EP : 1 การตัดสินใจ
EP : 1 การตัดสินใจ
ร่างบางของหญิงสาวยืนนิ่งอยู่ริมสระบัวดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตาคลอนางมองไปยังน้ำในสระบัว พยายามกลั้นเสียงร้องไห้ของตัวเอง
“ทำไมท่านไม่รักข้าบ้างเลยท่านพี่” เสียงหวานปนสะอื้นเอ่ยขึ้นเมื่อนึกถึงสามีของตัวเองที่ชอบผลักไสนางออกห่างตลอด แถมวันนี้เขายังแต่งอนุเข้ามาในตระกูลอีก เสียงรอบข้างเงียบสงัดเนื่องจากตอนนี้มันดึกเกินกว่าใครจะตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นนาง
“ในเมื่อท่านทำเช่นนี้ข้าก็จะไม่อยู่ให้ท่านเห็นหน้าอีก หวังว่าท่านจะมีความสุขกับหญิงที่ท่านรัก” ร่างบางชุดสีเขียวอ่อนกล่าวพลางเดินหายจากไปในความมืดมิด
เราจบกันเพียงเท่านี้ ขออย่าให้เราได้เจอกันอีกเลย
นางพึมพำก่อนจะเอาสิ่งของที่เป็นของนางไปเท่านั้น ต้นเหตุทั้งหมดเป็นเพราะนางดื้อรั้นเอง นางให้ท่านพ่อของนางใช้อำนาจของขุนนางบังคับให้เขาแต่งงานกับนางทั้งที่เขาไม่ได้รักนางแม้แต่น้อย
เรื่องราวทั้งหมดนางจะจบมันที่นี่นางจะลืมมันให้หมด
ครืน!
เสียงฟ้าร้องทำให้ร่างบางรีบเร่งเดินทางไปยังจุดมุ่งหมายของนาง ก่อนที่ฝนจะตกลงมานางก็มาถึงโรงเตี๊ยมพอดี นางปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามอง นางไม่คิดจะกลับไปที่ตระกูลของนางเพื่อทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องอับอายจากการกระทำของนาง
“นายหญิงต้องการค้างที่โรงเตี๊ยมกี่คืนดีขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกมองหญิงสาวที่แต่งตัวดูดีรูปร่างของหญิงสาวดูดีมากทีเดียว น่าเสียดายที่เสื้อคลุมสีดำปกปิดร่างกายเอาไว้ ไม่ให้เห็นไปมากกว่านั้น
“คืนเดียว” หญิงสาวเอ่ยบอกก่อนจะยื่นเงินให้กับอีกฝ่ายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยบอกราคา
“ชั้นสองห้องที่ห้าขวามือขอรับ” ชายหนุ่มบอกพลางยิ้มเมื่อได้รับเงินมาเกิน วันนี้ดวงดีจริงๆ
ร่างบางเดินไปตามที่เด็กหนุ่มบอกก่อนจะเดินไปถึงห้องของนาง ก็มีชายหนุ่มอีกคนเปิดประตูห้องที่อยู่ข้างๆ กับนางขึ้นมาเสียก่อน
นางไม่ได้สนใจเขา รีบเดินเข้าห้องตัวเองทันทีแต่ก่อนจะเข้าห้องตัวเองนั้นนางก็รู้สึกว่าหัวของนางปวดร้าวไปหมด
ก่อนที่จะไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง นางได้ยินเสียงตะโกนจากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไปเลย
“แม่นาง!”
