซนต้องมาหาพวกเขาแน่ๆ
ดวงตาสีทองที่อยู่หลังกรอบแว่นหันไปสำรวจห้องที่คล้ายๆห้องพักของตนเองจนผมสีชมพูที่เป็นเปียสองข้างแกว่งไปตามแรง เพียงไม่นานเจ้าตัวก็ยิ้มออกมาเมื่อสำรวจจนพอใจ ซึ่งถึงจะดูเฉิ่มแต่เมื่อเด็กสาวคนนี้ยิ้มมันก็ยังดูน่ารักอยู่ดี
“ฉันขอเพื่อนร่วมห้องมาเดินดูหอพักก่อนจะโดดมาหาพวกนายนี่แหละ” เซนพูดออกมาพลางยิ้มให้ทุกคนราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เด็กสาวใช้เวทลอยตัวกับเวทหายตัวส่งตัวเองขึ้นมาถึงชั้นเก้าของหอพักชายโดยที่ไม่มีใครเห็นและแม้แต่กล้องวงจรปิดก็ไม่มีทางเก็บภาพเธอได้ด้วย
“เซนลงไปนั่งเตียงนั่นไม่กลัวบ้างหรือไงว่าอาจจะไม่ใช่เตียงเร” ฟรอสถามออกมาแต่พวกเขาจะไม่ถามหรอกว่าเด็กสาวตรงหน้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไงเพราะหากเข้ามาไม่ได้คนตรงหน้าก็ไม่สมควรจะเป็นนักล่าอันดับสองแห่งสมาพันธ์นักล่า
“ไม่กลัวหรอกก็เพราะเรชอบนอนริมหน้าต่างนี่นา...” คำพูดนั้นทำเอาฟรอสแทบอ้าปากค้าง ชอบนอนริมหน้าต่างหรือ แล้วเวลาไปทำงานกับเขาทำไมต้องให้เขาเป็นคนนอนริมหน้าต่างละ
“อย่างออกไปทำภารกิจกับฉันทีไรเรก็เลือกนอนริมหน้าต่างทุกที” เซนยังคงอธิบายไปพลางยิ้มกว้างในขณะที่ฟรอสยิ้มแห้งๆส่งให้เด็กสาวที่ไม่รู้อะไรเลยสักนิดเดียว นักล่าอันดับสามพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเรจึงเลือกนอนริมหน้าต่าง
คาไมเคิลใช้สมองประมวลทุกอย่างออกมาทันที เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะคิดไม่ออกว่าความจริงแล้วเรเกลียดการนอนริมหน้าต่างมากแค่ไหน แต่เมื่อไปกับเซนาเรียสเจ้าตัวกลับห่วงเซนมากกว่าจึงยอมไปนอนริมหน้าต่างให้ทุกครั้งจนเด็กสาวผมชมพูคนนี้คิดไปแล้วว่าเรชอบนอนริมหน้าต่าง แต่ไอ้คนต้นเรื่องยังคงเฉยไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะแก้ตัว ปล่อยให้คู่หมั้นสาวคิดไปแบบนั้น เรปล่อยให้เซนาเรียสพูดคุยกับฟรอสและคาไมเคิลขณะที่เขาค่อยๆถอดแว่นให้เด็กสาวแล้วย้ายไปแกะเปียทั้งสองข้างอย่างเบามือ
“ว่าแต่เธอผ่านเขตอาคมของเรมาได้ยังไง” ฟรอสถามคนที่นั่งแกว่งขาอยู่บนเตียงของเรฟานอฟอย่างสบายใจเฉิบ
“เขตอาคมอะไร...ไม่เห็นมีเลย ตอนแรกฉันยังคิดอยู่เลยว่าพวกนายที่เป็นนักล่าประมาทอย่างนี้ทุกครั้งหรือเปล่า เวลาทำงานถึงไม่ยอมลงเขตอาคมแล้วปล่อยให้ฉันเข้ามาได้ง่ายๆ” เซนถามออกมาพร้อมทำหน้าเหรอหราทำเอาฟรอสกับคาไมเคิลคิดในใจพร้อมกัน
เขตอาคมของนักล่าอันดับหนึ่งนั้นสามารถป้องกันการบุกรุกของทุกคนและทุกสิ่งได้เพราะแม้แต่พวกวิญญาณก็ยังไม่สามารถทะลวงเข้ามาได้ แต่เขตอาคมที่แสนแข็งแกร่งนั้นดันใช้กันเซนไม่ได้นี่สิ ทว่าดูเหมือนคนที่เขตอาคมกันไม่ได้จะไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
