บทที่ 9
“คุณกล้าดียังไง...เพราะอะไรคุณถึงมีเจตนาที่จะแกล้งฉันอย่างนี้”
“ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ...คุณอลิกซ์...ใจเย็นๆ ก่อน” เขาเอื้อมมือไปจะจับแขน แต่อลิกซ์ถอยออกห่างในทันที
“คุณไม่ต้องมาบอกให้ฉันใจเย็นหรอก คุณเก็บข้าวของออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว”
“คุณอลิกซ์ ผมขอโทษนะ ผมเพียงแต่อยากจะให้คุณกับเด็กๆ ได้กินอาหารดีๆ เสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น และการกินผักมันก็เป็นประโยชน์สำหรับเด็ก ซึ่งคุณก็รู้ดีอยู่แล้ว”
“คุณไม่ใช่หมอนะ...คุณเป็นเพียงแค่ลูกจ้างในไร่คนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้น ออกไปให้พ้น”
“ใจเย็นๆ สิครับ เอาละ ผมสัญญาว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก...ผมขอโทษจริงๆ ครับ”
“ฉันอยากรู้นัก...อยากรู้จริงๆ ว่าเพราะอะไร ใครๆ ถึงอยากจะบังคับให้ฉันต้องทำโน่นทำนี่ตามใจเขาตลอดเวลา” มือที่จับราวระเบียงกำแน่น “ทำไมถึงไม่มีใครยอมให้ฉันได้ตัดสินใจด้วยตัวเองบ้าง” เธอหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง “คุณเองก็เหมือนกัน คุณเป็นลูกจ้างฉัน เป็นลูกจ้างชั่วคราวด้วยซ้ำ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเปลี่ยนแปลงคำสั่งใดๆ ของฉันทั้งสิ้น”
“คุณพูดถูกครับ” เขายอมรับหน้าชื่น เพราะรู้ดีว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เธอคลายความโกรธได้ “ฟังนะ อลิกซ์ การที่ผมทำอย่างนี้ ไม่ได้เป็นเพราะผมมีเจตนาจะแกล้งคุณเลยมันเป็นเพียงแค่ว่า...ผมชินกับอาหารค่ำอย่างนี้ก็เลยคิดว่านี่คือ สิ่งที่ดีที่สุดเลย...หรือไม่อีกประการหนึ่ง คือเมื่อผมได้รับมอบหมายให้ดูแลรับผิดชอบในตัวใครก็ตาม ผมใช้สิทธิ์อันนั้นอย่างเต็มที่เกินไป”
เขาเอื้อมมาจับมือเธอไว้เมื่อกล่าวต่อว่า
“อันที่จริง ผมก็ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับคุณว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมสำหรับคิมและไมค์ แต่คุณจะต้องไม่ลืมนะครับว่า ถ้าคุณไม่หัดแกเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อโตขึ้น คุณก็จะหัดไม่ได้ และถ้าคุณให้โอกาสผมอีกสักครั้ง ผมจะพยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อของตัวเอง บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการอยู่ร่วมกันต่อไปของเราก็ได้นะครับ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ผู้ชายคนนี้...คนแปลกหน้าคนนี้ได้ใช้คำพูดที่เธอปรารถนาจะได้ฟังจากปากของพ่อและแม่มาโดยตลอด แต่เมื่อพ้นอกพ่อแม่มาก็หวังว่าจะได้ฟังจากปากของสามี เธอไม่รู้ว่าตัวเองเคยตั้งความหวังที่จะได้ฟังวาจาเช่นนี้มาที่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว เธอไม่ได้ถึงคือถือทิฐิและมีความได้มีใครเปิดโอกาสให้เธอได้มองเห็นในความเข้าใจผิดเท่านั้นรู้สึกว่าตัวเองเท่านั้นที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอไป เพียงแต่ไม่ได้มีใครเปิดโอกาสให้เธอได้มองเห็นในความเข้าใจผิดเท่านั้น
