ตอนที่ 1 นัดพบสาวงาม
ยามเมื่อฝนโปรยปราย ปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนกางร่มให้หญิงสาว พวกเขากำลังพูดคุยหยอกเย้าคลอเคลียไม่ห่างกาย หญิงสาวนางนั้นโอบกอดแนบใบหน้างามลงแผงอกแกร่งของชายหนุ่มอย่างออดอ้อน
ดวงตากระจ่างสดใสทอดมองไปยังเบื้องหลังของชายคนรัก ปรากฏว่ามีสาวใช้ยืนห่างอยู่เพียงไม่กี่ก้าวเห็นว่ากำลังก้มหน้าก้มตายืนเงียบ ๆ อยู่ตามลำพัง ปล่อยให้ผู้เป็นนายยืนพูดคุยหยอกเย้าพะเน้าพะนอคนรักอย่างสบายอกสบายใจ
ชายหนุ่มเหลียวมองกลับไปยังเจ้านกน้อยตัวหนึ่ง เห็นยืนนิ่งมีสีหน้าเศร้าสร้อย แต่เขากลับหัวเราะอยู่ในลำคอ จนหญิงสาวที่คลอเคลียต้องเอ่ยปากถาม “คุณชายสามเหตุใดมาหาต้องพานางมาด้วยเล่าเจ้าคะ” นางมิใคร่พอใจสักเท่าไรนัก เขามักนำสตรีนางนี้มาเสมอ ปากก็พร่ำบอกว่าหาใช่คนสำคัญไม่
เป็นเพียงแค่เด็กที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในจวนเท่านั้น ทว่าเท่าที่มองดู เขากลับมีสายตาแปลกประหลาดมากนัก หาใช่สายตาของนายบ่าวที่มองกันและกัน คล้ายสายตาคนรักที่ถูกหักหลัง มีความเศร้าเสียใจอยู่ในดวงตาของฟางหว่านหนิงนั่นด้วย
เหตุใดนางถึงจะมองไม่ออกเล่า เป็นสตรีด้วยกันก็ย่อมพอเดาอาการหึงหวงออกได้ สองนายบ่าวคู่นี้มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา อีกอย่างพื้นเพของฟางหว่านหนิงก็หาได้ต่ำต้อยแต่อย่างใด
จะบอกว่าเป็นแค่สาวใช้ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก หากบอกว่าเป็นคุณหนูของจวนตระกูลเจียงก็หาใช่ไม่ ฐานะของนางช่างดูคลุมเครือเสียยิ่งกระไร
“ที่ข้าพามาด้วยก็เพราะท่านแม่สั่งอย่างไรเล่า” ฟางหว่านหนิงผู้นี้เดิมทีมารดาของนางนำฝากเอาไว้ แต่เหตุใดหลายปีมานี้ กลับไร้เงาของท่านน้าผู้นั้นมานำนางกลับไปด้วยเล่า ความซวยจึงตกอยู่ที่เขา ต้องคอยดูแลนางราวกับเป็นคู่หมั้นคู่หมายเยี่ยงนั้น
เจียงจวินก็ทำได้แค่ตัดพ้ออยู่ในใจ หากพูดไปมีหวังถูกมารดาลงโทษให้ยืนทั้งวันเป็นแน่ เคยกลั่นแกล้งฟางหว่านหนิงจนร้องไห้โฮ วันนั้นเขาถูกพี่ใหญ่ และพี่รองตะคอกเสียงดัง มิหนำซ้ำมารดายังถือไม้เรียวฟาดเขาไม่ยั้งมือ เจ็บจนต้องนอนร้องโอดครวญอยู่ในเรือนตั้งหลายวันกว่าจะหาย
“ฮูหยินเป็นคนสั่ง หรือคุณชายสามนำนางออกมาด้วยเจ้าคะ ชิงเอ๋อร์น้อยใจนัก” จริตจะก้านของนางล้วนยั่วเย้าชายหนุ่มไม่น้อยนัก หน้าอกอวบอิ่มถูไถบดเบียดเข้ากับแผงอกอย่างออดอ้อน ส่งสายตาพร่างพราว พร้อมกับริมฝีปากที่ทาชาดแดงเรื่องมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