เมื่อแก้เปียทั้งสองข้างเสร็จแล้วผมสีชมพูยาวก็ทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วงแม้มันจะเป็นคลื่นนิดๆเนื่องจากถักเปียเอาไว้นานแต่มันก็ทำให้เซนกลับมาสวยเหมือนเดิม เรมองคู่หมั้นสาวก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยปากเตือน
“อย่าให้ใครเห็นเธอในสภาพนี้นะเซน” คำพูดพร้อมใบหน้าห่วงๆของเจ้าชายที่มักเย็นชาจนแทบไร้หัวใจเรียกรอยยิ้มของเซนได้ดี
“รับทราบ” เด็กสาวตอบรับโดยไม่ถามเหตุผลอย่างเคยเพราะเชื่อใจคู่หมั้นคนนี้มาตลอด เรจะไม่มีทางทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายหรือเสียชื่อเสียงโดยเด็ดขาด
เรฟานอฟถอนหายใจออกมานิดๆกับใบหน้ายิ้มๆและเสียงตอบรับของอีกฝ่ายเพราะดูท่าเซนคงไม่รู้หรอกว่าเหตุใดเขาจึงเตือนออกไปแบบนั้น นักล่าอันดับหนึ่งเอื้อมมือออกไปลูบผมสีชมพูอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่ค่อยจะแสดงความรู้สึกเผยยิ้มจางๆทำเอาเด็กหนุ่มอีกสองคนในห้องมองกันตาค้าง
คาไมเคิลถึงกับต้องขยี้ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ เมื่อกี้เขาฝันไปหรือเปล่าที่เห็นนักล่าอันดับหนึ่งยิ้ม ฟรอสอยากจะถอนหายใจออกมาดังๆเพราะเขาชักดีใจขึ้นมานิดๆแล้วที่หมอนี่ไม่ใช่คนชอบยิ้มหรือแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ก็ดูสิพอยิ้มแล้วดูดีขึ้นเป็นกองแค่นี้นักล่าอันดับหนึ่งยังหล่อเกินหน้าเกินตาไม่พออีกหรือ
“นี่เซนถ้าเธอไม่ได้อยู่กับเรเธอจะทำยังไง” ไม่รู้อะไรดลใจให้ฟรอสถามออกไปแบบนี้ อาจจะเพราะไม่ว่าเมื่อไหร่เขาก็เห็นสองคนนี้อยู่ด้วยกันตลอดก็เป็นได้ แต่ดูท่าเรฟานอฟจะโกรธมากจนหันขวับมาทางเขาพร้อมกับจิตสังหารอันแหลมคมที่พุ่งตรงเข้ามาราวกับอยากจะฆ่าให้ตาย และนักล่าอันดับสามก็ต้องรู้สึกผิดจริงๆเมื่อเซนมีสีหน้าเศร้าลงจนเหมือนอยากจะร้องไห้
เด็กสาวขยับตัวเข้าหาเรก่อนจะใช้แขนโอบรอบคอนักล่าอันดับหนึ่งพร้อมกับซบหน้าลงบนไหล่แข็งแกร่งที่เป็นที่พึ่งพิงของเธอมาเสมอ
“เรจะอยู่กับฉัน...เรจะไม่มีวันไปไหนและฉันก็จะไม่ให้เรไปด้วย” เสียงหวานสั่นเอ่ยขึ้นราวกับพร้อมจะร้องไห้ออกมาตลอด เธอไม่อยากจะคิดถึงวันที่ไม่มีเร
“เพราะเรคืออิสรภาพทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน” น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาสีทองคู่สวยทำเอาเสื้อของนักล่าอันดับหนึ่งเปียกชุ่ม
ต่อให้คนทั้งโลกเกลียดหรือหันหลังให้เธอ...เธอไม่เคยจะกลัว ขอแค่เรเท่านั้น...ขอแค่เรเท่านั้นที่จะอยู่ข้างๆและไม่หันหลังให้เธอ เพราะในโลกนี้มีเพียงเรเท่านั้นที่สามารถพันธนาการปีศาจร้ายเอาไว้ได้ ถ้าหากไม่มีเรแล้วเธอก็คงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป...ในเมื่อชีวิตที่ไร้อิสรภาพและต้องถูกกักขังอยู่ตลอดเวลาจะไปมีค่าอะไร
แค่เรเท่านั้นที่เธอไม่อยากให้เกลียด แค่เรเท่านั้นที่เธอไม่อยากให้เขาจากไป แค่เรเท่านั้นที่เธอจะขอเห็นแก่ตัวและยึดเอาไว้...แค่คนๆนี้เท่านั้น
