ตอนที่2 สมัครงาน
ไม่นานหลังจากนั้นสองแม่ลูกก็มาถึงบริษัทสิรากรการออกแบบ ซึ่งเป็นที่ทำงานของรติภัทร
“สิรากรยินดีต้อนรับค่ะ มาติดต่ออะไรคะ” ประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยถามเมื่อเห็นทั้งคู่ก้าวเข้ามาภายในบริษัท
“ดิฉันเห็นประกาศรับสมัครมัณฑนากรในเว็บของบริษัท ที่บอกว่ายื่นสมัคร และประกาศผลทันทีหลังสอบสัมภาษณ์น่ะค่ะ ก็เลยมาสมัคร” หญิงสาวบอก “ยังรับสมัครอยู่ไหมคะ?”
“อ้อ รับค่ะ บอสยังไม่ได้มัณฑนากรตามคอนเซปต์เลย เลยยังเปิดรับอยู่ เชิญทางนี้เลยค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวบอกก่อนจะเดินนำสองแม่ลูกไปยังทิศทางที่มุ่งตรงไปยังห้องของผู้เป็นประธานบริษัท
“เดี๋ยวค่ะ ดิฉันพาลูกมาด้วย อนุญาตให้พาไปด้วยเหรอคะ?” คนพาลูกมาด้วยถามอย่างสงสัยเมื่อไม่เห็นทีท่าแปลกใจของพนักงานสาวที่เธอมีอีกคนหนีบมาด้วย พนักงานสาวยิ้มก่อนจะอธิบายให้ฟัง
“ต้องบอกเลยว่าที่นี่ชิลล์มากค่ะ อนุญาตให้พนักงานพาลูกพาหลานที่อายุ3ขวบขึ้นไปเข้ามาได้ หลายคนพาลูกมาทำงานด้วยยังมีเลยค่ะ ยิ่งช่วงปิดเทอมนะคะเด็กเนี่ยแน่นยิ่งกว่าโรงเรียนอีก ถ้าคุณได้ทำงานที่นี่ไม่ต้องกังวลเรื่องลูกเลย จะพามาเมื่อไหร่ก็ได้ จะไปรับมานั่งรอหลังโรงเรียนเลิกก็ได้ เพราะเราเลิกงาน5โมง”
“ว้าว ไม่เคยเห็นที่ไหนเลยค่ะ”
“ที่นี่เราเน้นเรื่องความสบายใจของพนักงานและครอบครัวค่ะ ถ้าพนักงานสบายใจไม่กังวลเรื่องลูกก็จะทำงานได้เต็มที่ขึ้น ที่นี่เรามีโซนสำหรับลูกหลานพนักงาน พาลูกมาอยู่ใกล้ คุณพ่อคุณแม่คนไหนก็สบายใจจริงไหมคะ?”
“จริงค่ะ ยิ่งฟังยิ่งอยากได้งานนี้จัง” รัมภาภัสร์บอก ส่วนเด็กหญิงรัมภาวีร์มองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เธอชอบที่นี่ นึกอยากให้ช่วงที่ปิดเทอมอยู่นี้มารดาได้ทำงานที่บริษัทนี้เสียจริง ๆ ดูแล้วคงสนุกไม่น้อย
“อ้อ ลืมแนะนำตัวเลย ดิฉันชื่อลิน อายุ30ถ้าอายุน้อยกว่าจะเรียกพี่ก็ไม่ว่ากันค่ะ” วรรณณลิน หรือ ลิน ประชาสัมพันธ์สาวผู้เป็นมิตรแนะนำตัว
“รัมภาภัสร์ค่ะ เรียกว่ารุ้งหรือสีรุ้งก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะพี่ลิน” รัมภาภัสร์ตอบกลับก่อนที่หนูน้อยจะแนะนำตัวเองอย่างรู้งาน
“ส่วนหนูชื่อรัมภาวีร์ค่ะ เรียกหนูเล็กก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะลินจ๋า”
“ว้าว ปากหวานจังเลยลูก ท่าทางเป็นเด็กฉลาดนะจ๊ะเนี่ย” เพราะหนูน้อยไม่เรียกป้าวรรณณลินจึงรู้สึกเอ็นดูหนูน้อย ส่วนคนถูกเอ็นดูนั้นก็แค่เป็นเด็กรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางไม่อยากถูกเขม่นเพราะผู้หญิงวัยนี้ไม่ชอบให้เรียกป้าให้ดูแก่ก็เท่านั้น