นางเผยอปากน้อย ๆ อวดความงามที่แต่งแต้มไม่ฉูดฉาด การนัดพบของทั้งคู่นั้น หามีใครอื่นรู้เห็นไม่ นางเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งหอเซี่ยชุนที่ลือเลื่องความงดงามอ่อนหวาน เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งสี่เป็นอย่างดี
ชิงเอ๋อร์ ที่ใคร ๆ รู้จัก นางคือยอดคณิกาอยู่ในหอเซี่ยชุนของตระกูลเซี่ย น้อยครั้งที่สตรีนางนี้จะนัดพบกับบุรุษทั่วไป หากแต่คุณชายสามผู้นี้มีใบหน้าที่หล่อเหลาราวเทพบุตร อีกทั้งยังเป็นบุตรชายคนเล็กของจวนตระกูลเจียงจึงได้รับความรักและความโปรดปรานมากกว่าพี่ชายทั้งสอง
“เจ้านี่นะ ช่างตัดพ้อเสียเหลือเกิน ฟางหว่านหนิงก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น ใครจะสู้เจ้าได้เล่าชิงเอ๋อร์ เสียดายนัก วันนี้มีละอองฝนโปรยปราย ไม่อยากอยู่นานนัก ประเดี๋ยวเจ้าจะไม่สบายเอาได้ ขึ้นรถม้ากลับหอเซี่ยชุนเถิดหนาคนดี” น้ำเสียงของเขาฟังแล้วอบอุ่นหัวใจ ชิงเอ๋อร์จึงอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มตอบกลับ
ทว่ามีสตรีนางหนึ่งยืนถือร่มมองมายังคนรักทั้งสอง กระบอกตาคู่สวยของนางกลับร้อนผะผ่าว หายใจติดขัดยิ่งนัก ทำไมก้อนเนื้อข้างซ้ายของนางจึงรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาด้วย
ทั้ง ๆ ที่เขาย้ำหนักหนาว่า ระหว่างนางและเขาก็เป็นแค่ความสัมพันธ์อันฉาบฉวยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ทำไมกันก้อนเนื้อนี้จึงไม่รักดีเอาเสียเลย รู้สึกเจ็บปวดใจ ทรมานทุกครา
ยามที่เห็นเขาควงสตรีอื่นเย้ยหน้า มันทรมานแทบสิ้นใจก็ว่าได้ ย้ำเตือนตนเองหลายครั้ง อย่าได้หลงรักคนใจร้ายเช่นเขาอีก แต่หัวใจดวงนี้มันช่างไม่รักดี กลับรู้สึกว่ารักเขาจนไม่อยากให้เขามองใครอื่นอีก นอกจากนางเพียงผู้เดียว
“คุณชายสาม หากมีเวลาก็แวะมาหาชิงเอ๋อร์ได้นะเจ้าคะ ชิงเอ๋อร์ยินดีต้องรับคุณชายเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” ก่อนจากไป ร่างบอบบางน่าทะนุถนอมเขย่งปลายเท้าจุมพิตยังแก้มของเจียงจวิน สีหน้าของสตรีนางนี้เจือปนด้วยความยินดีนักหนา
เมื่อชายหนุ่มโอบกอดนางเข้ามาแล้วกระซิบเบา ๆ ข้างหูว่า “เสียดายนัก โรงน้ำชาคนก็แน่นหนา หากนำเจ้าไปเดินเพ่นพ่านแล้วละก็ ชื่อเสียงของเจ้าก็คงด่างพร้อยเพราะข้าเป็นแน่ เอาไว้ข้าจะหาเวลาไปเยี่ยมเจ้าที่หอเซี่ยชุนนะ”