“คุณจะทำอย่างนั้นได้จริงๆ หรือคะ” เธอถามด้วยเสียงแผ่วเบา
“ได้สิ” ปลายนิ้วของเขาอยู่ตรงปลายคางของเธอพร้อมๆ กับที่ร่างเคลื่อนเข้ามาใกล้ และเชยคางเธอขึ้น “รู้สึกว่าการเริ่มต้นของเรามันไม่ใคร่จะดีเท่าไหร่นักใช่ไหม อลิกซ์...-ทำไมเราไม่ลืมมันเสียที แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ล่ะ”
“บางทีฉันอาจแสดงอารมณ์เอากับคุณมากเกินไปก็ได้ค่ะ ฉันคงดีใจมากถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ต่อไป”
สายลมอ่อนรำเพยพัดอยู่รวยริน ปอยผมสีน้ำผึ้งปรกลงบนซีกแก้ม โจใช้ปลายนิ้วเขี่ยออกและเหน็บไว้ให้ตรงหลังใบหู ใบหน้าของเขาห่างจากใบหน้าของเธอแค่คืบ อลิกซ์ไม่เคยปรารถนาในสิ่งใดนอกจากความชิดใกล้เช่นนี้มาก่อนในชีวิต
แต่ทันใด เขาก็ผละออกจากเธอพร้อมกับก้าวถอยหลังออกห่าง กรามขบกันจนนูนเป็นสันด้วยสีหน้าเคร่งขรึมนั้นเขาบอกกับเธอว่า
“เราควรจะเข้าไปดูเด็กๆ กินอาหารก่อนดีกว่า”
นาทีแห่งความอ่อนหวานอันแสนสุขได้เลือนหายไปแล้วเหมือนเช่นกลีบดอกกุหลาบที่สีสันจางลง พร้อมๆ กับ
ความเที่ยวแห้งโรยร่วงไปในที่สุด และความเจ็บปวดรวดร้าวที่ทีมแทงลงไปในหัวใจของเธออีกครั้ง...
เธอเกือบจะยอมให้โจจุมพิตเธอแล้ว เพียงแต่บังเอิญเขาปฏิเสธเธอเสียก่อน... นี่เธอไม่เคยจดจำบทเรียนที่เคยรับมาในชีวิตเลยหรือ...เธอลืมไปแล้วหรือว่าความเจ็บปวดนั้นมีพิษร้ายอย่างไร...
โจหมุนพวงมาลัยพารถปิคอัพคันนั้นเลี้ยวซ้ายขึ้นสู่เส้นทางหลวง เขามองไปทางกระจกเงาที่ติดตั้งอยู่ด้านนอกของตัวรถ ซึ่งสะท้อนให้เห็นรถพ่วงที่ใช้บรรทุกม้าที่ขณะนี้ยังว่างเปล่าอยู่ ซึ่งเขาได้ตรวจตราความแน่นหนาภายหลังจากที่เอามันเกี่ยวเข้ากับตะขอรถปิคอัพครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เพราะเขาไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดอย่างไร้สติ เช่นที่ตนเองได้ก่อขึ้นเมื่อคืนก่อนอีกเท่านั้น ซึ่งเขาก็ให้เหตุผลอย่างเข้าข้างตัวเองอยู่ว่า เขาก็คงจะไม่ซื้อไอ้ต้นบ้าๆ นั้นมาเป็นแน่
ถ้าจะใช้คำว่าหงุดหงิดก็ดูจะไม่ตรงต่อความหมายเสียทีเดียวโจคิดอยู่ในใจขณะที่เปลี่ยนเกียร์รถ ที่จริงแล้วเขาถูกจ้างให้มาทำงานเป็นลูกจ้างของเธอ ดังนั้น อลิกซ์ย่อมมีสิทธิ์ทุกประการว่าจะใช้เขาอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่หรอกการรับคำสั่งจากเธอไม่ใช่เรื่องที่สร้างความหงุดหงิดใจให้เกิดขึ้นกับเขาแน่