“เพราะแบบนี้เรถึงได้สำคัญ...ยิ่งกว่าชีวิตของฉัน” เรอาจจะอยู่ต่อไปได้หากปราศจากเธอ แต่ขอจงรับรู้ไว้เถอะว่าเธอไม่สามารถอยู่ต่อไปได้จริงๆหากปราศจากเร การถูกกักขังมันทรมานมาก...ได้แต่มองภาพด้านนอกที่ปีศาจมองเห็น ทั้งที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย เธอทำได้เพียงร่ำไห้และอ้อนวอนขอให้มันหยุดลง
เคยหวาดกลัวไหมว่าสักวันร่างกายของตนเองจะไม่ใช่ของตนเองอีกต่อไป เธออยู่มากับความรู้สึกหวาดกลัวแบบนั้น ได้แต่เฝ้าภาวนาขอเพียงคนๆเดียวที่สามารถฉุดเธอออกจากความทรมานนี้ได้ จะเป็นใครก็ช่าง...ขอเพียงคนๆเดียวเท่านั้น เธอสัญญาว่าถ้าเธอหลุดออกไปได้เธอจะปกป้องและเชื่อฟังคนๆนั้นโดยไม่ขัดแม้แต่นิด ใช่...เฝ้าภาวนาและอ้อนวอนอยู่ในที่ๆมืดมิดนั่นโดยไม่มีใครเห็นและรับรู้ ทรมานกับความหวาดกลัวของตนเองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว ร้องไห้...ร้องจนหมดแรง...ร้องจนแทบไม่มีน้ำตาจะร้องทว่าน้ำตาเหล่านั้นช่างเปล่าประโยชน์นัก น้ำตาที่รินไหลหยดแล้วหยดเล่าไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
แต่แล้วก็มีวันหนึ่งที่แสงส่องลงมาในที่ๆมืดมิดขนาดนั้นพร้อมกับมือของคนๆหนึ่งที่ยื่นมาตรงหน้า เธอรีบไขว่คว้าหาความหวังสุดท้าย ในตอนนั้นเธอคิดว่าจะเป็นใครก็ช่าง...จะเป็นใครเธอก็พร้อมจะปกป้องและเชื่อฟังไปตลอดชีวิต เธอจึงจับมือนั้นเอาไว้อย่างไม่ลังเล มือนั้นทั้งอบอุ่นและแข็งแกร่งราวกับบอกเธอว่าหากจับมือนี้แล้วเดินไปด้วยกันเธอจะไม่มีวันล้มลงไปเด็ดขาด
เรในตอนนั้นเหมือนกับแสงสว่างที่ส่องลงมาในความมืดมิด สว่างจ้าเสียจนแสบตาแต่ก็อบอุ่นจนไม่อยากปล่อยมือ เพราะเธอกลัวเหลือเกินว่าหากคลายมือออกแม้เพียงนิดแสงสว่างที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งสุดท้ายจะมลายหายไปแล้วผลักไส้เธอให้จมลงสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
“ได้โปรดอย่าหายไป...อย่าหายไปเลย ฉันสัญญาว่าจะไม่เป็นภาระให้เรเด็ดขาดเพราะฉะนั้นอย่าได้ทิ้งกันไป...” บางทีคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดอาจจะเป็นเธอก็ได้ แต่ต่อให้ถูกประณามมากว่านี้เธอก็จะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด เธอไม่สามารถปล่อยมือจากแสงสว่างนี้ได้เลยจริงๆ
“พอเถอะเซน...” เรปลอบพลางลูบหัวเด็กสาวทว่าดวงตาสีดำสนิทกลับมองฟรอสราวกับอยากจะฆ่าให้ตาย ดวงตาสีทองเงยขึ้นมามองเหมือนอย่างที่ชอบทำ
“ฉันสัญญา...ฉันจะอยู่กับเธอตลอดไป” เสียงนุ่มเอ่ยสัญญาพลางปาดน้ำตาให้เด็กสาว มันคือสัญญาชั่วชีวิตของเขา แม้จะไม่รู้ว่าตลอดไปมันจะยาวนานแค่ไหนก็ตาม
ขอเด็กคนนี้ให้เขาเถิด...ต่อให้คนอื่นจะเกลียดชังเธอก็ไม่เป็นไร ต่อให้ทุกคนในโลกจะไม่ต้องการเธอก็ช่าง เพราะเขาต้องการเธอ...ต้องการเหลือเกิน เขาจะปกป้องเธอทดแทนวันเวลาอันโหดร้ายนั่น จะดูแลเธอทดแทนในสิ่งที่แม้แต่บิดามารดาของเธอก็ทำให้ไม่ได้ ใช่...เขาจะเป็นคนรักเธอเอง