“เจ้าค่ะ แล้วค่อยพบกันใหม่นะเจ้าคะ” ชิงเอ๋อร์มีสาวใช้คอยติดตามดูแลอยู่สองคน ทว่าวันนี้มีนัดสำคัญ จึงให้สาวใช้อยู่ในเรือนพัก มิให้ติดตามมาด้วย พอร่ำลาแล้ว ชิงเอ๋อร์จึงเบี่ยงกายเดินออกมา ขึ้นรถม้าที่จอดเทียบท่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หลบเลี่ยงสายตาคนที่เดินผ่านไปมา
ชายหนุ่มสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา มองมายังฟางหว่านหนิง “เห็นหรือไม่ นางน่ารักกว่าเจ้าเป็นไหน ๆ ทีหลังก็หัดดูนางเอาไว้บ้าง” เขากำลังประชดประชันนาง วัน ๆ เอาแต่ทำหน้าบึ้ง ไม่แย้มยิ้มเบิกบาน
“ดูอย่างไร ยั่วยวนบุรุษเช่นนั้นหรือ หรือว่าใช้หน้าอกบดเบียดกันเล่า คุณชายคงชื่นชอบเช่นนี้มากกระมัง เหตุใดไม่ตกแต่งนางเข้ามาเสียทีเล่าเจ้าคะจะชักช้าร่ำไรอยู่ไยกัน” ชายผู้นี้มักพูดจาไม่เข้าหู นางจึงสวนคืนกลับด้วยถ้อยคำอันเจ็บแสบ
“ช่างปากดีนักนะ มานี่!” ว่าแล้วชายหนุ่มผู้โอหังอวดดี ประชิดตัวสาวงามกระชากร่างบอบบางเข้ามาจนร่มที่ถือเอาไว้หล่นลงพื้น ริมฝีปากหนาบดเบียดริมฝีปากนุ่มนิ่ม ซึ่งเคยครอบครองมาแล้วหลายครั้งหลายหน
อีกทั้งอกอวบอิ่มของนางก็เคยละเลียดชิมมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่านางก็ยังถือดีทำตัวร้ายกาจไม่อ่อนโยนเฉกเช่นสตรีในห้องหอ ก้าวร้าวแสนพยศ มิรู้ว่าจะสรรหาวิธีใดมากำราบนางให้อยู่ใต้อุ้งมือ
เพี้ยะ!... “ต่อหน้าคนมากมาย ท่านก็ยังกล้า ชั่วช้าเลวทรามนัก” ฝ่ามือเรียวเล็กตวัดฟาดเข้าที่แก้มของชายหนุ่มเต็มแรง จนใบหน้าของเจียงจวินขึ้นริ้วแดง มุมปากมีโลหิตออกมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มใช้ปลายลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้ม แล้วยิ้มเยาะเบา ๆ “ระวังเอาไว้ให้ดี กล้าทำเช่นนี้กับข้า คืนนี้อย่าหวังว่าจะนอนอย่างสงบ”
“ท่านจะทำอะไร” นางถลึงตาใส่อย่างไม่ยินยอม รู้แล้วว่าต้องพบเจอกับอะไรอีก
“เจ้าก็น่าจะรู้ดีกว่าใครนี่นา” เขาใช้มือเกลี่ยปอยผมทัดหูของนาง ก่อนจะคลี่ยิ้มร้าย ก้มมองยังทรวงอกที่หายใจถี่กระชั้นชิด
“หยุดนะ” นางถอยห่าง เห็นสายตาปีศาจร้ายเยี่ยงนี้ก็ยิ่งหวาดกลัวนัก
“คืนนี้เจ้าจะต้องถูกลงโทษ อย่าได้ร้องโวยวายเล่า มิเช่นนั้นคนทั้งจวนจะรู้ว่าเจ้ากับข้า” เขาคว้าแขนของนาง แม้ว่านางช่างพยศแสนดื้อรั้น แววตาเช่นนี้เขาชื่นชอบยิ่งนัก การเอาชนะนางคือความสุขอย่างหนึ่งก็ว่าได้
“...” ฟางหว่านหนิงอยากร้องไห้เสียเหลือเกิน เขามักวางอำนาจข่มขู่รังแกนางเช่นนี้เสมอ เพราะความหวาดกลัวจึงไม่กล้าพูดเรื่องไร้อัปยศอดสูเช่นนี้ออกไป เก็บเงียบซ่อนความขมขื่นเอาไว้
“กลับบ้าน คืนนี้เตรียมตัวให้พร้อม”