“แกค่อนข้างแก่แดดน่ะค่ะ แต่ก็รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางเชียวล่ะค่ะ”
“ฉลาดแบบนี้ดีแล้วค่ะ พี่ชอบ นี่คนแรกเลยนะที่ไม่เรียกพี่ว่าป้า ลูกคนอื่นล่ะมาถึงสวัสดีป้ากันหมดเลย” วรรณณลินบอกก่อนที่จะเดินนำไปยังโต๊ะตัวใหญ่ที่มีสาววัย35นั่งอยู่ ป้ายบนโต๊ะเขียนว่าเลขานุการ สองแม่ลูกจึงเดาได้ว่าหญิงสาวคงเป็นเลขานุการของประธานบริษัทหรือใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดรับมัณฑนากรครั้งนี้
“สวัสดีตอนเช้าค่ะพี่เมย์ เช้านี้มีคนมาสมัครเป็นมัณฑนากร1คนค่ะ น้องพิจารณาแล้ว คนนี้ตรงตามเงื่อนไขของบอสแน่นอน” วรรณณลินบอกแก่เลขานุการสาวเกือบใหญ่ “รุ้งจ๊ะ นี่พี่เมลาณี หรือพี่เมย์ เป็นเลขาของท่านประธาน พี่เมย์คะ นี่น้องรุ้งค่ะ มาสมัครเป็นมัณฑนากร”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะคะ พี่ขอเอกสารแนะนำตัวด้วยค่ะ” เมลาณีผู้เป็นเลขานุการของท่านประธานเอ่ยบอก คนเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกยื่นสิ่งที่เมลาณีต้องการให้สาววัยเกือบกลางคนทันที
“เดี๋ยวพี่จะเอาเข้าไปให้ท่านประธาน ลินพาน้องรุ้งไปรอที่ห้องสัมภาษณ์ให้ทีนะ”
“ตามนั้นค่ะคุณพี่ มาค่ะน้องรุ้ง ตามพี่มา” วรรณณลิน-บอกก่อนจะนำไป หนูน้อยบ่นว่าต้องเดินอีกแล้วแต่ก็ตามไปโดยไม่เกี่ยงงอนก่อนที่เวลาต่อมาสองแม่ลูกจะได้นั่งรอภายในห้องที่มีทึบฝั่งประตูและผนังด้านขวา แต่ด้านซ้ายเป็นกระจกเงาและฝั่งตรงข้างกับประตูเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นทิวทัศน์ด้านนอก
“มีกระจกด้วยค่ะแม่รุ้ง กระจกแบบบ้านคุณตา” หนูน้อยบอกก่อนจะโบกไม้โบกมือไปทางฝั่งกระจกเงา
“อย่าซนสิคะ เดี๋ยวคนฝั่งโน้นที่ดูเราอยู่ก็ตกใจแย่เลยที่หนูรู้ทัน”คนเป็นแม่บอกก่อนที่จะนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม กระจกแบบบ้านคุณตาที่เด็กหญิงรัมภาวีร์พูดถึงนั้นคือกระจกชนิดพิเศษที่ฝั่งหนึ่งมองเห็นอีกฝั่งได้ แต่ฝั่งตรงข้ามมองกลับมาไม่เห็น ที่บ้านของคุณพ่อเธอ ไม่สิ...
จริง ๆ แล้วบ้านหลังนั้นเป็นของคุณตาเธอที่ยกให้เป็นของขวัญแต่งงานของคุณแม่และคุณพ่อของเธอ ที่บ้านหลังนั้นมีห้องที่สร้างด้วยกระจกชนิดพิเศษอยู่และสมัยเด็กเธอมักจะเล่นกับน้อง ๆ เสมอ โตมาหน่อยก็พาหนูน้อยไปเล่นบ่อย ๆ เวลาที่ไม่พอใจพ่อของลูก
กระจกบานนี้เพียงมองก็รู้ได้ว่าเป็นชนิดเดียวกันกับห้องกระจกอันคุ้นตา และทางฝั่งของเธอเห็นแค่เพียงเงาของตัวเองก็หมายความว่าอีกฝั่งของกระจกมีใครสักคนกำลังมองพวกเธออยู่ ถ้าเดาไม่ผิดคงจะเป็นท่านประธานหรือไม่ก็ผู้มีสิทธิ์ตอบรับเธอเข้าทำงาน