“อืม...” เด็กสาวพยักหน้า คำพูดของเรคือคำสัญญาเสมอ ในเมื่อเรตระหนักได้ดีว่าคำพูดของเขาที่หลุดออกไปสำคัญแค่ไหน เรจึงไม่ค่อยชอบพูดและมักจะระวังเสมอถ้าจะต้องพูดอะไร
“เอาละ ฉันออกมานานเกินไปแล้ว ป่านนี้พวกนั้นคงรอให้ฉันกลับไป” เซนบอกพลางลุกขึ้นบิดไปบิดมาเพื่อคลายความเมื่อยก่อนจะเอื้อมมือไปกอดนักล่าอันดับหนึ่งอย่างที่เคยทำทุกวันก่อนเข้านอนแล้วค่อยหันมาทางเด็กหนุ่มอีกสองคน
“ราตรีสวัสดิ์นะ” เด็กสาวพูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกระโจนออกไปทางหน้าต่างที่เปิดอ้าทำเอาฟรอสกับคาไมเคิลแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
นึกว่าจะโดนกอดแบบเรเสียแล้ว ถ้าเซนทำแบบนั้นจริงช่วยยื่นมีดมาแทงเขาเลยเหอะ เขาจะไม่หลบเลยเพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่ารอให้นักล่าอันดับหนึ่งเชือดพวกเขากับมือ
เมื่อเซนไปแล้วเรก็หันไปมองฟรอสทำเอาคนถูกมองสะดุ้ง เขายังมีเรื่องกับหมอนี่อยู่นี่นา
“อะไร” คนเป็นนักล่าอันดับสามถามเสียงอ่อย อันที่จริงเมื่อกี้เขาก็ผิดจริงๆนั่นแหละที่ถามคำถามนั้นกับเซน
“อย่าได้ถามแบบนั้นอีกฟรอสเพราะคราวหน้าฉันฆ่านายแน่” เรเอ่ยเตือนเสียงเย็นพร้อมกับดวงตาสีนิลเย็นเยียบที่แฝงไว้ด้วยความคุกคามทำเอาฟรอสต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถามสิ่งที่อยู่ในใจออกมาต่อให้มันจะหวิดโดนฆ่าขนาดไหนก็ตาม
เขาก็เป็นนักล่าอันดับสามนี่แอย่างน้อยถ้าวิ่งเต็มฝีเท้าเขาก็อาจจะไปหลบหลังเซนที่อยู่หอหญิงตึกข้างๆได้ทัน เจ้าตัวคิดแบบนั้นโดยไม่นึกละอายเลยสักนิดที่ต้องหลบหลังผู้หญิง ถึงตอนนั้นขอให้เขารอดให้ได้เสียก่อนเถอะ
“ทำไมนายไม่บอกเซนไปเลยละว่านายรักเซน” คำถามของฟรอสทำเอาเรฟานอฟชะงักไปและมันทำเอาคนถามยิ่งอยากรู้และยิ่งรุกด้วยคำพูด
“นายก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างเซนไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของนายหรอกถ้านายไม่พูดออกไปตรงๆ” คาไมเคิลที่ได้ยินบทสนทนามาตั้งแต่ต้นได้แต่นิ่งฟังเพราะร้อยทั้งร้อยเขาก็ไม่มีวันเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงตายกับคุณฟรอสเด็ดขาด ในเมื่อเขายังเสียดายชีวิตอันมีค่าของเขานี่
“ถ้าไม่ยอมบอกเดี๋ยวก็โดนคนอื่นแย่งไปหรอก” เมื่อเห็นเรไม่ได้ลงมือฆ่าเขาไอ้คนพูดก็ยิ่งได้ใจใหญ่ นานๆทีจะมีโอกาสแบบนี้นี่นะ
“มันไม่ใช่เรื่องของนาย” เสียงเย็นของเรเอ่ยตัดบทก่อนจะเดินคว้าข้าวของเข้าห้องน้ำไป ฟรอสได้แต่เหยียดยิ้มไล่หลัง หมอนี่มันกำลังหนีความจริงหรือไงนะ
“เฮ้อ...อย่างนักล่าอันดับหนึ่งก็กลัวเป็นแฮะ ทั้งที่รักเซนขนาดนั้นแท้ๆ” เสียงถอนหายใจดังมาจากนักล่าอันดับสามฟังแล้วน่าหมั่นไส้จนนักล่าอันดับหกที่ได้ยินต้องส่ายหัวอยู่คนเดียวเงียบๆ
ผมว่าคุณฟรอสควรระวังคำพูดหน่อยนะครับเพราะบางทีคุณฟรอสอาจจะพลาดท่าให้คุณเรฆ่าได้ก่อนที่จะไปหลบหลังคุณเซนทัน