เปลือกตาบางกะพริบเบาๆ ยามรู้สึกตัว ร่างบางที่อยู่บนเตียงขยับตัวก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมเนื่องจากความเจ็บปวดที่หัวมันจู่โจมนาง
เว่ยลู่เซียนเอื้อมมือไปกุมหัวของตัวเองพลางคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะสรุปได้ว่านางนั้นได้รับประสบอุบัติเหตุทำให้ศูนย์เสียความทรงจำ
หรือก็คือความจำเสื่อมนั้นเอง หลังจากที่นางความจำเสื่อมก็ได้พบชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นฉงเหลียงหรือก็คือโม่ฉิงหลานอดีตสามีของนางนั่นเอง
และหลังจากนั้นนางก็ได้ให้ท่านพ่อของตัวเองที่เป็นขุนนางแคว้นหนานเกอที่เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดบีบบังคับให้ชายหนุ่มคนนั้นแต่งงานกับนาง
เว่ยลู่เซียนย้ายตามโม่ฉิงหลานมาที่แคว้นฉงเหลียงอย่างตามใจสามี หลังจากมาอยู่ที่แคว้นฉงเหลียงนางไม่เคยมีความสุขเลย
นั้นเป็นเพราะโม่ฉิงหลานไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย ยามนางเจ็บป่วยเขาก็ไม่สนใจจะมาดูแลด้วยซ้ำ และในที่สุดเว่ยลู่เซียนก็ตัดสินใจที่จะออกมา เพื่อไม่ให้ตัวเองเจ็บปวดกับความรักที่ไม่สมหวังของตัวเอง
และที่นางสงสัยก็คือใครมันกล้ามาตีหัวของนางกัน เดาได้เลยว่าคนตีหัวของนางต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นนางไม่มีทางถูกตีหัวง่ายๆ แบบนี้เป็นแน่ แล้วตีหัวนางทำไม ตีหัวนางแล้วได้อะไร
แต่ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะนางอยากจะรู้จริงๆ ว่าคนคนนั้นมันเป็นใครกันแน่ ถึงได้เข้ามาโจมตีนางโดยที่นางไม่รู้สาเหตุด้วยซ้ำว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครเจ็บแค้น
ยังดีที่นางรอดมาได้ดีแค่ไหนแล้วแค่ความจำเสื่อมเท่านั้น ฝีมือของคนคนนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ
เพราะนางนั้นมีระดับลมปราณเซียนขั้นต้นยังสู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยไม่แน่ว่าชายคนนั้นอาจจะเหนือกว่าท่านพ่อของนางด้วยซ้ำไป
ถึงแม้อยากจะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่นางไม่ขอยุ่งกับคนพวกนี้จะดีกว่า ถ้าเก่งกว่าท่านพ่อของนางแล้วล่ะก็เป็นคนที่นางไม่ควรไปยุ่งด้วยเด็ดขาด เพราะครั้งหน้านางอาจจะไม่รอด
ปกติแล้วนางไม่ได้เป็นคนยอมแพ้อะไรแบบนี้ง่ายๆ หรอก แต่มาคิดดูดีๆ แล้วนางไม่ควรยุ่งกับอีกฝ่ายเด็ดขาดและไม่ควรตามหาอีกฝ่ายด้วย
“แม่นาง รู้สึกอย่างไรบ้าง” เสียงทุ้มดังขึ้นอยู่ด้านบนทำให้เว่ยลู่เซียนที่กำลังทบทวนเรื่องราวทั้งหมดหยุดชะงักก่อนจะลืมตาขึ้นมองชายหนุ่มชุดสีดำใบหน้าหล่อเหลากำลังมองนางด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เอ่อ” เว่ยลู่เซียนพูดไม่ออกนางไม่รู้จักชายตรงหน้า
“ขออภัยแม่นาง เมื่อคืนท่านถูกไม้ฟาดที่กลางหัวของแม่นางยังดีที่ข้าเดินออกจากห้องมาก็เลยได้ช่วยแม่นางจากชายคนนั้นทัน” ชายหนุ่มกล่าวบอกเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่มองตัวเองอย่างสงสัยและระแวงไปด้วย
“ขอบใจท่านมาก” เว่ยลู่เซียนกล่าวบอกก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง
“แผลของท่านน่าจะหายในอีกไม่นาน” ชายหนุ่มกล่าวบอกยิ้มๆ โดยไม่ได้อธิบายอะไรให้แก่หญิงสาวให้เข้าใจในประโยคของตัวเอง
“แม่นางหิวหรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวถามพลางแอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ อดนึกชมหญิงสาวไม่ได้ คงจะเป็นหนูจากตระกูลผู้ดีในเมืองนี้เป็นแน่
“อืม” เว่ยลู่เซียนตอบเบาๆ
“แม่นางอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวถาม
“ข้าวต้มหมู เอ่อ แล้วก็ท่านไม่ต้องเรียกข้าว่าแม่นางหรอก เรียกข้าว่าลู่เซียนก็พอ” เว่ยลู่เซียนร้องบอกเพราะได้ยินชายหนุ่มเรียกนางว่าแม่นางฟังแล้วขัดๆ หูชอบกล
“ได้สิลู่เซียน เจ้าก็เรียกข้าว่าเฟยเทียนก็แล้วกัน เจ้ารอก่อนเดี๋ยวจะสั่งอาหารมาให้” จ้าวเฟยเทียนกล่าวบอกยิ้มๆ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกไปข้างนอก
“ข้าจะไม่ใจอ่อนกับชายใจดีอีก” เว่ยลู่เซียนกล่าวขึ้นหลังจากที่ชายหนุ่มเดินออกไปจากห้อง นางเข็ดแล้วกับพวกผู้ชาย
คิดได้ดังนั้น นางก็ลุกขึ้น อาการปวดหัวดีขึ้นมากแล้ว และนางก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ นางต้องไปจากเมืองนี้ให้เร็ว ที่สุด
พรึบ!
ร่างบางที่มีผ้าสีขาวพันรอบหัวเอาไว้ก็พลันหายไปก่อนที่จ้าวเฟยเทียนจะทันได้กลับเข้าห้องมาอีกครั้ง
“นางหายไปไหน” จ้าวเฟยเทียนกล่าวขึ้นด้วยความร้อนใจ พลางวิ่งออกไปด้านนอกเพื่อตามหาหญิงสาว