ก็แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริงเล่า ว่าตอนที่เขาเดินกระแทกเท้าออกมาจากครัวพร้อมด้วยบัญชีรายการสิ่งของที่จะต้องซื้อนั้น เขากำลังหิวจนหน้ามืด ซึ่งมันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องตับเรื่องหัวหอมนั้นเลยจนนิดเดียวเขาได้เฝ้าจับตามองดูอยู่ตอนที่อลิกซ์เขียนรายการนั้น มือไม้ของเธอสั่นสะท้านจนเขาอยากจะรวบร่างเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดนัก ใคร่ที่จะได้จูบเธอและไล้ปลายนิ้วไปตามปอยผมที่อ่อนสลวย อยากจะปลุกปลอบว่าเธอไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวลเลยแม้แต่น้อยเขาจะไม่มีวันทำให้เธอต้องผิดหวังหรือเสียใจเป็นอันขาด
แต่แล้วเขาก็ต้องเสียใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อมองเห็นแววเจ็บช้ำในดวงตาของเธอ การที่เขารั้งร่างเธอเข้ามาพยายามที่จะปลอบใจเธอนั้นดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่สุด แต่ทว่าในนาทีนั้นที่เขาได้ตระหนักถึงความอ่อนแอของเธอ
พุทโธ่...อย่าหลอกตัวเองหน่อยเลยน่า ใครกันแน่ที่อ่อนแอ เขารู้ดีว่าในนาที่เข้าด้ายเข้าเข็มนั้น ถ้าเขาไม่ได้ยินเสียงไมค์กับคิมดังมาจากภายในบ้านแล้วเขาก็ย่อมจะเผลอสติอย่างแน่นอน
การที่จะผละออกจากร่างของอลิกซ์นั้น เป็นสิ่งยากเย็นที่สุดเท่าที่ใจเคยทำมาในชีวิตนี้ ร่างกายของเธออ่อนระทวยอย่างเช่นที่เขาคาดไว้แล้วว่า เธอจะต้องเป็นเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อาจจะปล่อยให้มีพฤติการณ์ใดๆ เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอได้ เขาไม่ต้องการความรู้สึกเสียใจที่จะติดตามมาในภายหลัง
เขาเหยียบเบรกเต็มที่เมื่อหักเลี้ยวขวาแล้ว และจอดรถลง จากนั้นก็โน้มตัวไปข้างหน้าขยี้ตาพร้อมกับด่าตัวเองที่เมื่อคืนนอนไม่หลับ และเช้านี้ก็ยังตื่นพร้อมกับเสียงไก่ขันอีกด้วยหลังจากที่อาหารเช้าเตรียมไว้ให้สามแม่ลูกแล้วก็ยังเหลือเวลาอีกทั้งวันที่รออยู่
เขาเหวี่ยงตัวลงจากรถปิคอัพ ขยับหมวกปีกกว้างให้เข้าที่ กระแทกประตูปิดลงและเดินไปทางรถพ่วงอยากจะเอาม้าจากไร่ของเดวิสขึ้นรถเร็วๆ ทั้งนี้เพราะนอกจากตัวเองอยากจะกลับขึ้นไปอยู่บนหลังม้าเต็มทีแล้ว พวกเด็กๆ ก็ยังตั้งความหวังที่จะได้เรียนรู้วิธีการขี่ม้าจากเขาอีกด้วย
“แซม...นั่นคุณใช่ไหม แซม”
โจหันขวับไปทันทีที่ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อแรกของเขาขึ้น พร้อมกับขมวดคิ้วย่นอย่างแปลกใจอันที่จริงเขาก็รู้อยู่ว่า เฮนรี่ คาสเทล ทำงานให้กับครอบครัวซินแคลร์ในไร่ปศุสัตว์ดับเบิ้ล เอส แร้นช์ ใกล้กับจอห์นสันวิลล์มาเป็นเวลานานปี ดังนั้น เขาจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกจ้างธรรมดา เฮนรี่เป็นเพื่อนของเขา และเขาก็รู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้พบกับเพื่อนคนนี้อีก